ราชันเร้นลับ 36 : คำถามง่ายๆ หนึ่งข้อ
หลังจากหยุดครุ่นคิดถึงบทสนทนาของบิดาและพี่ชายเล็กน้อย ออเดรย์กล่าวต่อ
“พวกเขามองว่าระบบรัฐบาลค่อนข้างเปราะบาง ในทุกการเลือกตั้ง หากฝ่ายที่ชนะเปลี่ยนขั้ว เจ้าหน้าที่รัฐบาลจะถูกเปลี่ยนตั้งแต่ระดับสูงสุดจนถึงต่ำสุด ระบบบริหารจะโกลาหลไปหมด ส่งผลให้พ่ายแพ้สงคราม ประสิทธิภาพของรัฐบาลใหม่จึงต่ำกว่าปรกติมาก แถมยังสร้างความลำบากใจให้พลเรือนอีกด้วย”
ไคลน์ทราบดีว่า อาณาจักรโลเอ็นไม่มีระบอบการปกครองที่มีประสิทธิภาพให้อ้างอิง จึงยังเกิดระบบ ‘ข้าราชการ’ ขึ้น คลับคล้ายกับยุคสมัยเริ่มต้นทางการเมืองของโลกเก่า
ส่งผลให้ทุกครั้งที่เลือกตั้งจบและอำนาจเปลี่ยนขั้ว อำนาจใหม่ต้อง ‘ตอบแทน’ ผู้สนับสนุนด้วยการมอบตำแหน่งบริหารให้
หืม… แล้วเหตุใดจักรพรรดิโรซายล์ถึงไม่พัฒนาระบบข้าราชการขึ้นมาสักที?
หรือจะไม่ชอบเป็นการส่วนตัว?
หรือในบั้นปลายชีวิตมัวแต่เพ่งความสนใจไปกับเรื่องอื่น?
ทันใดนั้น แฮงแมน—อัลเจอร์·วิลสัน ส่งเสียงคิกคัก
“เพิ่งจะคิดได้อย่างนั้นหรือ? ความรู้สึกช้ากันจังนะ สงสัยถ้าถูกยุงทมิฬกัด กว่าจะรู้ตัวเข้าก็คงปาไปอีกหนึ่งปีให้หลัง”
ยุงทมิฬคือสิ่งมีชีวิตสุดป่าเถื่อนที่อาศัยทางตอนใต้ของอาณาจักรโลเอ็น พิษของมันรุนแรงมาก ผู้ที่ได้รับพิษจะถูกกระตุ้นให้ฉีกกระชากผิวหนังตัวเองทั้งเป็น
ออเดรย์เลื่อนมือขึ้นมาจับคางครุ่นคิด เธอไม่ใส่ใจถ้อยคำเหยียดหยันจากแฮงแมน เด็กสาวผมทองกล่าวเข้าประเด็นหลัก
“แต่น่าเสียดาย พวกเขามองหาวิธีที่ดีกว่าปัจจุบันไม่พบ”
ไคลน์ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ เพราะนี่คือสิ่งที่มันถนัดและสามารถเฉิดฉาย เดอะฟูลแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัยท่ามกลางกลุ่มหมอก
มันตอบสั้นห้วน
“แก้ได้ง่ายมาก”
จักรวรรดิแห่งอาหารมีระบบการปกครองที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่สมัยอดีต จนหลายชาติต่างหยิบยืมไปใช้เป็นแบบอย่าง ไคลน์ย่อมเจนจัดในเรื่องดังกล่าว ระบบ ‘จอหงวน’ เป็นสิ่งที่โด่งดังของการปกครองจีนสมัยอดีต
“ง่ายหรือคะ?”
