ราชันเร้นลับ 46 : ภาพเหมือน
อุแหวะ!
แค่ก!
ไคลน์ก้มลงอาเจียนอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ แต่มันก็สำรอกไม่นานนัก แถมยังมีปริมาณของเหลวข้นไม่มาก สาเหตุเพราะตอนเช้ายังไม่ได้ทานอะไรติดตัวมา
ทันใดนั้น ขวดดีบุกทรงสี่เหลี่ยมที่ดูคล้ายกล่องบุหรี่ได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าชายหนุ่ม
ทันทีที่จุกขวดถูกดึงออก กลิ่นของยาสูบ ยาฆ่าเชื้อ และใบมินท์ผสมผสานอย่างลงตัวพลันหอมโชยออกเตะจมูก ไคลน์รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าผิดธรรมชาติ
แม้กลิ่นเหม็นบัดซบยังคงตลบอบอวล แต่มันกลับไม่รู้สึกคลื่นไส้หรือสะอิดสะเอียนอีกแล้ว อาการอ้วกหยุดลงในอีกไม่กี่อึดใจ
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองตามขวดดีบุก มันได้พบฝ่ามือที่ขาวซีดราวกับไม่ใช่ของมนุษย์ ถัดมาเป็นชายแขนเสื้อกันลมสีดำสนิท
เมื่อเงยศีรษะขึ้นอีกนิด ไคลน์ได้พบกับใบหน้าของผู้เก็บซากศพ·ฟราย ผู้มีบรรยากาศเย็นยะเยียบและดำมืดตลอดเวลา
“ขอบคุณมาก”
ไคลน์หายจากอาการย่ำแย่เป็นปลิดทิ้ง มันใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างยันเข่าและพยุงตัวขึ้น
ฟรายพยักหน้าไม่ยินดียินร้าย
“พอเริ่มชินแล้วจะดีขึ้นเอง”
เมื่อกล่าวจบ ผู้เก็บซากศพปิดจุกขวดดีบุกและเดินเข้าห้องไปสัมผัสร่างหญิงชราด้วยมือเปล่า สภาพศพเน่าเปื่อยแล้วหลายวัน ฟรายก้มหน้าตรวจสอบร่างหญิงชราโดยละเอียด
ขณะเดียวกัน ดันน์และเลียวนาร์ดแยกย้ายสำรวจรอบๆห้องโดยสวมถุงมือจับนู้นนี่เรื่อยเปื่อย
ลุงนีลล์บีบจมูกแน่นทั้งที่ยังไม่ได้เดินเข้าไปในห้อง สีหน้าของมันบิดเบี้ยวเหยเก
“โสโครกชะมัด! ฉันสาบานว่าจะเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเติมจากภารกิจคราวนี้!”
ดันน์เบนความสนใจมายังเตาผิง มันใช้มือขวาที่สวมถุงมือหนังดำลูบไล้ไปตามผนังอิฐด้านใน ก่อนจะหันมาถามไคลน์
“คุ้นรึเปล่า?”
