ราชันเร้นลับ 33 : ปุ่มเปิดปิด
เมื่อสิ้นเสียงลุงนีลล์ ดวงตามายาที่จ้องมองจากด้านหลังพลันสลายไป แม้จะยังอยู่ในภาวะเนตรวิญญาณ แต่ไคลน์กลับสัมผัสตัวตนไม่ได้อีกเลย
“เป็นผลกระทบจากพิธีกรรมน่ะ”
ลุงนีลล์อมยิ้ม
สุดยอด… เนตรวิญญาณคือเนตรหยินหยางที่ถูกยกระดับอย่างนั้นหรือ? ไคลน์กำลังตื่นเต้นประหนึ่งเด็กเล็กได้ของเล่นใหม่
มันตัดสินใจกวาดสายตาไปรอบตัว เพื่อจะเปรียบเทียบระหว่างห้องแปรธาตุที่มองผ่านเนตรวิญญาณ และมองผ่านดวงตาปรกติ
ทว่า ภาพเค้าลางของวัตถุทุกชนิดยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ หลอดแก้ว ตาชั่ง หรือถ้วยแก้ว ทุกสิ่งยังเหมือนกับมองด้วยตาเปล่า มิได้ปรากฏแสงสีของออร่าเช่นมนุษย์
สิ่งไม่มีชีวิตจะไม่มีออร่าอย่างนั้นหรือ?
ไคลน์ชำเลืองสายตามองกล่องสีเงินใจกลางโต๊ะไม้ ทันใดนั้น ชายหนุ่มมองเห็นสีสันเจือจางสว่างจากปากกล่อง มีทั้งสีฟ้าครามราวกับท้องฟ้า สีขาวระยิบระยับเหมือนดวงดาว และสีแดงฉานประหนึ่งเปลวเพลิงระอุลุกโชน
“วัตถุดิบจากสัตว์วิเศษยังมีสัญญาณชีพหลงเหลืออยู่อีกหรือ? แถมยัง เอ่อ… ยังไม่ตายหรือครับ? ทั้งที่ร่างต้นเสื่อมสลายไปนานแล้ว”
ไคลน์พึมพำเสียงดัง มันต้องการให้ลุงนีลล์ช่วยไขข้อข้องใจ
“คำอธิบายที่ถูกต้องก็คือ พวกมันยังหลงเหลือเศษเสี้ยววิญญาณอยู่ภายใน เป็นสาเหตุสำคัญที่ช่วยให้เจ้ากลายเป็นผู้วิเศษ และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้วิเศษเกิดการคลุ้มคลั่ง… ดันน์คงเล่าให้ฟังบ้างแล้วสินะ”
นีลล์อธิบายอย่างคร่าว ก่อนจะหัวเราะเมื่อนึกบางสิ่งขึ้นได้
“ฮะฮะ! จะบอกอะไรให้ โอสถนักเก็บซากศพมีส่วนผสมสำคัญคือคางคกจุดดำโตเต็มวัยซึ่งต้องนำไปตากแห้ง การฝืนกระเดือกโอสถดังกล่าวต้องใช้ความกล้าไม่น้อยทีเดียว”
เพียงจินตนาการตามก็มากพอจะทำให้ชายหนุ่มขยะแขยง มันไม่พยายามทวนซ้ำ สายตากวาดมองรอบห้องเผื่อว่าจะพบดวงวิญญาณหรือภูตผีให้ทดสอบพลังเนตรใหม่
“ไม่ใช่ว่าในโลกควรมีวิญญาณล่องลอยเต็มไปหมดหรือครับ?”
ไคลน์ถามฉงน
ลุงนีลล์ยิ้ม
“เจ้าหนุ่ม พูดตามฉัน : ที่นี่คือศูนย์บัญชาการใหญ่ของเหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็น แถมยังอยู่ใต้วิหารพระแม่เซเลน่า สถานที่ซึ่งมีผู้วิเศษขวักไขว่เต็มไปหมด! คิดว่าจะมีผีหรือวิญญาณร้ายตนใดเร่ร่อนมาถึงนี่ได้หรือ? และอย่างที่เคยบอกไป โลกมนุษย์และโลกวิญญาณนั้นแยกจากกัน”
ไคลน์พลันเคอะเขินที่ดันมองข้ามเรื่องพื้นฐานขนาดนี้ มันเบือนหน้าหนีไปทางโคมไฟผนังบริเวณทางเข้าและแสร้งทำเป็นจ้องมองอย่างสนใจ
“เข้าใจแล้วครับ”
เมื่อกล่าวจบ กึ่งกลางหว่างคิ้วพลันกระตุก
เกิดอะไรขึ้น?
