บทส่งท้าย
"วันนี้มีงานอีกมั้ย ควินซ์"
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้นหลังจากเซ็นเอกสารที่ผมเพิ่งส่งให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยจำได้ว่าไม่มีแล้วนะ แต่เพื่อความชัวร์จึงเปิดดูในไอแพดคู่ใจก่อน
"เหมือนจะมีกินข้าวกับประธานฮัทต์นะ"
"เลื่อนไปก่อน" นับหนึ่งเอนหลังพิงเบาะอย่างเกียจคร้าน
"ทำไม" ผมถามโดยอัตโนมัติ "จะไปไหน"
"ยังไม่รู้แต่เลื่อนนัดคืนนี้ไปก่อน" ว่าอย่างไม่ใส่ใจแล้วหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบพลางลอบมองหน้าผมไปด้วย "วันนี้เนคไทดูดีนะ"
ใบหูของผมแดงระเรื่อแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย "คุณซื้อให้เมื่อสามวันก่อนไง"
"ไหนบอกจะไม่ใช้" รอยยิ้มกรุ้มกริ่มเผยออกมาจนอยากจะเอาแฟ้มฟาดหน้าสักป้าบ "ไม่ชอบ จะไม่ใส่แต่ก็เอามาใส่ หมายความว่าไงครับ คุณเลขาของผม"
"เรื่องของผมครับ" ถลึงตาใส่อย่างโมโห "ทำงานไป!"
"ฮ่าๆๆ" ยั่วโมโหผมจนโกรธได้ก็หัวเราะร่าจนผมหน้าบึ้งเลยหมุนตัวเดินออกมาเพื่อกลับไปยังโต๊ะหน้าห้องแน่นอนว่าไม่ลืมปิดประตูแรงๆ ใส่ด้วย
ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้แล้วเลิกคิ้วมองดูกล่องขนมสีน้ำตาลอ่อนเรียบหรูที่ไม่รู้โผล่มาได้ยังไงแต่มันก็โผล่มาวางบนโต๊ะผมแล้ว เหลือบตาไปมองทางบอดี้การ์ดผู้เย็นชาตรงห้องรับรองที่อยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของผมเล็กน้อยก็เห็นว่าแต่ละคนต่างทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เช่นเคย
ผมถอนหายใจแล้วยิ้มอ่อนๆ "จีบเหมือนเด็กมัธยมจริงๆ" พูดเบาๆ แล้วทอดมองกล่องขนมด้วยแววตาอ่อนโยน
ตั้งแต่นับหนึ่งขอโอกาสจากผมในวันนั้น ทุกช่วงสายและบ่ายของทุกวันที่ทำงานก็จะมีขนมนมเนยดอกไม้มาแอบวางบนโต๊ะทำงานของผมเสมอในเวลาที่ผมไม่อยู่โต๊ะ และคนที่เอามาวางก็จะเป็นพวกบอดี้การ์ดของนับหนึ่ง
ตอนนี้เขาส่งขนมมาให้ผมเกือบแปดเดือนแล้ว ไม่ขาดไปแม้แต่วันเดียว แน่นอนว่าผมใจอ่อนยวบไปตั้งแต่สามเดือนแรกแล้ว แต่เรื่องอะไรที่ผมจะบอกมันเล่า
ผมเองก็อยากรู้ว่ามันจะอดทนทุ่มเทให้ผมได้ขนาดไหน
แต่ดูเหมือนผมจจะดูถูกมันไปเยอะ
สิ่งที่มันทำให้ผมเห็นนั้นเกินความคาดหวังของผมไปไกลแล้ว
เมื่อแกะกล่องขนมดูพบว่าขนมยามบ่ายวันนี้เป็นเค้กชินนาม่อนกับพายบลูเบอรี่ แล้วก็ยังมีโพสอิทเล็กๆ เขียนด้วยลายมือตวัดๆ ของนับหนึ่ง บนกระดาษเป็นคำกลอนบอกรักที่ลอกมาจากอินเตอร์เน็ตแต่ผมจะพยายามทำเป็นไม่รู้แล้วกันว่ามันมาจากไหน
