ราชันเร้นลับ 44 : ชะตา
บทกลอนชวนหลับใหลที่เลียวนาร์ดขับขานดังกังวานทั่วบันไดวนที่ทำจากไม้ เสียงลุ่มลึกเล็ดลอดผ่านบานประตูเข้าไปในห้อง
จิตไคลน์เกิดการงัวเงียเล็กน้อย คลับคล้ายได้เห็นแสงจันทร์สาดส่องบนผิวน้ำยามค่ำคืนที่เรียบสงบไร้คลื่น
เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง ร่างกายโงนเงนราวกับจะล้มทั้งยืน
ท่ามกลางความรู้สึกเดจาวูเลือนราง ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่า มีบางสิ่งกำลังจ้องมองแผ่นหลังของตน มันทั้งไร้รูปร่างและไม่ชัดเจน ราวกับกำลังท่องตระเวนไปทั่วโลกวิญญาณ
ขณะดำดิ่งไปกับภาพมายา ไคลน์รีบดึงจิตกลับมาและทำสมาธิเพื่อเข้าฌาน
ด้วยสัมผัสวิญญาณที่เฉียบแหลมรวมถึงสมาธิอันเข้มข้น ไคลน์หลุดพ้นจากบทเพลงหลับใหลของนักกวีเที่ยงคืนอย่างฉิวเฉียด
แต่ถึงมันจะครองสติได้ ภาพการมองเห็นรอบตัวยังคงเฉื่อยชาและจืดชืดปราศจากอารมณ์
ผ่านไปราวหนึ่งอึดใจ เลียวนาร์ดหยุดขับขานพลางหันมองไคลน์ด้วยรอยยิ้ม
“ผมเคยคิดมาสักพักแล้ว ว่าควรเบิกเงินหัวหน้าเพื่อซื้อพิณสักตัว การร้องเพลงอย่างเดียวโดยไม่มีเครื่องดนตรีประกอบช่างน่าเบื่อและไร้อารยะ คุณไม่คิดเช่นนั้นบ้างหรือ? ฮะฮะ! ผมล้อเล่น เอาล่ะ… ฟังจากเสียงด้านใน ตอนนี้พวกมันคงหลับกันหมดแล้ว”
เหยี่ยวราตรีผมดำนัยน์ตาเขียวผู้มีบรรยากาศนักกวี เลียวนาร์ด·มิเชล มันเดินไปหยุดยืนหน้าประตูซึ่งกั้นแบ่งระหว่างพวกตนกับคนร้ายลักพาตัวและเหยื่อ
ในวินาทีที่หัวไหล่เริ่มขยับ เลียวนาร์ดชกใส่กลอนประตูจนพังในหมัดเดียว
เปรี้ยง!
กลอนประตูถูกตกหล่นเข้าไปด้านในจนเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่บนบานไม้
“การจะทำแบบนี้ได้ คุณต้องมีความแม่นยำและชำนาญมาก”
เลียวนาร์ดหันมายิ้มให้ไคลน์ขณะใช้มือล้วงเข้าไปปลดกลอนแบบขัด
ชายหนุ่มเริ่มได้สติกลับมา แต่มันไม่กล้าประมาทแบบเลียวนาร์ด ลูกโม่ถูกชักออกจากซองรักแร้ซ้ายอย่างชำนาญ ไคลน์ปลดโม่และหมุนหนึ่งช่องเพื่อให้กระสุนพร้อมยิงในนัดถัดไป
เมื่อประตูถูกเปิดอ้าเต็มบานด้วยฝีมือเลียวนาร์ด ไคลน์มองเข้าไปและพบกับชายคนหนึ่งกำลังหลับฟุบโต๊ะ ฝ่ามือห้อยลงกับพื้น ปลายนิ้วมีปืนกระบอกหนึ่งตกอยู่
ส่วนอีกคนกำลังขยี้ตาด้วยท่าทางงัวเงียอยู่บนพื้น พยายามอย่างหนักที่จะพยุงตัวลุกขึ้น
เปรี้ยง!