ออเดรย์ถามกลับ สีหน้าของเธอค่อนข้างตกตะลึง
แม้จะไม่ได้ศึกษาด้านการเมืองโดยตรง แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ได้ฟังบทสนทนาระหว่างพี่ชายและบิดา ส่งผลพอจะให้มีความรู้ด้านการเมืองอยู่บ้าง
ไคลน์เค้นสมองนึกถึงกระดานดำของวิชาสังคมศึกษาเมื่อหลายปีก่อน
“จัดการสอบขึ้น แบบเดียวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เปิดการสอบให้ประชาชนทั่วไปมีสิทธิเข้าร่วม จะแบ่งคัดเลือกเป็นสองรอบหรือตามรอบก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม แต่เนื้อหาของข้อสอบต้องเกี่ยวพันกับตำแหน่งที่รับ เพื่อให้ได้บุคลากรระดับหัวกะทิเข้าทำงาน”
“แต่ว่า…”
ออเดรย์ทราบว่าการสอบเช่นนี้จะนำมาซึ่งสิ่งใด แต่ก่อนจะมีโอกาสได้เรียบเรียงคำพูด ไคลน์กล่าวแทรก
“จากนั้น ให้เหล่าหัวกะทิที่ผ่านการคัดเลือกทำงานในตำแหน่งที่สำคัญเช่นข้าราชการสภา ข้าราชการรัฐ ข้าราชการประจำหัวเมือง ข้าราชการประจำเขต และเลขาธิการสภา ใช่แล้ว ต้องเป็นตำแหน่งที่ใช้ความรู้ความสามารถขับเคลื่อนอาณาจักรได้”
“ตำแหน่งที่ต่างกัน ควรใช้บุคคลที่มีความถนัดแตกต่างกันไป การสอบรอบที่สองหรือรอบที่สามจะเป็นตัวระบุความถนัดและความสำคัญของหน่วยงานที่ทำงานที่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ ก็ต้องปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการ”
“ส่วนตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญอย่างรัฐมนตรี ประมุขรัฐ หรือเทศมนตรีเมือง ในส่วนนี้ปล่อยให้เป็นฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาบริหาร นั่นคือเวทีของนักการเมือง”
อัลเจอร์ที่เคยไม่แยแสด้านการเมือง มันถึงกับหันมาฟังด้วยสีหน้าสนใจ ขณะเดียวกัน ออเดรย์ขมวดคิ้วครุ่นคิดเป็นการใหญ่
“ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนระบบปกครองทั้งหมดในคราวเดียว เพราะหากเป็นเช่นนั้น ระบบปัจจุบันอาจถึงคราวพิการไปชั่วขณะ”
“การสอบคัดเลือกจะจัดขึ้นทุกปีหรือทุกสามปีก็ได้ ให้พิจารณาตามความเหมาะสม แถมตำแหน่งเหล่านี้ยังต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตามธรรมชาติครรลองของมัน”
“เมื่ออาณาจักรขยายตัวและมีตำแหน่งว่างเกิดขึ้น รวมถึงการเกษียณอายุของข้าราช วิธีจัดการกับตำแหน่งที่ว่างอยู่ก็คือ ให้คัดเลือกบุคลากรในหน่วยงานเดิมขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน และเมื่อเลื่อนขึ้นแบบขั้นบันได ตำแหน่งระดับล่างสุดที่ว่างลง จะให้บุคคลที่สอบผ่านในปีนั้นได้บรรจุเข้าทำงาน”
ไคลน์กำลังสำแดงฝีมือนักการเมืองคีย์บอร์ดอย่างช่ำชอง แขนทั้งสองยื่นออกมาด้านหน้าพลางกล่าวต่อ
“ด้วยระบบการปกครองเช่นนี้ รัฐบาลจะได้บุคลากรที่มีประสิทธิภาพเข้ามาทำงาน และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเปลี่ยนขั้วอำนาจหรือไม่ แต่ระบบบริหารสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคงและไม่เสียศูนย์”
แต่แน่นอน ผลเสียคือความล่าช้าของระบบ เนื่องจากต้องดำเนินงานผ่านขึ้นมาทีละขั้น กว่าจะถึงระดับบริหารก็เสียเวลาไปมาก นี่คือจุดด้อยใหญ่หลวงของระบบข้าราชการที่ทั่วโลกแก้ไม่ตก
ขณะออเดรย์กำลังตกผลึกคำแนะนำของเดอะฟูล เธอถามด้วยสีหน้าฉงน
“คุณกำลังจะบอกว่า ถ้าปกครองในวิธีดังกล่าว การเปลี่ยนถ่ายรัฐบาลจะไม่กระทบต่อการบริหารอาณาจักรใช่ไหมคะ? ต่อให้รัฐมนตรีชุดใหม่จะเป็นพวกลิงบาบูนขนดกก็ตาม”
“ผิดแล้ว”
อัลเจอร์รีบแทรก
“ผมเชื่อว่าลิงบาบูนขนดกบริหารประเทศได้ดีกว่ารัฐมนตรีชุดนี้”
มันชะงักครู่หนึ่งก่อนจะเสริม
“เพราะเหนือสิ่งอื่นใด บาบูนต้องการเพียงกิน นอน และผสมพันธุ์ พวกมันไม่ทำเรื่องสุดบัดซบอย่างการเสนอนโยบายงี่เง่า หรือไม่ก็ยืนกรานที่จะลงทุนในโครงการไร้สาระ”
มิสเตอร์แฮงแมน… ฟังจากน้ำเสียงแล้ว หัวหน้าของคุณคงระยำพอสมควรเลยนะ
ไคลน์นั่งส่ายศีรษะอย่างขบขันที่หัวโต๊ะ
ออเดรย์พยายามเรียบเรียงความคิดที่เดอะฟูลเสนอแนะ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงของเธอเริ่มเจือปนความตื่นเต้น
“บางที มันอาจได้ผลก็ได้… เป็นวิธีที่ง่ายได้มีประสิทธิภาพสูงมาก!”