ตลอดบ่ายผมนั่งทำงานจนเสร็จไปแล้วส่วนหนึ่งก่อนจะเปิดดูแฟ้มบุคคล ตอนนี้ผมปรึกษานับหนึ่งแล้วเรื่องจัดตั้งทีมเลขา เพิ่มผู้ช่วยเลขาอีกสามคนและต้องไม่โสด ข้อกำหนดนี้นับหนึ่งเป็นคนพูดเอง
ก่อนเลิกงานประมาณครึ่งชั่วโมง บอสของผมก็ออกมาจากห้องมายืนที่หน้าโต๊ะทำงานของผมไม่พอยังมาเร่งให้ทำผมงานให้เสร็จไวๆ อีก
ใครใช้ให้ตัวเองทำงานเสร็จก่อนชาวบ้านเล่า นั่งรอไป
ผมนั่งทำงานจนเสร็จก็เป็นเวลาเลิกงานพอดี เอื้อมมือไปหยิบเสื้อโค้ตตัวหนามาสวมใส่ก่อนจะตามด้วยผ้าพันคอ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐเท็กซัสและเป็นช่วงฤดูหนาวพอดี เมื่อสองวันก่อนก็มีหิมะตกด้วย
"วันนี้จะไปไหน" ผมเอ่ยถามคนข้างๆ ขณะจัดผ้าพันคอไปด้วย
"ไม่บอก"
"คงไม่ได้พาไปที่แปลกๆ หรอกนะ" นึกถึงเมื่อเดือนก่อน นับหนึ่งมีตารางงานที่ประเทศจีน เขาชวนผมไปดูงานที่โรงถ่ายหนัง สตูดิโอใหญ่ยักษ์ แน่นอนว่าพอไปถึงมันจับผมไปเดินเล่นโซนถ่ายทำหนังสยองขวัญ ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือโง่กันแน่ ตัวเองกลัวผีแต่ยังจะไปสตูดิโอหลอนๆ ถ่ายหนังผีอีก
สรุปพอไปถึงก็โวยวายไม่มีมาดท่านประธานผู้น่าเกรงขามเหลืออยู่เลย มันให้เหตุผลว่ามาสถานที่ถ่ายทำพวกนี้แล้วเผื่อจะหายกลัวผีแต่ดูเหมือนมันจะกลัวมากกว่าเดิมอีก
เฮ้อ ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ให้ดีเหมือนกัน ตรรกะอะไรของมัน
"ไม่" นับหนึ่งหันมามองเล็กน้อยแล้วหันกลับไป "รับรองว่ามึงจะชอบจนร้องไห้เลย"
คิ้วโก่งเรียวสวยยกขึ้น "ขนาดนั้นเลย?"
พูดมาแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ผมอยากรู้ขึ้นไปอีกว่าจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้จะเป็นที่ไหน หลังจากลงลิฟต์เดินมาถึงหน้าบริษัทแล้วก็พบกับรถหรูจอดรออยู่ก่อนแล้ว
"วันนี้จะขับไปเอง?" รถตรงหน้าเป็นรถสำหรับสองที่ "แน่ใจว่าไม่หลงทางนะ?"
อาทิตย์นี้พวกเรามาทำงานที่เท็กซัสแทนพี่ออสติน อีกอย่างเราก็ไม่มาเท็กซัสกันบ่อยๆ เรื่องเส้นทางต่างๆ ยังไม่ชำนาญอะไรนัก
"ให้คนอื่นขับดีกว่ามั้ย" รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรจริงๆ เวลานับหนึ่งขับรถเนี่ย
"เชื่อใจกูหน่อยสิ!" คนขับถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด "นั่งเงียบๆ ไปเลย!"