ขณะจะหันหลังกลับมาถาม มันเหลือบไปเห็นเงาลางของคนผู้หนึ่งยืนบริเวณหน้าประตูอย่างเงียบงัน รอบตัวมีแสงสีขาวเจือจางส่องสว่างตัดความมืด
เป็นรูปร่างมนุษย์ไม่ผิดแน่ แต่สีของออร่าดันกลมกลืนไปกับความมืดอย่างน่าประหลาด ส่งผลให้ไคลน์แยกแยะไม่ออกในทีแรก
ตุบตุบ!
หว่างคิ้วชายหนุ่มกระตุกรุนแรง ภาพการมองเห็นเริ่มปั่นป่วน มันพยายามเพ่งหาตัวตนปริศนาเมื่อครู่ แต่บัดนี้สัมผัสไม่ได้อีกแล้ว
น่าแปลก… มันหันกลับมาถามลุงนีลล์
“มิสเตอร์นีลล์ ผมปวดหว่างคิ้วมากเลย มันกระตุกยิบๆ”
“ฮะฮะ! เป็นเรื่องปรกติ เจ้ายังเป็นผู้วิเศษหน้าใหม่ เนตรวิญญาณจึงสร้างภาระให้กับกายจิตมาก เจ้าใช้มันต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป ผลทางกายภาพที่พบได้บ่อยคือ หว่างคิ้วกระตุก ปวดศีรษะ และมองเห็นภาพหลอน ไม่เพียงเท่านั้น การอยู่ในภาวะเนตรวิญญาณนานเกินไป จะทำให้รู้สึกอึดอัดจากสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย แถมเจ้าอาจคล้อยตามอารมณ์ของผู้อื่นได้ง่าย นี่คือสิ่งที่ต้องพึงระวังให้ดี พยายามฝึกซ้อมให้บ่อยครั้ง แต่ต้องไม่อยู่ในภาวะเนตรวิญญาณนานเกินไป ฮะฮะ!”
นีลล์ตอบพร้อมเสียงหัวเราะ
ทำไมสีหน้าของลุงถึงกำลังสนุกในตอนที่ผมเดือดร้อน…
ไคลน์เอ่ยปากถามต่อ
“แล้วผมจะออกจากเนตรวิญญาณยังไง?”
ชายหนุ่มเคยคิดจะถามเรื่องบุคคลลึกลับเมื่อครู่ แต่เมื่อได้ยินว่า อาการปรกติของการใช้เนตรวิญญาณคือเห็นภาพหลอน มันจึงปล่อยผ่านไป เพราะคำตอบของนีลล์คงไม่เป็นอื่นแน่นอน
“คล้ายกับตอนเปิดใช้ ให้นึกถึงวัตถุที่เบี่ยงเบนความสนใจจนกว่าจะหลุดพ้นจากสภาวะเข้าฌาน จงหลับตาลงและเพ่งจิตให้ยกเลิกเนตรวิญญาณซ้ำไปมา จากนั้นก็ลืมตาขึ้น แล้วการมองเห็นจะกลับเป็นปรกติ”
ลุงนีลล์อธิบายอย่างคร่าว ก่อนจะเสริม
“แน่นอนว่า นั่นเป็นวิธีที่หยาบและด้อยประสิทธิภาพที่สุด ผู้วิเศษอย่างเราสามารถสะกดจิตร่างกายให้เข้าและออกภาวะเนตรวิญญาณได้ง่ายกว่านั้น หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ สร้างปุ่มปิดเปิดทางธรรมชาติขึ้นมา”