เธอหันมองไคลน์ด้วยสีหน้าและแววตาเคารพเทิดทูน
“มิสเตอร์ฟูล คุณคงเป็นผู้อาวุโสที่มีปัญญาและความรู้กว้างขวางดุจดังมหาสมุทร …ใช่ไหมคะ?”
…มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย สายตากวาดมองสลับไปมาระหว่างจัสติสและแฮงแมนที่นั่งเงียบงัน
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน”
หากมิสจัสติสสามารถโน้มน้าวให้ตระกูลของเธอช่วยผลักดันระบอบปกครองใหม่ได้จริง ไคลน์ควรรีบแจ้งให้เบ็นสันทราบตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้เตรียมตัวสอบเป็นข้าราชการโดยมีความรู้เต็มเปี่ยม
หลังจากไตร่ตรองมาหลายวัน เบ็นสันเหมาะกับงานประเภทข้าราชการมาก
แต่แน่นอน มิสจัสติสคงไม่มีทางใช้ตระกูลตัวเองออกหน้าผลักดันกฎหมาย เพราะไม่อย่างนั้น ทั้งตนและแฮงแมนจะทราบทันทีว่าตัวจริงของมิสจัสติสคือใคร
ทว่า เธอสามารถลอบทำอย่างลับๆ ได้โดยให้ตระกูลอื่นออกหน้าแทน
“สุดแล้วแต่ท่าน”
ออเดรย์แล้วอัลเจอร์ลุกขึ้นทำความเคารพพร้อมกัน
ไคลน์เอนหลังพิงพนักพลางตัดการเชื่อมต่อดาวแดงทั้งสอง ทันใดนั้น ภาพร่างจัสติสและแฮงแมนพลันพร่ามัว ก่อนจะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ท่ามกลางสายหมอกสีเทา ท่ามกลางพระราชวังศักดิ์สิทธิ์ที่คล้ายกับวังสถิตของเหล่าเทพ ไคลน์ยังคงนั่งตามลำพังที่ตำแหน่งผู้ทรงเกียรติ
ชายหนุ่มไม่รีบตัดการเชื่อมต่อและกลับโลกเก่าเหมือนคราวก่อน สาเหตุเพราะพลังผู้วิเศษได้ช่วยให้จิตของมันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ชายหนุ่มตัดสินใจเลิกชุมนุมไพ่ทาโรต์เร็วกว่าปรกติ เพราะได้ทราบถึงท่าทีที่เหยี่ยวราตรีมีต่อสมุดบันทึกอันทีโกนัส ตัวมันจำเป็นต้องพยายามค้นหาสมุดบันทึกให้มากกว่านี้ หากเอาแต่นอนตีพุงอยู่บ้านโดยไม่ทำประโยชน์ ดันน์คงเกิดความหวาดระแวงและคำถามว่า …ตนมัวทำอะไรอยู่
ไม่เพียงเท่านั้น ไคลน์ยังได้รับผลประโยชน์ค่อนข้างมากในชุมนุมไพ่ทาโรต์เมื่อครู่
ชายหนุ่มยังคงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้สูงยาว แขนสองข้างวางผ่อนคลางลงบนที่พักแขน ฝ่ามือประสานกันเบื้องหน้า สายตากวาดมองรอบห้วงมิติสายหมอกอันกว้างใหญ่ที่เงียบสงัดประหนึ่งรกร้างมานานกว่าล้านปี
หลังจากสร้างการเชื่อมต่อเพื่ออัญเชิญแฮงแมนและจัสติสในวันนี้ ไคลน์ได้ทราบข้อมูลใหม่เพิ่มอีกหนึ่งข้อ
นั่นคือ… เมื่อกลายเป็นผู้วิเศษ ตนสามารถสร้างการเชื่อมต่อกับดาวแดงเพิ่มได้อีกหนึ่งดวง!
“หมายความว่า เราอัญเชิญแขกเพิ่มได้อีกหนึ่งคนอย่างนั้นหรือ?”