ผมเบ้ปากใส่ไปทีหนึ่งแล้วหยิบไอแพดขึ้นมาเล่น ปล่อยให้นับหนึ่งขับรถไป ตลอดทางเราไม่ได้คุยอะไรกันเพราะนับหนึ่งเอาแต่นิ่วหน้าคิ้วขมวดจ้องถนนไม่ละสายตา สงสัยกลัวหลงทางแน่เลยถึงได้ตั้งมั่นตั้งสมาธิขนาดนี้
เห็นความพยายามแล้วจึงไม่รบกวน นั่งเล่นไอแพดต่อไป และเราก็ได้มาถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้ในที่สุดโดยใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม เงยหน้ามองป้ายของสิ่งก่อสร้างตรงหน้าก็พบว่าเป็นภัตตาคารใต้น้ำชื่อดังติดอันดับโลกทีเดียว
แน่นอนว่าผมไม่เคยมาย่อมตื่นเต้นเลยทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่านอกจากรถของเราแล้วก็ไม่มีคนอื่นอยู่เลย
"ไปๆ ลง" นับหนึ่งปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถไป
ผมลงตามไปจนเข้าไปในตัวภัตตาคารแล้วถึงรับรู้ว่าร้านนี้ในวันนี้ดูเงียบผิดปกติ คิดไปคิดมาแล้วหันไปทางคนนิสัยเสีย "มึงปิดร้านอีกแล้วใช่มั้ย"
"คนเยอะ น่ารำคาญ" นับหนึ่งเดินล้วงกระเป๋าอย่างไม่แคร์
"..." มึงอย่ามาทำตัวเป็นเจ้าชายแถวนี้ได้มั้ย
อดไม่ได้ที่จะยกมือกุมขมับกับความรวยไม่ไว้หน้าคนของนับหนึ่งจริงๆ ร้านนี้ดังมากๆ ย่อมมีลูกค้าในแต่ละวันไม่น้อย ไม่อยากคิดถึงเงินที่ใช้เหมาร้านหนึ่งวันเลย มันต้องเยอะมากๆ แน่
ผมคิดเรื่องเงินแล้วโอดครวญในใจไปหลายสิบตลบ กำลังจะเทศนานับหนึ่งสักชุดแต่เมื่อลงมาถึงด้านล่างในอควาเรียมแล้วทุกอย่างในหัวพลันว่างเปล่า ความสวยงามของท้องทะเลที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในใต้มหาสมุทร
นัยน์ตาสวยมองสองข้างทางเห็นปลาว่ายไปมาแล้วยิ่งตื่นเต้น เดินจนมาถึงห้องโถงใหญ่ยิ่งตื่นตาตื่นใหญ่กับความงดงามของโลกใต้น้ำ ปลามากมายหลายชนิดแหวกว่ายไปมาอย่างร่าเริง พนักงานของร้านหลังจากมาส่งพวกเราแล้วก็ผลักออกไป
ภายในห้องโถงกว้างสมควรที่จะมีโต๊ะมากมายแต่กลับมีโต๊ะเพียงตัวเดียวเท่านั้น มันแปลกจริงๆ
ตอนนี้ผมยังไม่สนใจโต๊ะนั้นเท่าไร เลือกที่จะเดินดูรอบๆ มองสัตว์น้ำผ่านกระจกหนาไปอย่างชื่นชมหลงใหลในความงาม สีของไฟอ่อนสลัวยิ่งทำให้บรรยากาศยิ่งเหมือนอยู่ใต้ทะเลจริงๆ
"ไม่สนใจโต๊ะตัวนั้นหน่อยเหรอ"
เพราะผมเอาแต่เดินไปรอบๆ ห้องไม่ได้เดินไปที่โต๊ะสักที นับหนึ่งเหมือนอดรนทนไม่ไหวเลยพูดขึ้น
"โต๊ะมีอะไรน่าสนใจ" เออ ก็โต๊ะธรรมดา อควาเรียมกับปลาแล้วยังมีปะการังตกแต่งอย่างสวยงามอีก มันน่าสนใจกว่า
"ลองไปดูก่อนสิ" นับหนึ่งดูจะกระตือรือร้นแปลกๆ ผมเลยละสายตาไปมองหยุดที่อีกฝ่ายครู่หนึ่ง
ก่อนจะพยักหน้า "อืม"
ก้าวเท้าเดินไปทางโต๊ะรูปทรงแปลกตา เมื่อเข้ามาใกล้ถึงรู้ว่าเป็นรูปของปลาวาฬ ดูมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบนะ ยังไม่ทันได้สนใจรูปทรงโต๊ะมากก็ต้องผงะกับบางสิ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะ
ผมเลิกคิ้วขึ้นมองกุหลาบสีแดงสดช่อไม่เล็กไม่ใหญ่ด้วยความแปลกใจก่อนจะตามมาด้วยเสียงของหัวใจที่เต้นแรงขึ้นยามหันหลังกลับมองไปที่นับหนึ่ง
เขาไม่พูดอะไรเพียงส่งยิ้มมาให้แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมใจเต้นแรงมากขึ้น
...กุหลาบช่อนี้
เขาให้ผมเหรอ
นิ้วมือของผมสั่นระริกขณะยื่นมือออกไปหยิบช่อดอกไม้ขึ้นมาด้วยความรู้สึกมากมายที่ไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก แม้ว่าหลายเดือนมานี้ผมจะได้ดอกไม้จากเขามามากมายแต่ไม่มีดอกกุหลาบ เป็นสารพัดดอกไม้ที่มีอยู่บนโลกนี้
ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือ...อยากร้องไห้
นี่มันเป็นกุหลาบช่อแรกที่เขาให้ผมเลยนะ
แล้วยัง...