เลียวนาร์ดซัดเข้าไปหนึ่งหมัดจนสลบซ้ำ
ขณะไคลน์กำลังจะเดินตามเข้าไป มันสัมผัสถึงความผิดปรกติจากชั้นล่าง ชายหนุ่มรีบหันปืนลูกโม่เล็งจ่อทางเดินบันไดทันที
กึก กึก กึก!
เสียงฝีเท้าเข้าใกล้ทุกขณะ บุคคลที่ปรากฏเบื้องหน้าไคลน์คือชายโค้ทน้ำตาลซึ่งไม่สวมหมวก มือของมันถือถุงกระดาษที่บรรจุขนมปังหลายชิ้น
เมื่อแหงนมองพบปากกระบอกปืน ชายโค้ทน้ำตาลชะงักฝีเท้าทันที
นัยน์ตาหดลีบเล็กตามสัญชาตญาณ แววตาสะท้อนภาพของบุรุษหนุ่มสวมหมวกทรงกึ่งสูง สูทดำ เชิ้ตขาว โบว์หูกระต่ายสีดำเข้าชุด ไม้ค้ำเลี่ยมเงินที่ถูกพาดราวบันได และปืนลูกโม่สุดอันตรายในมือ
“อย่าขยับ! ยกมือขึ้น! สาม สอง หนึ่ง…”
เสียงไคลน์ลุ่มลึกแต่ผ่อนคลาย
มันใช้สองมือจับด้ามปืนแน่น ภายในหัวกำลังจินตนาการถึงเป้าซ้อมยิง
ด้วยบรรยากาศสุดตึงเครียด ชายโค้ทน้ำตาลไม่มีทางเลือก มันวางถุงขนมปังลงตรงหน้าพร้อมกับบรรจงชูมือทีละนิด
“มิสเตอร์ นี่คือมุกตลกหรืออย่างไร? คุณต้องเข้าใจอะไรผิดแน่”
มันฝืนยิ้มขณะเพ่งมองปลายนิ้วไคลน์ที่เตรียมเหนี่ยวไกปืน
ชายหนุ่มมิอาจแยกแยะได้ว่า ชายคนนี้เป็นชาวบ้านบริสุทธิ์หรือผู้สมรู้ร่วมคิด แต่ไคลน์จะไม่ประมาทจนตัวเองตกที่นั่งลำบากเด็ดขาด
“อย่าขัดขืน อีกสักพักจะมีคนช่วยตัดสินให้เองว่า คุณเป็นผู้บริสุทธิ์จริงหรือไม่”
ทันใดนั้น เลียวนาร์ดที่จัดการคนร้ายลักพาตัวในห้องเสร็จ มันเดินออกมาเห็นไคลน์กำลังเล็งปืนใส่ชายโค้ทน้ำตาลตรงบันได
นักกวีกล่าวพลางอมยิ้ม
“แบบนี้นี่เอง… คนร้ายลักพาตัวมีผู้สมรู้ร่วมคิดช่วยซื้ออาหารมาส่งสินะ”
ทันทีที่ได้ยิน ชายไม่สวมหมวกใช้เท้าเตะถุงขนมปังให้กระเด็นไปทางไคลน์ เผื่อว่าจะช่วยบดบังการมองเห็นได้บ้าง แต่น่าเสียดายที่การกระทำของมันเปล่าประโยชน์ ไคลน์ลั่นไกปืนด้วยสีหน้าสงบนิ่งหนึ่งนัด
เยือกเย็นราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงเป้าซ้อม
ปัง!
โลหิตสาดกระเซ็นจากหัวไหล่ซ้าย
มันโงนเงนก่อนจะพยายามวิ่งหนีลงไปชั้นล่าง เป็นวินาทีเดียวกับที่เลียวนาร์ดคว้าราวบันไดและกระโจนลงไปด้วยเข่าคู่
เกิดเสียง‘ปึก’ดังค่อย เข่าเลียวนาร์ดกระแทกใส่ชายโค้ทน้ำตาลจากด้านบนจนมันสลบ
เลียวนาร์ดลุกยืนพร้อมกับปัดรอยเลือดออกจากกางเกง ก่อนจะแหงนหน้ามองไคลน์และอมยิ้ม
“ยิงได้ดี”
แต่ฉันเล็งที่ขา…
มุมปากไคลน์กระตุกเมื่อกลิ่นเลือดสดโชยเตะจมูก มันยังไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้สักเท่าไร
ไคลน์ได้เรียนรู้อีกเรื่องหนึ่งว่า แม้โอสถนักทำนายจะไม่ช่วยเสริมพลังทางกายภาพจำพวก จิตสัมผัสต่อสู้ ความเฉียบแหลมของสายตา รวมถึงประสาทสัมผัสหูที่ว่องไว
แต่ตัวมันสามารถมองทะลุสิ่งกีดขวางได้เล็กน้อย รวมถึงการได้ยินเสียงฝีเท้าเจือจางจากจุดห่างไกล แม้ในตอนแรกจะไม่ทราบว่าเป็นเสียงฝีเท้าก็ตาม
หรือนี่จะเป็นพลังจากสัมผัสวิญญาณ?