ไคลน์ย้อนนึกถึงความรู้สึกในวินาทีดังกล่าวก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
แต่มันก็ไม่กล้าลงมืออัญเชิญผู้ใด เพราะไม่มีทางทราบได้เลยว่า สมาชิกใหม่จะมีตัวตนและอุปนิสัยเป็นเช่นไร จะเป็นมิตรและเก็บความลับได้ดีเหมือนแฮงแมนและจัสติสหรือไม่
หากมันเกิดซวยอัญเชิญโดนดันน์·สมิทเข้าชุมนุมไพ่ทาโรต์ องค์กรลับที่มันก่อตั้งขึ้นอย่างยากลำบากก็จะอยู่ในสายตาของโบสถ์เทพธิดารัตติกาลทันที
ในฐานะบอสใหญ่แห่งองค์กรลับ ‘ชั่วร้าย’ มันกำลังเป็นห่วงอนาคตของตัวเอง
ไคลน์ทราบดีว่า มิติสายหมอกแห่งนี้เป็นปริศนาเร้นลับในระดับสูง ไม่ใช่สิ่งที่ผู้วิเศษระดับดันน์·สมิทหรือใกล้เคียงจะมองออกได้ง่าย
มันมิได้กลัวเหยี่ยวราตรีหรือดันน์·สมิท แต่สิ่งที่กำลังหวาดกลัวคือ ในเมื่อพลังพิเศษมีอยู่จริง ย่อมหมายความว่า เทพก็มีอยู่จริงด้วยเช่นกัน และคงแข็งแกร่งกว่าผู้วิเศษลำดับสูงหลายเท่า
แต่คงมีเหตุผลบางประการที่ทำให้เทพปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ไม่ได้
อย่างน้อย นับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้าเป็นต้นมา ไม่เคยมีหลักฐานว่ามนุษย์คนใดเคยพบเทพมาก่อน สิ่งเดียวที่ปรากฏคือคำพยากรณ์จากเทพซึ่งก็มีจำนวนไม่มาก
“อา… การลากคนเข้าร่วมประชุมโดยไม่ผ่านความสมัครใจ คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ไม่มีใครต้องการถูกดึงมายังมิติเร้นลับซึ่งอธิบายเหตุผลไม่ได้… เรื่องนี้ไว้ค่อยตัดสินใจอีกครั้งในอนาคต”
ไคลน์ถอนหายใจยาวพลางลุกขึ้นยืน
มันลงมือตัดการเชื่อมต่อกับห้วงมิติสายหมอก ทันใดนั้น ภาพการมองเห็นพลันหมุนเคว้งและหล่นวูบ
หมอกสีเทาและดาวแดงเลือนหายไป ร่างกายไคลน์เจ็บแปลบเล็กน้อยคล้ายกับถูกผิวน้ำซัดกระแทก จนกระทั่งภาพในดวงตากลับกลายเป็นโลกความจริง—ห้องนอนอันมืดมิดของมัน
ไคลน์กลับออกมาโดยปราศจากอาการเหนื่อยล้าเจียนตายเหมือนคราวก่อน ประสบการณ์เมื่อครู่จึงยังคงเด่นชัด
“น่าแปลก… ห้วงมิติสายหมอกไม่เหมือนกับโลกวิญญาณที่ลุงนีลล์อธิบาย…”
ไคลน์พยายามขยับแขนขาเพื่อสัมผัสถึงการมีอยู่ของอวัยวะ
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน มันทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างไร้คำตอบ ก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดม่านที่มุขหน้าต่าง
พรืด!
เมื่อม่านถูกเก็บ แสงแดดยามบ่ายจึงสาดส่องเข้ามาด้านในจนห้องเริ่มสว่าง
ชายหนุ่มจ้องมองผู้คนที่เดินขวักไขว่สวนกันไปมาบนถนนด้านล่าง ไคลน์สูดลมหายใจเต็มปอดก่อนพึมพำกับตัวเองเสียงค่อย
“ถึงเวลาออกไปทำงานแล้วสินะ”
“แล้วเราจะสวมบทบาทเป็นนักทำนายด้วยวิธีไหน?”