ไคลน์สูดลมหายใจเข้าลึก มันใช้มือกำนาฬิกาพกสีเงินในกระเป๋าเพื่อให้จิตใจสงบลง
ปัจจุบัน ชายหนุ่มอยู่ในภาวะเนตรวิญญาณ การมองเห็นจึงแตกต่างจากภาพตาเปล่าภายในฝัน ไคลน์พยายามกวาดสายตารอบห้องหนึ่งหน เพื่อเรียกความทรงจำจากฝันกลับมาโดยละเอียด
เตาผิง เก้าอี้โยก โต๊ะไม้ หนังสือพิมพ์ ตะปูขึ้นสนิมบริเวณบานประตู กระป๋องดีบุกเลี่ยมเงิน…
ฉากในฝันทั้งมืดและไม่คมชัด คลับคล้ายการชมภาพยนตร์จากแผ่นฟิล์มโบราณบนโลกเก่า เรียกว่าพร่ามัวก็ไม่ผิดนัก แถมยังมีลักษณะฟุ้งกระจายเหมือนกับอยู่บนดินแดนความฝัน
ฉากฝันและความจริงเบื้องหน้าเริ่มซ้อนทับอย่างรวดเร็ว อาการเดจาวูหวนกลับมาประทับร่างไคลน์แจ่มชัดอีกหน ทันใดนั้น เสียงมายาไร้ตัวตนพลันกรีดร้องทะลุกำแพงที่มองไม่เห็นแทรกเข้าในหัว
“โฮนาซิส… เฟรเกีย… โฮนาซิส… เฟรเกีย… โฮนาซิส… เฟรเกีย…”
“ค่อนข้างคุ้นครับ”
ไคลน์ตอบเถรตรง หัวสมองเริ่มทวีความเจ็บแปลบ แต่โชคดีที่มันแตะหว่างคิ้วสองหนได้ทันท่วงทีและหลุดพ้นจากภาวะเนตรวิญญาณ
โฮนาซิส… หมายถึงเทือกเขาโฮนาซิสที่ถูกเอ่ยถึงในไดอารีของไคลน์คนก่อนงั้นหรือ?
นั่นคือเนื้อหาที่ไคลน์ เวิร์ช และนาย่าช่วยกันถอดรหัสสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส…
เสียงกระซิบโฮนาซิสคล้ายคลึงกับเหตุการณ์เมื่อครั้งดื่มโอสถมาก
หรือคำว่า‘โฮนาซิส’จะเป็นเสียงที่คอย‘ล่อลวง’ให้ผู้วิเศษเกิดอาการคลุ้มคลั่ง?
ดันน์พยักหน้าเล็กน้อยและเดินไปยังตู้กับข้าวเก่า ถุงมือหนังข้างขวาออกแรงกระชากบานประตูไม้
ภายในตู้มีเพียงขนมปังขึ้นราและหนูสีเทาราวเจ็ดตัวที่นอนแห้งตายอย่างสงบ
“เลียวนาร์ด ลงไปชั้นล่างและแจ้งกับตำรวจลาดตระเวนถึงสถานการณ์ปัจจุบัน”
ดันน์กำชับ
“ครับผม”
เลียวนาร์ดหันหลังและเดินไปจากห้อง
ถัดมา ดันน์ลงมือสำรวจภายในห้องนอนอีกสองห้องที่เหลือ มันพยายามค้นหาเบาะแสด้วยท่าทีระมัดระวัง
หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่พบเบาะแสใด รวมถึงการมีตัวตนของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส ฟรายลุกขึ้นยืนขึ้นและเช็ดมือด้วยผ้าสีขาวส่วนตัวที่เตรียมมาเอง
“ตายนานกว่าห้าวัน ไม่มีบาดแผลภายนอก ไม่มีร่องรอยการลงมือจากผู้วิเศษ สาเหตุการเสียชีวิตต้องชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง”
“พวกคุณพบอะไรบ้างไหม?”