ไคลน์ครุ่นคิดกับตัวเอง ส่วนเลียวนาร์ดค้นตัวผู้สมรู้ร่วมคิดจนพบมีดสั้น มันทำการยึดและลากตัวชายโค้ทน้ำตาลเข้าไปในห้อง กองรวมไว้กับคนร้ายลักพาตัวที่เหลือ
ไคลน์เดินตามเข้าไปพร้อมปืนในมือขวาและไม้ค้ำในมือซ้าย ขณะเดียวกัน เอลเลียต·วิคโรลล์ที่ถูกปลุกให้ตื่นจากเสียงปืน เด็กชายพยายามพยุงตัวยืนจากท่าถูกมัด
เลียวนาร์ดแก้เชือกออกจากตัวเอลเลียตนานแล้ว มันใช้มีดตัดแบ่งเชือกดังกล่าวและนำไปมัดร่างคนร้ายทั้งสี่แน่นหนา
เมื่อเชือกไม่พอ เลียวนาร์ดจะใช้มีดตัดเสื้อผ้าพวกมันและนำไปมัดแทนเชือก
ด้านชายโค้ตน้ำตาลที่ถูกยิงตรงหัวไหล่ เลียวนาร์ดทำแผลอย่างหยาบด้วยการใช้ผ้ารัดห้ามเลือด มันรังเกียจที่จะสัมผัสเลือดอีกฝ่าย จึงไม่ช่วยแคะกระสุนออกจากปากแผลก่อน
“พ…พวกคุณคือ?”
น้ำเสียงเอลเลียตเปี่ยมด้วยความยินดีหลังจากตื่นขึ้นมาเห็นฉากตรงหน้า
“เดาได้แม่นมากครับคุณหนูเอลเลียต”
เลียวนาร์ดกล่าวติดตลกในท่าคุกเข่า
นักกวีตัวปัญหาคนนี้มีอารมณ์ขันกับเขาด้วยหรือ?
ไคลน์ก้มหน้ามองเอลเลียตและอธิบาย
“พวกเราคือทหารรับจ้างที่บิดาของคุณหนูว่าจ้างมา จะเรียกว่าผู้คุ้มกันก็ได้”
“ฟู่ว! จริงหรือเนี่ย? ผมรอดแล้วใช่ไหม?”
เอลเลียตกล่าวอย่างโล่งใจ แต่เด็กชายยังไม่กล้าขยับตัวมาก
คงเป็นเพราะถูกกระทำอย่างรุนแรงตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ท่าทีของเด็กคนนี้จึงสงบเสงี่ยม นับว่าสุขุมเกินวัยมาก แตกต่างจากธรรมชาติของเด็กที่เอาแต่เล่นซนและโวยวาย
เลียวนาร์ดลุกยืน มันเหลือบมองไคลน์
“คุณลงไปข้างล่างและตามหาตำรวจที่กำลังลาดตระเวน บอกพวกเขาให้ช่วยแจ้งเรื่องกับพ่อค้ายาสูบ ผมไม่ต้องการเตร็ดเตร่ไปไหนมาไหนกับเด็กหนึ่งคนและพวกงั่งอีกสี่”
ไคลน์ที่กำลังกังวลว่าต้องทำสิ่งใดต่อ มันพยักหน้าอย่างว่าง่ายและเดินลงไปชั้นล่างพร้อมไม้ค้ำ ปืนพกถูกเก็บกลับซองรักแร้เพื่อให้ไม่เตะตาผู้คน
ขณะเดินลงบันได ไคลน์รู้สึกเหมือนตนหลงลืมอะไรบางสิ่ง
ทันใดนั้น เสียงเลียวนาร์ดดังมาจากห้องด้านบน มันกล่าวกับเอลเลียต
“คุณหนูไม่ต้องกังวล อีกประเดี๋ยวก็ได้พบกับท่านพ่อ ท่านแม่ และคุณพ่อบ้านครีแล้ว มาเล่นไพ่เกว็นท์กันสักเกมไหม?”