“ตัวอย่างเช่น หลอกร่างกายว่า เมื่อใช้ปลายนิ้วแตะหว่างคิ้วสองครั้งจะเป็นการเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณ และหากแตะซ้ำอีกสองครั้งจะเป็นการยกเลิก ทำนองนี้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน”
“เข้าใจแล้วครับ”
ไคลน์ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะทดสอบใช้วิธีที่ลุงนีลล์แนะนำ—แตะหว่างคิ้วสองครั้ง แทนปุ่มเปิดปิดภาวะเนตรวิญญาณ
การแตะแค่หนึ่งครั้งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และการแตะสามครั้งนั้นมากเกินไป อาจไม่ทันในบางสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน ส่วนการกระทำโจ่งแจ้งจำพวกดีดนิ้วจะสร้างจุดเด่นเกินจำเป็น
ไคลน์เพ่งสมาธิเพื่อสร้างบอลแสงซ้อนทับกันอีกครั้งเพื่อให้เข้าฌาน
หลังจากได้ลุงนีลล์คอยชี้แนะ ไคลน์ใช้เวลาฝึกฝนอีกสักพักจนได้รับ ‘ปุ่มเปิดปิด’ ภาวะเนตรวิญญาณอย่างสมบูรณ์
ชายหนุ่มกำหมัดแน่นอย่างสะใจ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วชี้แตะเบาๆ ที่หว่างคิ้วสองครั้ง ทันใดนั้น ภาพการมองเห็นพลันปรากฏแสงออร่าหลากสีสัน
เมื่อแตะอีกสองครั้ง ทุกสิ่งก็กลับสู่ปรกติ
“ผมทำสำเร็จแล้ว…”
ไคลน์ถอนหายใจยาวอย่างมีความสุข
เมื่อฝึกซ้อมเสร็จ ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งโดยไม่รู้ตัว ราวกับพร้อมหลับวูบได้ทุกเมื่อ และบางทีอาจหลับไปนานถึงสามวันเต็ม
นีลล์หัวเราะคิกคัก
“พวกเราไม่ใช่ผู้ไร้หลับสักหน่อย การสิ้นเปลืองพลังกายย่อมต้องง่วงนอนอยู่แล้ว เจ้าควรกลับบ้านไปพักผ่อนสักงีบใหญ่ ในช่วงบ่ายค่อยตื่นมาเดินสำรวจรอบบ้านเวิร์ชเพื่อหาเบาะแสของสมุดบันทึกอันทีโกนัส พรุ่งนี้ฉันจะสอนศาสตร์เร้นลับให้เพิ่มเติม แน่นอน เจ้าจะได้อ่านเอกสารโบราณด้วย”
“ครับผม!”
ไคลน์เห็นด้วยทุกประการกับคำแนะนำของลุงนีลล์
ชายหนุ่มใช้ไม้ค้ำพยุงร่างออกจากห้องแปรธาตุ มันและลุงนีลล์แยกย้ายเมื่อถึงทางแยก ลุงนีลล์ต้องไปเฝ้าคลังอาวุธต่อ ส่วนไคลน์แบกร่างอันอ่อนล้าของตนเดินขึ้นบันไดหินพลางบีบนวดขมับ
ทันใดนั้น ดันน์·สมิทเดินเข้ามาทักจากด้านหลังด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“ผมได้ยินมาว่า คุณเป็นผู้ที่เหมาะกับนักทำนายมาก ถึงขนาดใช้เนตรวิญญาณได้โดยไม่ต้องเข้าฌานอย่างนั้นหรือ?”