ดันน์หันไปถามทางฝั่งลุงนีลล์และไคลน์
ทั้งสองที่ไม่ได้อยู่ในภาวะเนตรวิญญาณต่างส่ายศีรษะพร้อมกัน
“นอกจากศพแล้ว ทุกอย่างในห้องปรกติดี แถมยังไม่มีกำแพงใสหลงเหลือภายในห้องก่อนพวกเราจะมาถึง …ก็อย่างที่นายทราบ การจะลงมือทำพิธีกรรมทุกครั้ง จำเป็นต้องพึ่งพากำแพงที่มองไม่เห็นเพื่อให้ไม่ถูกรบกวน”
ลุงนีลล์ครุ่นคิดสองสามวินาทีก่อนจะอธิบาย
ขณะดันน์กำลังจะกล่าวบางสิ่ง สายตาของมันพลันชำเลืองไปนอกประตู ไคลน์และนีลล์ที่สัมผัสถึงความผิดปรกติต่างหันไปมองบันไดพร้อมกัน
ไม่กี่วินาทีถัดมา เสียงฝีเท้าดังเจือจางจากชั้นล่าง เป็นตำรวจลาดตระเวนที่เลียวนาร์ดพาตัวมาทำคดี
เจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวหลังได้กลิ่นไม่พึงประสงค์
โดยไม่รอช้า ตำรวจคนดังกล่าวรีบให้ความร่วมมือกับ‘เพื่อนร่วมงาน’ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่เจ็ดอย่างกระฉับกระเฉง มันเดินลงไปเคาะประตูห้องชั้นล่างเพื่อไต่ถามถึงข้อมูลบุคคลที่พักอาศัยบนชั้นสาม
หลังจากสอบสวนไม่นานก็ได้ความ ตำรวจยศสองบั้งเงินเดินขึ้นมายังห้องเกิดเหตุ สายตาชำเลืองมองศพบนเก้าอี้โยกเล็กน้อย
“เคธี่·สเตฟาน่า·บีเบอร์ อายุระหว่างห้าสิบห้าถึงหกสิบปี เป็นหม้าย เช่าห้องนี้ร่วมกับบุตรชาย รีเอล·บีเบอร์ มานานกว่าสิบปีแล้ว สามีเป็นช่างอัญมณีฝีมือดี บุตรชายอายุราวสามสิบ สืบทอดกิจการต่อจากบิดา ทำเงินได้สัปดาห์ละหนึ่งปอนด์สิบห้าซูล จากปากคำของเพื่อนบ้าน ทั้งสองถูกพบตัวครั้งสุดท้ายราวหนึ่งสัปดาห์ก่อน”
ยังไม่ทันที่ตำรวจจะอธิบายต่อ ไคลน์ทราบทันทีว่าตัวการสำคัญเป็นใคร
หายไปไหน…
รีเอล·บีเบอร์หายไปไหน!
มีโอกาสสูงมากที่สมุดบันทึกโบราณจะอยู่กับหมอนั่น!
“คุณมีภาพของรีเอล·บีเบอร์ไหม?”
ดันน์หันมองตำรวจก่อนจะเอ่ยปากถาม มันกำลังแสร้งทำทีเป็นนายตำรวจระดับสูง
แต่อันที่จริง ใช้คำว่าแสร้งคงไม่ถูกนัก เพราะในรายชื่อข้าราชการตำรวจอาณาจักรโลเอ็น ดันน์·สนิทติดยศนายตำรวจระดับสูง!
เงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงส่วนหนึ่งของดันน์ก็มาจากกรมตำรวจโดยตรง และยังมีอีกส่วนที่มาจากโบสถ์
เจ้าหน้าที่ตำรวจส่ายศีรษะกระสับกระส่าย
“ผมให้คำตอบไม่ได้ ต้องกลับไปตรวจสอบที่สถานีก่อน พวกเราไม่ได้มีภาพของชาวเมืองทุกคนเก็บไว้”
“เข้าใจแล้ว รบกวนสอบปากคำผู้อยู่อาศัยทุกห้องในอาคารโดยละเอียดด้วย”
ดันน์ออกคำสั่งเสียงขรึม
ขณะยืนมองเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินจากไป ดันน์รีบปิดประตูมิดชิดก่อนจะหันมองลุงนีลล์
“ผมจะให้คุณจัดการที่นี่ แต่ถ้ายังไม่สำเร็จ ผมคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำให้ผู้พักอาศัยทุกคนในตึกหลับ นั่นคือวิธีเดียวที่เราจะได้ภาพรีเอล·บีเบอร์อย่างชัดเจน ผมไม่คิดว่าการสเก็ตช์ภาพคนร้ายจากปากคำพยานจะแม่นยำน่าเชื่อถือสักเท่าไร”
ลุงนีลล์พยักหน้า มันหยิบขวดปริศนาขนาดเล็กราวหัวแม่มือออกจากกระเป๋าชุดคลุมดำ ก่อนจะบรรจงสาดของเหลวในขวดตามลำดับอย่างพิถีพิถัน
ถัดมาเป็นการกำผงบางสิ่งโปรยรอบตัวเป็นวงกลม
น่าประหลาดมาก กลิ่นประหลาดเริ่มโชยไปทั่วห้องแทนที่กลิ่นเหม็นเน่าซากศพ ไคลน์เริ่มสังเกตเห็นกำแพงใสก่อตัวรอบลุงนีลล์ สนามพลังดังกล่าวราวกับทำหน้าที่กั้นแบ่งระหว่างสภาพแวดล้อมด้านในและด้านนอกให้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง
บรรยากาศห้องกลับไปมีลักษณะคล้ายคลึงในตอนเพิ่งพบศพอีกครั้ง
ลุงนีลล์หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากพึมพำคาถาด้วยเสียงค่อยจนยากจะฟังได้ศัพท์ แต่ถึงอย่างนั้น ไคลน์ก็พอจะจับใจความได้บ้างเล็กน้อย ในบทคาถามีประโยคซ้ำเดิมบ่อยครั้ง จำพวก‘ท่านเทพธิดา ได้โปรดประทานพลังให้พวกเราด้วย’และ‘พวกเราปรารถนาการปกป้องจากรัตติกาล…’
ฟุ่บ!
สายลมพันผ่านฉับพลันเข้ามาทางหน้าต่าง ผงปริศนาที่ลุงนีลล์โปรยไว้รอบตัวเริ่มฟุ้งกระจาย
หัวใจไคลน์เต้นระรัว เส้นขนลุกชูชันทั่วร่าง เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ยากอธิบายด้วยถ้อยคำ ชายหนุ่มพบว่า‘กลิ่น’ที่ตนกำลังสูดดมเข้าปอดได้มอบความหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจ
ความสับสนเพิ่มพูนควบคู่ไปกับความตึงเครียด คล้ายกับในยามที่เรียนคาบวิชาคณิตศาสตร์แล้วไม่เข้าใจที่ครูสอน
ทันใดนั้น ดวงตาลุงนีลล์เบิกโพลงด้วยนัยน์ตาดำสนิท
มันหยิบปากกาหมึกซึมจากกระเป๋าเสื้อและเริ่มก้มหน้าวาดบางสิ่งลงบนกระดาษด้วยความเร็วสูง เร็วจนร่างกายชายชราสั่นเทิ่มไม่เป็นจังหวะ
ไคลน์เพ่งสมาธิจดจ้องไปบนแผ่นกระดาษ เพียงไม่นาน ภาพโครงหน้าและสันจมูกของบุรุษผู้หนึ่งเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง
เมื่อวาดผมสั้นหยักศกตามธรรมชาติเสร็จ ลุงนีลล์เขียนบางสิ่งกำกับลงไปใต้ภาพเหมือน
“ผมดำ นัยน์ตาฟ้าเข้ม ฝั่งซ้ายของช่องปากเป็นฟันเซรามิก”
ตึก!