…
ไคลน์เกือบหลุดขำ
ชายหนุ่มเดินลงไปชั้นล่างสุดและถามหาตำรวจจากชาวบ้านในละแวก จนกระทั่งได้พบตำรวจลาดตระเวนสองนาย
ไคลน์ไม่ได้แสดงตราเหยี่ยวราตรีหรือตรากรมตำรวจ มันสวมบทบาทพนักงานบริษัทรักษาความปลอดภัยและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยละเอียด
ส่วนการพกพาอาวุธปืน ไคลน์ไม่ได้เป็นกังวลมากนัก มันได้รับใบอนุญาตพกพาอาวุธปืนทุกชนิดแล้วเมื่อสองวันก่อน สาเหตุที่ถูกอนุมัติรวดเร็วเพราะมีเส้นสายภายในจากกรมตำรวจช่วยลัดคิว
ตำรวจลาดตระเวนสองนายมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่นายหนึ่งจะรีบไปแจ้งข่าวกับตระกูลวิคโรลล์ ส่วนอีกนายเดินตามไคลน์ไปยังห้องที่เกิดเหตุ
หลังจากยืนเฝ้าในที่เกิดเหตุราวสี่สิบนาที เลียวนาร์ดแอบส่งสัญญาณกับไคลน์ขณะตำรวจไม่สนใจ
ทันใดนั้น นักกวีนัยน์ตาเขียวและนักทำนายนัยน์ตาน้ำตาลรีบปลีกตัวจากที่เกิดเหตุอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
“เชื่อผมเถอะ การไปสถานีตำรวจไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสักนิด แถมยังเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ถ้ามีจังหวะชิ่งได้ก็รีบทำ”
มันอธิบายด้วยท่าทีผ่อนคลาย
เมื่อเลียวนาร์ดรับปากว่าจะรับผิดชอบหากเกิดปัญหาตามมา ไคลน์จึงไม่โต้แย้ง มันเดินตามไปอย่างว่าง่าย
ราวห้านาทีถัดมา รถม้าส่วนตัวหรูหราได้แล่นมาจอดหน้าอาคารที่เกิดเหตุ พ่อบ้านครีลงจากรถพร้อมกับเจ้านาย มิสเตอร์วิคโรลล์
เมื่อพบตัวเอลเลียต ครียืนทึ่งอย่างไม่เชื่อสายตา มันไม่คิดว่าเหตุการณ์จะจบลงเร็วถึงเพียงนี้ ราวกับฝันไปไม่มีผิด
ทันใดนั้น ครีได้ยินเสียงดีดนิ้วดังจากด้านหลัง มันหันรีบกลับไปมอง
รถม้าเช่าสองล้อแล่นผ่านตึกที่เกิดเหตุและหยุดลง เลียวนาร์ดผมดำนัยน์ตาเขียวฉีกยิ้มกว้างให้ครีจากหน้าต่างห้องโดยสาร ก่อนที่มันจะดีดนิ้วซ้ำอีกครั้ง
รถม้าเช่าแล่นผ่านรถม้าตระกูลวิคโรลล์ไปอย่างเงียบงัน เลียวนาร์ดเลื่อนม่านปิดพร้อมกับหันมองไคลน์
มันยื่นมือขวาไปหา
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับคุณ”
พวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น…
ไคลน์ส่ายศีรษะ
มันไม่เคยคิดว่าคดีลักพาตัวจะถูกคลี่คลายง่ายดายขนาดนี้ ชายหนุ่มกำลังทึ่งกับพลังของผู้วิเศษ ทั้งที่ตัวมันยังเป็นผู้วิเศษได้ไม่ถึงสัปดาห์ แต่สามารถใช้พลังระบุตำแหน่งปัจจุบันของเหยื่อได้แม่นยำ
สะดวกสบายฉิบ…
“การจับมือเป็นมารยาททางสังคมของชนชั้นสูงหลังจากประดาบ”
เลียวนาร์ดอธิบาย
“ผมทราบ”
ไคลน์เองก็มีเพื่อนเป็นชนชั้นสูงไม่น้อย
ชายหนุ่มยังคงมองไปนอกหน้าต่าง มันส่งเสียงถามพลางขมวดคิ้ว
“ดีแล้วหรือที่พวกเราไม่รอยืนยันผลงานกับมิสเตอร์ครี? ถ้าเขาคิดว่าตำรวจเป็นฝ่ายช่วยเหลือคุณหนูเอลเลียตออกมา ค่าจ้างจะหายไปครึ่งหนึ่งเชียวนะ”
ตั้งหนึ่งร้อยปอนด์!