“ห้ามรีบร้อนเด็ดขาด… และอย่าลืมหมั่นฝึกฝนเนตรวิญญาณอย่างต่อเนื่อง”
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตราชินี
ภาพของสตรีนามว่าออเดรย์·ฮอลล์กำลังถูกสะท้อนภายในกระจกเงาโต๊ะเครื่องแป้ง แก้มของเด็กสาวยังคงแดงระเรื่อจากอาการตื่นเต้น แววตาส่องประกายอย่างเจิดจ้าจนไม่มีใครกล้าเผชิญ
เธอไม่สนใจรูปลักษณ์ตัวเองแม้แต่น้อย สมาธิทั้งหมดเพ่งอยู่กับการใช้ปากกาหมึกซึมด้ามสีทองที่มีทับทิมประดับประดา จดสูตรผลิตโอสถผู้ชมลงในกระดาษหนังแพะเพื่อป้องกันมิให้หลงลืม
“น้ำบริสุทธิ์แปดสิบมิลลิลิตร สารสกัดหญ้าฝรั่นเหมันต์ห้าหยด ผงดอกโบตั๋นฟันวัวสิบสามกรัม กลีบดอกไม้เอลฟ์เจ็ดกลีบ ดวงตาปลามานเฮอร์โตเต็มวัยหนึ่งข้าง และโลหิตปลาดำเขาวัวสามสิบห้ามิลลิลิตร”
ฟู่ว… ออเดรย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะอ่านทวนซ้ำอีกหลายครั้งเพื่อเน้นย้ำให้ปราศจากข้อผิดพลาด
ภายในใจกำลังต้องการเต้นรำไปรอบห้องอย่างยินดีปรีดา แต่ก็ต้องข่มความอยากนั้นเอาไว้
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เธอเริ่มเขียนสูตรทางเคมีจำนวนมากลงไปรอบสูตรผลิตโอสถ ออเดรย์พยายามทำให้กระดาษหน้านี้ยุ่งเหยิงและอ่านยากที่สุด จะได้ไม่มีใครถอดความออก
เมื่อไม่มีใครอ่านมันได้ คนที่เปิดผ่านก็จะมองเป็นเพียงหน้ากระดาษจดสูตรเคมีทั่วไป มิอาจค้นพบสาระสำคัญที่ต้องการเก็บซ่อน…
ฉลาดมาก! ออเดรย์กล่าวชมตัวเองก่อนจะเริ่มขบคิดถึงหนทางรวบรวมวัตถุดิบ
“ต้องไปรื้อคลังตระกูลดูก่อนว่าพอจะมีสิ่งใดอยู่บ้าง ส่วนที่เหลือค่อยหาวิธีแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น…”
“ถ้าจนปัญญาที่จะรวบรวม คงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากแฮงแมนหรือเดอะฟูล… แล้วเราจะจ่ายพวกเขาด้วยอะไรได้บ้าง?”
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ออเดรย์ปิดสมุดลง เธอนำมันไปวางไว้บนชั้นหนังสือปะปนกับเล่มอื่น ก่อนจะเดินไปที่หน้าประตูและออกแรงบิดกลอน
สุนัขโกลเด้นรีทรีเวอร์กำลังนั่งรอหน้าห้องอย่างว่านอนสอนง่าย
ออเดรย์ยกมุมปากขึ้นพลางเผยรอยยิ้มแสนร่าเริงเจือความอ่อนโยน
“ซูซี่ ทำภารกิจได้ดีมาก!”
“ในนิยายที่ถูกแต่งลงหนังสือพิมพ์ นักสืบมักมีผู้ช่วยเป็นสุนัขแสนรู้เสมอ… ฉันเองก็มีสุนัขตัวใหญ่คอยสนับสนุนผู้ชมตัวจริงเหมือนคนอื่นเค้าด้วย~”
…
ณ ห้องใต้ดินที่มีเพียงแสงเทียนไขไสววูบวาบ อัลเจอร์·วิลสันยกฝ่ามือขึ้นพลางเพ่งพิจารณารายละเอียด
หลังจากผ่านไปสักพัก มันทำได้เพียงถอนหายใจยาว
“น่าอัศจรรย์มาก… เรามิอาจหาเหตุผลมาอธิบายได้เลย”
แม้จะเตรียมอุปกรณ์มากมายสำหรับวิเคราะห์สืบหาต้นตอ แต่มันก็ยังไม่พบคำตอบสักทีว่า เดอะฟูลใช้วิธีใดอัญเชิญจิตของมันเข้าไปในห้วงมิติสายหมอก
สายตาก้มลงมองแผ่นกระดาษหนังแพะที่วางบนโต๊ะอย่างเหม่อลอย
หัวกระดาษสีน้ำตาลอมเหลืองถูกเขียนไว้ด้วยอักษรเฮอร์มิสหมึกสีน้ำเงินเข้มว่า...
“ลำดับเจ็ด นักเดินเรือ”
........................