ปากกาหมึกซึมถูกวางกระแทกลงบนกระดาษจนเกิดเสียง ร่างกายลุงนีลล์ออกอาการชักกระตุกสองสามหน
“นี่คือภาพของรีเอล·บีเบอร์จากเบาะแสที่หลงเหลือภายในห้อง”
ลุงนีลล์ส่งเสียงกระซิบขณะเปลือกตาเริ่มเปิดขึ้น ถัดมา มันเดินกลับไปยืนในจุดกึ่งกลางวงกลมพิธีกรรม ก่อนจะหมุนตัวหนึ่งรอบอย่างเชื่องช้าเพื่อสลายกำแพงใสที่มองไม่เห็นให้กลายเป็นสายลม
“เทพธิดาจงเจริญ”
ลุงนีลล์ทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอกแสดงถึงจันทร์สีชาด
ไคลน์เริ่มผ่อนคลาย สมาธิของมันเพ่งมองไปยังภาพเหมือนของรีเอล·บีเบอร์ บุรุษวัยกว่าสามสิบผู้นี้ไม่มีเอกลักษณ์ใดโดดเด่นหรือผิดธรรมชาติ ใบหน้าค่อนข้างราบเรียบอ่อนโยน จุดเดียวที่เตะตาคือบริเวณใต้จมูกเหนือริมฝีปากซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ …อาจเกี่ยวพันกับฟันเซรามิกก็เป็นได้
“ผมจะลองค้นหาด้วยเทคนิคแท่งวิญญาณ”
ชายหนุ่มหยิบภาพเหมือนของรีเอลขึ้นมาถือ จากนั้นเดินรื้อค้นเสื้อผ้าบุรุษเก่าภายในห้องพักจนพบ
วัตถุทั้งสองถูกวางลงบนพื้นห้อง
ดันน์ เลียวนาร์ด และลุงนีลล์ ไม่มีใครคิดขัดขวางไคลน์ แต่ละคนทำเพียงยืนจ้องมองชายหนุ่มหยิบไม้ค้ำปักลงพื้นในจุดเหนือเสื้อผ้าเก่า ส่วนฟรายยังคงเงียบงันเช่นเคย
นัยน์ตาไคลน์แปรเปลี่ยนจากน้ำตาลเป็นเกือบดำ มันพึมพำคาถาเสียงค่อยก่อนจะปล่อยมือเป็นอิสระจากไม้ค้ำ
ไม้ค้ำเลี่ยมเงินตั้งตรงกลางอากาศโดยไม่แยแสกฎแห่งแรงโน้มถ่วง ประหนึ่งปลายแหลมเสียบปักพื้นไว้ก็มิปาน
“ที่อยู่ของรีเอล·บีเบอร์”
มันทวนซ้ำกับตัวเองเจ็ดรอบ
เมื่อเกิดสายลมพัดผ่าน ไม้ค้ำเริ่มเอนตัวลงเล็กน้อย แต่กลับหมุนเปลี่ยนทิศทางกะทันหันเป็นวงกลม หมุนอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งกลับมาตั้งตรงใหม่อีกหนโดยปราศจากแรงกระทำจากภายนอก
ไคลน์เดินเข้าไปใช้มือจับไม้ค้ำและท่องคาถาเสียงค่อยก่อนจะปล่อยมือเริ่มทำนาย
ไม้ค้ำแสดงอากัปกิริยาเหมือนเดิมทุกประการ มันทิ้งตัวเล็กน้อยและหมุนเป็นวงกลมก่อนจะกลับไปตั้งตรงดังเดิม
หลังจากเกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำขึ้นอีกสองสามหน ไคลน์ตัดสินใจยอมแพ้
มีพลังลึกลับขัดขวาง‘การทำนาย’ไว้
ดันน์ถอดถุงมือหนังสีดำออกและไปกล่าวกับเลียวนาร์ด
“นำภาพเหมือนของรีเอล·บีเบอร์ไปสอบปากคำผู้พักอาศัยเพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลเดียวกัน เมื่อแน่ใจแล้ว ให้รีบออกหมายจับในคดีสังหารมารดาตัวเองทันที”
“ครับผม”
ไคลน์เก็บไม้ค้ำกลับและโน้มตัวลงไปหยิบภาพเหมือนของรีเอล·บีเบอร์ที่ลุงนีลล์ร่างไว้