"ควินซ์รู้ความหมายของกุหลาบมั้ย" เสียงทุ้มต่ำชวนให้ใจสั่นดังขึ้นท่ามกลางค่ำคืนพิเศษที่ผมไม่ได้คาดหวังอะไรแต่ไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่ามันจะมีเซอร์ไพร์สรอผมอยู่
ผมเม้มปากแน่นพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ในลำคอลงไปแล้วตอบด้วยนเสียงแหบกว่าปกติ
"รู้สิ"
"แล้วกุหลาบแดงมีความหมายว่ายังไง"
ไม่ได้ตอบอะไรเพียงมองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาวูบไหวและผมเห็นเขากำลังยิ้มอยู่ สีหน้าดูตื่นเต้นแต่ยังพยายามที่จะข่มกลั้นไว้
"กุหลาบแดงหมายถึง...ผมรักคุณเข้าแล้ว"
ตึกตัก ตึกตัก
มือของผมสั่นจนแทบถือช่อกุหลาบไม่อยู่ นับหนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คล้ายยังตื่นเต้นไม่หาย มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นแล้วแบออกจากนั้นก็กำมืออีก
"คุณลองนับดูสิ" นับหนึ่งผ่อนลมหายใจ "มีกุหลาบกี่ดอก"
ผมมึนงงเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้นแต่ก็ก้มหน้านับดอกกุหลาบอย่างเชื่อฟัง
"สิบสองดอก"
แล้วมันมีความหมายอะไรพิเศษรึไง
ความหมายของสีกุหลาบนั้นผมยังพอรู้บ้าง ส่วนเรื่องจำนวนนี่ไม่เคยรู้มากก่อน เคยแต่เห็นคนเขาให้กุหลาบเก้าดอก เก้าสิบดอกจนถึงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้ความหมายของมันอยู่ดีว่ามันพิเศษยังไง
"รู้ความหมายมั้ย"
ผมส่ายหน้า วงแขนกระชับโอบกอดช่อกุหลาบแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
"กุหลาบสิบสองดอก"
นับหนึ่งเดินเข้ามาใกล้และหยุดยืนตรงหน้าผมจากนั้นก้มหน้าลงให้สายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน เพียงแค่นี้หัวใจของผมมันแทบจะกระเด็นออกมาอยู่แล้ว
ใบหูเริ่มร้อนขึ้นมานิดๆ นัยน์ตาสั่นไหวไปมาจับจ้องริมฝีปากได้รูปขยับเอ่ยช้าๆ ไม่วางตา
"มันแปลว่า..."
"..."
"ผมขอให้คุณอยู่เคียงข้างผมตลอดไป"
"..."
"ขอให้คุณเป็นคู่ชีวิตของผมไปจนนิจนิรันด์"
ผมอึ้งไปกับความหมายของกุหลาบช่อสำคัญในมือ ร่างกายสั่นไหว นัยน์ตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาแต่พยายามสะกดกลั้นไว้แล้วยิ่งต้องเบิกตากว้างเมื่อนับหนึ่งถอยออกไปหนึ่งก้าวแล้วย่อตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
วินาทีนั้นผมไม่สามารถเก็บกักน้ำตาได้อีกต่อไป นับหนึ่งยังคงยิ้มมือล้วงเข้าไปในอกเสื้อสูทก่อนจะแบออกให้เห็นกล่องกำมะหยี่สีแดงสดที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคือกล่องอะไร
แม้จะรู้แต่ไม่กล้าคาดหวังไม่กล้าคิดอะไรทั้งนั้นเพราะตอนนี้ภาพตรงนั้นมันราวกับฝัน เหมือนกับในความฝันเป็นร้อยเป็นพันครั้งที่คิดว่ามันจะเป็นความจริงในวันนี้
ผมสะอื้นมองผู้ชายที่กำลังคุกเข่าตรงหน้าตัวเองอย่างไม่รู้จะทำยังไง ไม่กล้าพูดไม่กล้าเอ่ยเพราะกลัวว่าภาพตรงหน้าจะเป็นเพียงความฝัน นับหนึ่งเปิดกล่องออกเผยให้เห็นแหวนเรียบหรูประดับเพชรน้ำงามวงหนึ่งที่มองแวบเดียวก็รู้ว่ามูลค่าไม่น้อย
ยิ่งเห็นแหวนยิ่งน้ำตาไหลจนควบคุมไม่ได้
"ควินซ์"
"..."