หลังจากพูดคุยก่อนเริ่มทำงาน พ่อบ้านครีคงไม่เคลือบแคลงว่าไคลน์และเลียวนาร์ดคือผู้พบเบาะแสแหล่งกบดาน …แต่ครีไม่มีทางทราบเลยว่าใครเป็นผู้จับกุมและช่วยเหลือ
“อย่าใส่ใจนักเลย สำหรับพวกเรา เงินทองไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
เลียวนาร์ดยักไหล่
…แต่มันสำคัญกับฉัน!
ไคลน์ฝืนยิ้มแห้ง
“ถึงว่าทำไมนักกวีมักไส้แห้งตาย”
เลียวนาร์ดคิกคัก
“คุณหนูเอลเลียตคงไม่โกหก ผมสัมผัสได้ถึงความใสซื่อภายในตัวเขา ถึงภายนอกจะเยือกเย็นเหมือนผู้ใหญ่ก็เถอะ…”
“แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้พวกเราได้รับค่าจ้างเต็มจำนวนสองร้อยปอนด์จริง ส่วนแบ่งสำหรับคุณก็เหลือไม่มากหรอกนะ”
“ผมจะได้เท่าไร?”
ไคลน์ถามอย่างสนใจ
“ครึ่งหนึ่งจะถูกแบ่งให้มาดามโอเรียนน่าเก็บไว้เป็นเงินสำรองของหน่วย ส่วนที่เหลือจะแบ่งอย่างเท่าเทียมตามจำนวนคน น่าเสียดายที่คุณยังไม่ใช่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ส่วนแบ่งจึงเหลืออยู่ราวสิบเปอร์เซ็นต์”
สิบปอนด์? นั่นก็ไม่เลวนักหรอก…
ไคลน์แสร้งทำน่าพึงพอใจก่อนจะถามต่อ
“คุณไม่กลัวบ้างหรือ? กลุ่มคนร้ายลักพาตัวอาจเอะใจหลังจากตื่นขึ้น ว่าพวกมันหลับไปเพราะพลังของผู้วิเศษ”
“พวกมันไม่มีทางนึกสงสัย ในสมองจะเข้าใจว่าอากาศดีจนเคลิ้มหลับไปเอง ส่วนบทกวีที่ผมขับขาน พวกมันจะคิดว่านั่นเป็นเสียงที่ดังในความฝัน… หน่วยเหยี่ยวราตรีเคยทดสอบและยืนยันเรื่องนี้มานานแล้ว”
เลียวนาร์ดอธิบายฉะฉานมั่นใจ
“หลักฐานเดียวที่ไม่ปรกติ คือกระสุนปราบมารที่คุณยิงฝังเข้าไปในแขน แต่เราสามารถแก้ต่างได้ว่า คุณเป็นพวกคลั่งพิธีกรรมและหลงใหลศาสตร์เร้นลับ”
“เข้าใจแล้ว”
ไคลน์โล่งอก
แต่ความรู้สึกหนึ่งยังไม่เลือนหายไป มันคลับคล้ายว่าตัวเองกำลังมองข้ามหรือหลงลืมบางสิ่ง
…
หลังจากกลับถึงถนนซุตแลน ไคลน์ไม่รอให้พ่อบ้านครีมาติดต่อ มันเดินเท้าไปจนถึงบ้านเวิร์ชและเดินกลับถนนกางเขนเหล็กโดยเปลี่ยนเส้นทางไม่ให้ซ้ำเก่า ระหว่างทางยังแวะซื้อวัตถุดิบปรุงอาหารสำหรับมื้อดึก
มื้ออาหารของสามพี่น้องยังคงอบอุ่นและอิ่มเอมเช่นเคย บรรยากาศสนทนาเป็นไปอย่างออกรส แต่ถูกคั่นด้วยผู้มาเยือนแปลกหน้าครู่หนึ่ง …พนักงานเก็บเงินค่าแก๊ส อัตราอยู่ที่หนึ่งเพนนีต่อหนึ่งหน่วยมิเตอร์