หลังจากเพื่อนบ้านยืนยันแล้วว่าภาพดังกล่าวคือรีเอล·บีเบอร์ไม่ผิด ดันน์ออกคำสั่งให้เลียวนาร์ดและเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไปจัดการเอกสารที่สถานีให้เรียบร้อย ส่วนตัวมันมุ่งหน้าไปยังบาร์สองสามแห่งในทิงเก็นเพื่อขอความร่วมมือผ่านช่องทางอื่น
ด้านไคลน์และลุงนีลล์เดินทางกลับบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬบนถนนซุตแลน ในตอนที่มาถึง เข็มสั้นบอกชั่วโมงยังขยับไม่ถึงเลขแปด จึงไม่แปลกที่โรแซนจะยังไม่เข้างาน
หลังจากปิดประตูสำนักงาน ไคลน์เงยหน้ามองลุงนีลล์ก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างใคร่รู้
“ทำไมผมถึงต้องส่งสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสให้รีเอล·บีเบอร์์ด้วย? ”
อาคารที่เกิดเหตุเป็นคนละทิศทางกับบ้านพักของเวิร์ชและถนนกางเขนเหล็กโดยสิ้นเชิง
ลุงนีลล์เดินไปนั่งบนโซฟาก่อนจะส่งเสียงคิกคัก
“แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? สมุดเล่มดังกล่าวมีพลังเร้นลับซ่อนอยู่ เจ้าอาจประกอบพิธีกรรมกับเพื่อนโดยไม่รู้ความ ส่งผลให้ไปปลุกตัวตนลึกลับภายในสมุดเข้า”
“ตัวตนดังกล่าวครอบงำเจ้าให้มอบสมุดบันทึกกับรีเอล·บีเบอร์และลบร่องรอยทั้งหมดทิ้งหลังจากเสร็จพิธี เพื่อไม่ให้ใครตามหามันพบเป็นหนที่สอง”
“ด้วยเหตุนี้ เจ้าที่เป็นผู้ส่งสมุดจึงมีชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้ายและเดินทางออกจากบ้านเวิร์ช ส่วนมิสเตอร์เวอร์และมิสนาย่าลงมือปลิดชีวิตตัวเองในที่เกิดเหตุ… แต่หากถามถึงสาเหตุที่เจ้ายังรอดชีวิต ฉันเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
“เรื่องนั้น… ผมเองก็อยากทราบ”
ไคลน์นั่งลงและกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มเย็นชืด
“ผมเคยวิเคราะห์ในสมมติฐานแบบเดียวกับคุณมาก่อน แต่สิ่งที่ยังคาใจคือ ทำไมพลังลึกลับในสมุดถึงดลใจให้ผมมอบสมุดบันทึกให้รีเอล·บีเบอร์? ทำไมถึงเป็นหมอนั่น?”
ลุงนีลล์ยักไหล่ตอบ
“บางที อาจเป็นเพราะดวงชะตารีเอล·บีเบอร์มีการเชื่อมโยงกับสมุดอย่างแนบแน่น หรือไม่ก็เพราะมันคือทายาทคนสุดท้ายของตระกูลอันทีโกส จะเป็นแบบไหนก็ได้… สรุปโดยสั้นก็คือ พวกเรามีข้อมูลน้อยเกินกว่าจะหาคำอธิบาย… และเรื่องที่สมุดโบราณเล่มดังกล่าวปรากฏตัวในเมืองทิงเก็นก็คงด้วยเหตุผลเดียวกัน”
“ผมไม่คิดว่ารีเอล·บีเบอร์จะเป็นทายาทตระกูลอันทีโกนัส”
ไคลน์ถอนหายใจอย่างผิดหวัง
“น่าเสียดาย ผมน่าจะรู้ตัวเร็วกว่านี้ ก่อนที่รีเอล·บีเบอร์จะไหวตัวทันและหนีไปพร้อมสมุดบันทึก”
ลุงนีลล์อมยิ้ม
“นั่นอาจเป็นเรื่องแย่สำหรับดันน์ แต่สำหรับตัวเจ้า ฉันกลับมองว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว”
“คุณหมายความว่ายังไง?”
ไคลน์ขมวดคิ้วงุนงง
........................