"แต่งงานกับผมนะ"
ผมปล่อยโฮสุดเสียงและร้องไห้ออกมาสะอื้นหนักแล้วละล่ำละลักถามเสียงสั่น "บอกที ฮึก ว่านี่คือเรื่องจริง"
"แน่นอน" นับหนึ่งสูดลมหายใจลึกแล้วยิ้มเต็มดวงตา "ทุกอย่างคือความจริง ไม่ใช่ฝัน"
"นับหนึ่ง ฮึก"
เขายิ้มแล้วพยักหน้า "แต่งงานกันนะ"
"แต่ง แต่งสิ!" พยักหน้าทั้งน้ำตาแต่ริมฝีปากกลับยิ้มกว้างและหัวเราะอย่างยินดี
ผมยังคงร้องไห้ไม่หยุดน้ำตามากมายไหลทะลักนั้นคือความยินดีและดีใจอย่างสุดซึ้งจนไม่อาจบรรยายได้ ความรักของผมที่รอคอยมาเนิ่นนาน ไม่เคยหวังว่าจะมีวันนี้
วันที่ผู้ชายที่ผมแอบรักมาขอแต่งงาน
มันช่างน่าเหลือเชื่อ
ถ้ามันเป็นความฝัน
คงเป็นฝันหวานที่ไม่อยากตื่น
แต่ทว่าตอนนี้มันคือความจริง
เป็นความจริงที่ผมเฝ้ารอมาตลอด
มือใหญ่แสนอบอุ่นคว้าจับมือข้างซ้ายของผมแล้วค่อยๆ บรรจงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของผมอย่างอ่อนโยน ผมมองแหวนบนนิ้วมือแล้วยิ้มกว้างพร้อมกับน้ำตาที่ยังคงไหลต่อเนื่อง
นับหนึ่งลุกขึ้นแล้วดึงผมไปกอดไว้ ยามที่ได้รับอ้อมกอดนี้ผมยิ่งร้องไห้สองมือกอดตอบเขาแน่นไม่ปล่อย เส้นผมอ่อนนุ่มถูกลูบไปมาอย่างปลอบประโลม
"เลิกร้องไห้ได้แล้ว" นับหนึ่งว่าด้วยน้ำเสียงเจือขัน "คนอื่นมาเห็นเขาจะคิดว่ากูบังคับมึงแต่งงานนะ"
"คนมัน อึก ดีใจนี่" ผมพูดไปสะอื้นไปแล้วทุบหลังนับหนึ่งไปที "ดีใจก็ต้องร้องไห้สิ! ฮือ"
"โอเค โอเค" เขายอมให้ผมง่ายๆ ก่อนจะเอ่ย "วันนี้วันดีนะ ไม่เอาๆ ไม่ร้องแล้ว"
"พยายามอยู่!" ผมกระแทกเสียงใส่อย่างโมโหแต่น้ำตายังไม่หยุดไหลง่ายๆ
ผลักอกนับหนึ่งออกแล้วใช้หลังมือปาดๆ เช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ แต่ถูกมือร้อนปัดออกแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับให้แทน ผมเงยหน้ามองคนสูงกว่าก็เผอิญสบเข้ากับแววตาเปี่ยมไปด้วยรักแล้วพลันพูดไม่ออก
ความรู้สึกเขินอายมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ผมเม้มปากแน่นกลั้นยิ้มแล้วปล่อยให้นับหนึ่งเช็ดหน้าเช็ดตาให้
"ร้องไห้เป็นเด็กเลย" อีกฝ่ายแซว
ผมแยกเขี้ยว "มึงอยากร้องไห้เป็นหมามั้ย"
หุบปากแทบไม่ทันแล้วตั้งหน้าตั้งตาเช็ดคราบน้ำตาให้ผมต่อ และในที่สุดน้ำตาของผมก็หยุดไหลแล้ว ถอนหายใจอย่างโล่งอก บรรยากาศเงียบงันเข้ามาเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรกันได้แต่ยินมือหน้ากันอย่างประดักประเดิด มือไม้เกะกะไปหมด
"มึง...จะแต่งงานกับกูจริงๆ ใช่มั้ย" นับหนึ่งเป็นคนเปิดปากพูดทำลายความเงียบ "ไม่ได้หลอกกูนะ"
"อื้อ" ผมขมวดคิ้วแล้วคิดในใจ...กูมากกว่ารึเปล่าที่ควรถามว่ามึงหลอกกูรึเปล่าไม่ใช่เหรอ "แต่มึงข้ามขั้นไปรึเปล่า"
"ข้ามขั้น?" ทำหน้าไม่เข้าใจ "ข้ามขั้นตรงไหน"
"ยังไม่ทันได้เป็นแฟนก็ขอแต่งงานเลย" ผมส่ายหัวพลางหัวเราะ "ไม่ข้ามเลยมั้ง"
"ระดับนี้ไม่ต้องแฟนเฟินแล้ว" ร่างสูงดึงเอวผมเข้ามาใกล้ชิดแล้วโอบไว้หลวมๆ "อายุอย่างเรามันต้องแต่งเลย"
"หึ" ผมอมยิ้มแล้วมองอีกฝ่ายด้วยแววตาหวานเชื่อม "ขอบคุณนะ นับหนึ่ง"
"กูสิต้องขอบคุณมึง"
"..."
"ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกูไปไหน"
"..."
"และขอโทษที่ปล่อยให้รอนานขนาดนี้"
ผมคลี่ยิ้มแล้วส่ายหัวเป็นเชิงไม่เป็นไร "ก็มึงโง่ รอนานสักหน่อยก็ถูกแล้ว"
คนโง่ได้ยินแบบนั้นแล้วไม่ได้โกรธอะไรกลับยิ้มกว้างขึ้นแล้วพยักหน้ายอมรับ ก่อนจะโน้มหน้าลงมาชิดใกล้จนหน้าผากของเราชนกัน ปลายจมูกคลอเคลียกันเบาๆ ให้ความรู้สึกวาบหวามใจสั่น
"รัก" เปล่งออกมาคำหนึ่งและต่อด้วยอีกสามคำ "รักที่สุด"
เสียงบอกรักเบาๆ แต่กลับดังก้องเต็มสองหู จุดหนึ่งกลางใจคล้ายมีน้ำพุผุดขึ้นมาแล้วปล่อยสายน้ำอุ่นร้อนอาบชะโลมไปทั่วทั้งใจให้อบอุ่นปราศจากความเหน็บหนาว
ผมค่อยๆ หลับตารับสัมผัสจากริมฝีปากร้อนที่ประทับลงมาอย่างอ่อนโยน เพียงปากแตะปากไม่ได้ล่วงล้ำใดๆ แต่กลับรู้สึกหวานชื่นและรับรู้ได้ถึงรักอันบริสุทธิ์ที่อีกฝ่ายมอบให้ จุมพิตนี้เนิ่นนานเกือบห้านาทีกว่านับหนึ่งจะถอนริมฝีปากออกไป
เมื่อความร้อนจางหายไป เปลือกตาจึงค่อยๆ ลืมขึ้นมองหน้าคนรัก นับหนึ่งส่งยิ้มให้ผมแล้วค่อยๆ คลายอ้อมกอดลงแล้วเปลี่ยนมาจับจูงมือผมแทน
เขาพาผมไปนั่งที่เก้าอี้...
"กินข้าวกันเถอะ"
"อื้อ"
"เตรียมของโปรดไว้ให้ด้วยนะ มึงต้องชอบแน่ๆ"
ผมส่งยิ้มอบอุ่นไปให้และพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเรียก
"นับหนึ่ง"
"หือ?"
"วันนี้กูมีความสุขมาก"
นับหนึ่งตกใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแสนอบอุ่น ยื่นมือทั้งสองข้างข้ามโต๊ะมากุมกระชับมือผมไว้ในอุ้งมือของตัวเองแล้วเอ่ยช้าๆ ชัดๆ อย่างจริงจัง
"ไม่ใช่แค่วันนี้"
"..."
"แต่ 'เรา' จะมีความสุขไปด้วยกันในทุกๆ วัน"
การแต่งงานไม่ใช่บทสรุปของความรัก
แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของชีวิตคู่
ต่อจากนี้
จะมีเพียงเรา
และ
เราจะจับมือกัน
เดินไปด้วยกัน
ไปจนสุดขอบฟ้าใต้ธารา
- The End -
— 次の章はもうすぐ掲載する — レビューを書く