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท สามพี่น้องกล่าวคำอำลาและเดินกลับห้องตัวเอง
ไคลน์หลับสบายเฉกเช่นทุกคืน จนกระทั่งมันถูกปลุกโดยบางสิ่งด้านนอกห้อง ชายหนุ่มงัวเงียเปิดประตูห้องนอนอันว่างเปล่าที่ไม่มีใครอาศัยอยู่
มันผลักบานประตูไม้ที่มีจุดด่างดำเข้าไป ภาพแรกที่เห็นคือโต๊ะอ่านหนังสือสีเทา
บนโต๊ะมีสมุดวางอยู่หนึ่งเล่ม ปกทำจากกระดาษแข็งดำสนิท
ไคลน์สัมผัสถึงความรู้สึกเดจาวูอย่างเลือนราง มันเดินไปที่โต๊ะและเปิดสมุดออกด้วยท่าทีเหม่อลอย
เมื่อพลิกไปหน้าแรก ชายหนุ่มได้พบกับภาพที่ตนคุ้นเคย มันคือภาพของใครบางคนที่สวมเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับศีรษะระยิบระยับ
…เดอะฟูล!
ใต้ภาพเดอะฟูลมีอักษรเฮอร์มิสโบราณเขียนไว้
“ทุกคนต้องตาย รวมถึงเรา”
หัวใจไคลน์แทบหยุดเต้นเมื่อมุมปากของเดอะฟูลในภาพโค้งขึ้นต่อหน้าต่อตา!
พรวด!
ชายหนุ่มลุกนั่งบนเตียงด้วยสีหน้าตกตะลึงสุดขีด มือขวาเลื่อนขึ้นมาสัมผัสบริเวณหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม
แสงจันทร์สีแดงจากภายนอกส่องทะลุม่านดำสนิทเข้ามาในห้องเล็กน้อย เมื่อกวาดสายตามองโดยรอบ เงาของชั้นหนังสือและโต๊ะอ่านหนังสือยังคงประจำในจุดเดิม ที่นี่คือห้องนอนตนไม่ผิดแน่
เมื่อครู่เป็นเพียงฝันร้าย
แต่ในฐานะนักทำนาย มันย่อมทราบว่าความฝันคือลางบอกเหตุจากโลกวิญญาณ ชายหนุ่มพยายามเค้นสมองตีความภาพดังกล่าวออกมาเป็นเบาะแส
ทันใดนั้น ร่างกายไคลน์พลันแข็งทื่อเมื่อตระหนักได้ว่า วันนี้ตนหลงลืมสิ่งใดไป…
ในวินาทีที่เสียงขับขานของเลียวนาร์ดดังกังวานในหัว ไคลน์สัมผัสว่ามีบางสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังจ้องมองแผ่นหลังของตน
เป็นการจ้องมองที่แตกต่างจากผลข้างเคียงปรกติของโอสถในยามเข้าฌานและใช้เนตรวิญญาณ
มันมอบความรู้สึกเหมือนกับ… เดจาวู!
และตามคำบอกเล่าของหัวหน้าดันน์·สมิท หากตนสัมผัสถึงเดจาวูได้เมื่อไร
นั่นจะแปลว่า…
ไคลน์นั่งเอนหลังตรง มันพยายามยืนยันความรู้สึกตัวเองให้ชัดเจนอีกครั้ง
…ไม่ผิดแน่ ความรู้สึกเดจาวูหมายถึงสมุดบันทึก
สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส!
........................