“คงเป็นพลังพิเศษเฉพาะตัวของนักทำนายกระมังครับ”
ไคลน์ตอบถ่อมตน
หัวหน้าคงรับหน้าที่เฝ้าคลังอาวุธแทนนีลล์จนถึงเมื่อครู่สินะ
ดันน์·สมิทเดินแซงไคลน์ไปเล็กน้อย ก่อนจะชะงักและหันกลับมากล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง
“คุณต้องจำใส่ใจไว้ว่า แมวขี้สงสัยคือแมวที่อายุสั้น ผู้วิเศษก็เช่นกัน ห้ามฟังเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน และห้ามจ้องมองสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นโดยเด็ดขาด”
“เข้าใจแล้วครับ”
ไคลน์ยังจำได้ นั่นคืออีกสาเหตุสำคัญที่ผู้วิเศษเกิดการคลุ้มคลั่ง
เมื่อกลับถึงสำนักงานบริษัทหนามทมิฬ ชายหนุ่มกล่าวอำลาโรแซนที่ยังไม่ทราบว่าตนกลายเป็นผู้วิเศษ จากนั้นก็เดินลงบันไดและขึ้นรถม้าแบบรางกลับถนนดารารัตน์—บ้านหลังใหม่ เมื่อเสร็จสิ้นการเดินทาง ไคลน์รู้สึกอ่อนล้าพร้อมสลบลงทุกเมื่อ
ยังเป็นเวลาช่วงเช้าของวัน อุณหภูมิประมาณยี่สิบหกองศาเซลเซียส ไคลน์นำกุญแจออกจากเอวและไขประตูบ้านเข้าไป
บ้านหลังใหม่ยังขาดองค์ประกอบอีกหลายสิ่ง ห้องนั่งเล่นนับว่าโล่งเกินไป
วันนี้วันจันทร์ เบ็นสันและเมลิสซ่าจึงออกไปทำงานและเรียน คนทั้งสองออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว
ไคลน์ไม่มีกะจิตกะใจจะทำสิ่งใด มันล็อกประตูหน้าบ้านและเดินขึ้นชั้นสองไปยังห้องนอนใหญ่ที่สุดซึ่งมีตู้หนังสือ—ห้องนอนไคลน์
ทักซิโด้ถูกถอดออกและแขวนไว้บนราว ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะทิ้งตัวลงบนเตียง และในวินาทีดังกล่าว มันก็หลับเป็นตายในพริบตา
…
ไคลน์·โมเร็ตติถูกปลุกให้ตื่นด้วยแสงแดดที่สาดทอดทับใบหน้า มันงัวเงียลืมตาขึ้นและได้พบกับดวงอาทิตย์อันร้อนแรงนอกหน้าต่าง
“กี่โมงแล้ว? เลยเวลาชุมนุมไพ่ทาโรต์ไปหรือยัง?”
ไคลน์ลนลานคลานจากเตียงไปยังราวแขวนผ้าเพื่อล้วงนาฬิกาพกออกจากกระเป๋าทักซิโด้
ไม่เพียงหลงลืมเวลานัดหมาย แต่ยังลืมปิดประตูห้องนอนให้เรียบร้อยด้วย! แถมผ้าม่านมุขหน้าต่างก็ไม่ถูกเลื่อนปิดเพื่อบดบังแสงแดด
กริ๊ก! ไคลน์รีบเปิดฝานาฬิกาพกเพื่อตรวจสอบเวลา…
เพิ่งจะเลยบ่ายมาเพียงเล็กน้อย ยังเหลือเวลาอีกพอสมควรก่อนจะถึงเวลานัดหมายของชุมนุมไพ่ทาโรต์ตอนบ่ายสามตรง
ทุกวันจันทร์ ไคลน์ต้องพบปะกับแฮงแมนและจัสติสเพื่อรวบรวมข้อมูล
ชายหนุ่มแตะหว่างคิ้วสองครั้ง ภาพการมองเห็นรอบตัวเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันสำรวจร่างกายเพื่อตรวจสุขภาพและอาการผิดปรกติ
ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดี
หว่างคิ้วถูกแตะซ้ำสองครั้งเพื่อปิด มันเดินลงบันไดอย่างอารมณ์ดี ไคลน์เปิดกระปุกชาคุณภาพต่ำโรยใส่กาน้ำเพื่อต้ม เมื่อตระเตรียมเรียบร้อย อาหารกลางวันคือชาคู่กับขนมปังไรย์ทาเนยที่เตรียมไว้
ถัดมาเป็นการทบทวนความรู้ของโลกยุคปัจจุบันจากหนังสือและไดอารีของไคลน์คนก่อน มันเริ่มเข้าใจพื้นเพและธรรมชาติของโลกใบนี้เพิ่มขึ้นเมื่อความทรงจำในอดีตเริ่มกลับคืนมาทีละนิด
…
เวลา 2:57 ในยามบ่าย ชายหนุ่มปิดหนังสือลงพร้อมกับสวมปลอกปากกา ผ้าม่านภายในห้องถูกดึงปิดสนิทมิดชิด ส่งผลให้บรรยากาศค่อนข้างมืดสลัว ก่อนจะเดินไปล็อกประตูห้องนอนปิดท้าย
ปลายนิ้วชี้ถูกแตะหว่างคิ้วสองครั้งเพื่อเข้าสู่ภาวะเนตรวิญญาณ สายตากวาดมองสำรวจรอบห้องหาสิ่งผิดปรกติ
เมื่อไม่พบอะไร ไคลน์ออกจากเนตรวิญญาณและตรวจสอบเวลาจากนาฬิกาพกเป็นครั้งสุดท้าย
ติ๊ก ต่อก
ติ๊ก ต่อก
อีกหนึ่งนาทีก่อนบ่ายสาม ไคลน์ปิดนาฬิกาและเริ่มเดินทวนเข็มเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อนจะปิดท้ายด้วยการท่องคาถาภาษาจีนกลางเสียงค่อย
เพียงแต่ในคราวนี้ มันไม่ต้องเตรียมอาหารวางไว้สี่มุมห้อง
ขณะหลับตาลง ไคลน์เริ่มสัมผัสว่าหลังมือเกิดอาการคันยุบยิบ ประหนึ่งจุดดำทั้งสี่ที่เรียงตัวเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสกำลังปูดโปนออกมาจากผิวหนัง
เสียงตะโกนโหวกเหวกและเสียงกระซิบอันแหบพร่ายังคงดังข้างหูอย่างเด่นชัดเช่นเคย แต่ไคลน์สัมผัสได้ว่า อาการปวดศีรษะไม่รุนแรงเหมือนกับครั้งแรก
ไม่ใช่ว่ามันไม่ส่งผล แต่คงเพราะไคลน์ชื่อฟังคำเตือนของดันน์ที่กล่าวว่า ‘ห้ามตั้งใจฟังเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยินเด็ดขาด’
ในฐานะผู้วิเศษ มันจำเป็นต้องมีวินัยกับตัวเองมากกว่าคนปรกติ
เพียงพริบตา ร่างกายพลันเบาหวิวประหนึ่งลอยได้ ภาพการมองเห็นหมุนเคว้งก่อนจะปรากฏทะเลหมอกสีเทาเข้มข้นเหมือนคราวก่อน
หลังจากกวาดสายตามอง ไคลน์เหลือบเห็น ‘ดาว’ สีแดงสองดวงที่มีสายสัมพันธ์เล็กๆ เชื่อมกับตน ขณะเดียวกันก็ความรู้สึกสนิทสนมอย่างน่าประหลาด
ไคลน์ก้มสำรวจร่างกายตัวเองที่ค่อนข้างโปร่งแสงและพร่ามัว จากนั้นก็พึมพำ
“นี่คือวิญญาณดาราที่ลุงนีลล์หมายถึงหรือ?”
ไคลน์ยืนสงบนิ่งอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่มิติสายหมอกจะแปรเปลี่ยนเป็นโถงประชุมศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ หลังคาสูงทรงโดมหรูหรา โต๊ะทองเหลืองยาวและมีเก้าอี้พนักสูงยี่สิบสองตัวรายล้อม แบ่งเป็นข้างละสิบตัว หัวท้ายอีกตำแหน่งละตัว บนพนักเก้าอี้ทุกตัวมีสัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์สลักแตกต่างกันไป
ไคลน์เดินไปนั่งหัวโต๊ะด้วยมาดสุขุม จากนั้นก็เสกให้หมอกสีเทารอบตัวทวีความเข้มข้นขึ้นกว่าปรกติ มือขวาเอื้อมออกไปสัมผัส ‘ดาว’ แดงทั้งสองดวงเพื่อสร้างการเชื่อมต่อสุดปาฏิหาริย์
........................