บทที่ 376 : แม่ศรีเรือน!
_____________________________________________________________
คล้ายกับฝันไป
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
จางเย่ลืมตาตื่นอย่างงัวเงียควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง หลับตาหาวหวอด ก่อนจะกดรับสาย "ฮัลโหล ใครอ่ะ"
"ยังจะถามอีกว่าใคร" เป็นเสียงแม่เอง
เขายังง่วงงุน "แม่ มีอะไร?"
แม่ถาม "ทำไมยังไม่กลับบ้าน? นี่กี่โมงกี่ยามแล้ว!"
จางเย่สะดุ้งโหยง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง "กี่โมงแล้ว?"
"ดูพูดเข้า หนึ่งทุ่มแล้ว ฉันกับพ่อแกรอกินข้าวอยู่เนี่ย เมื่อกี้โทรหาแกก็ไม่รับสาย มีอะไร? ทำไมถึงเหมือนเพิ่งตื่นงี้ล่ะ? ไหนว่าไปงานวันเกิดหัวหน้าไง?" แม่ถามเสียงติดจะขุ่น "จะกินหรือไม่กิน?"
เขาตอบ "ไม่กินแล้ว แม่ไม่ต้องรอนะ"
"ได้ รู้แล้ว กลับบ้านเร็วๆ ล่ะ" แม่เขาสั่ง
เขากล่าว "ครับ เอ้อ รายการทอล์คโชว์ผมได้ออกอากาศแล้วนะ ตอนนี้น่าจะอัพโหลดแล้วมั้ง"
แม่รับคำ "ฉันจะบอกน้องๆ แกให้ พวกนั้นบ่นอยากดูอยู่แน่ะ"
วางสายเสร็จ จางเย่หันมองรอบตัว สวรรค์ นอกหน้าต่างฟ้ามืดสนิทแล้ว!
อยู่ไหนเนี่ย?
ทำไมฉันจำไม่ได้ล่ะ?
จางเย่งุนงงเล็กน้อย นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก รู้สึกเพียงนอนไปนานแล้วเท่านั้น
แสงจันทร์ยังไม่สว่าง รอบๆ ตัวยังคงมองเห็นอะไรได้ไม่ค่อยชัด รู้แค่ว่าเขาอยู่บนเตียงหลังหนึ่งเท่านั้น จางเย่รีบคลำหารอบทิศ สุดท้ายค่อยพบสวิทช์ไฟตรงหัวเตียง
แกร๊ก
ไฟติดสว่างจ้า แสงส่องให้เห็นโดยรอบ
ในห้องหอมกลิ่นดอกไม้อย่างบางเบา
ภาพที่เข้าสู่สายตาจางเย่คือการตกแต่งอย่างหรูหรา ดูเหมือนจะเป็นห้องนอนที่ไม่ได้เป็นห้องนอนอย่างธรรมดาทั่วไป แค่ขนาดห้องก็ปาเข้าไปสามสี่สิบผิงแล้ว กล่าวได้ว่าห้องนอนนี้ห้องเดียวยังใหญ่กว่าห้องเช่าของเขาที่เจียวเหมินเหอเสียด้วยซ้ำ ถึงกับมีโซฟาและโต๊ะหนังสือ พร้อมชุดชาวางไว้บนผืนพรมที่ปูตรงพื้นกลางห้องอีกด้วย ห้องนี้แม้ตกแต่งด้วยสไตล์ผสมผสาน แต่หลักๆ จะเป็นสไตล์ตะวันออก บนโต๊ะมีโคมรูปทรงคล้ายโคมขงเบ้ง ทั้งยังแขวนภาพฝีพู่กัน ทั้งห้องตั้งแต่บนลงล่างจากในออกนอกล้วนแต่หรูหราฟู่ฟ่า
คุ้นๆ แฮะ? นี่บ้านของอู๋เจ๋อชิง!?
จางเย่เคาะศีรษะ ในที่สุดก็จำได้เสียที ตอนบ่ายอู๋เจ๋อชิงขับรถไปส่งเขาที่บ้าน แต่เขามึนๆ เมาๆ ไม่ได้บอกที่อยู่ให้ชัดๆ รถถึงต้องขับมาบ้านของอู๋เจ๋อชิงที่เถาหรานถิงก่อน จากนั้นจางเย่ก็ปีนขึ้นเตียงหลับไป แถมหลับยาวจนถึงป่านนี้!
มีปัญหาแล้วจริงๆ!
ตาแก่เฝิงนั่นมอมฉันซะได้!
จางเย่ผุดลุกลนลานลงจากเตียง ไม่รู้ว่ารองเท้าของเขาไปอยู่ไหน ที่วางไว้มีเพียงรองเท้าแตะผ้าของผู้หญิงที่ปราณีตคู่ใหม่คู่หนึ่ง เฮ้อ ช่างเถอะ จางเย่สวมรองเท้าแล้วผลักประตูเปิดอย่างระมัดระวัง บริเวณชั้นสองไม่มีคน ได้ยินเพียงเสียงความเคลื่อนไหวจากชั้นล่าง แต่ได้ยินไม่ค่อยชัดสักเท่าไร
ลงมาชั้นล่าง
กลิ่นกับข้าวหอมฟุ้งโชยมา
ที่ห้องครัวเปิด รอบนอกล้อมไว้เป็นโต๊ะบาร์ ตรงนั้นมีอู๋เจ๋อชิงกำลังง่วนอยู่คนเดียว เธอถอดชุดที่สวมในงานเลี้ยงตอนบ่ายออกแล้ว ที่สวมอยู่ตอนนี้เป็นชุดเล่นกีฬาผูกทับด้วยผ้ากันเปื้อน ใต้เท้าสวมรองเท้าแบบเดียวกับจางเย่
จางเย่กล่าวอย่างกระอักกระอ่วน "รองอธิการฯ อู๋ครับ"
เสียงเครื่องดูดควันค่อนข้างดัง เธอจึงไม่ได้ยิน
จางเย่ได้แต่พูดเสียงดังขึ้น "รองอธิการฯ อู๋ครับ!"
อู๋เจ๋อชิงที่กำลังผัดกับข้าวหันหน้ากลับมา ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า "ตื่นแล้วเหรอคะ?" จากนั้นยกมือขึ้นปิดเครื่องดูดควัน "หลับสบายดีไหมคะ?"
จางเย่ยิ้มเจื่อนๆ "รบกวนคุณซะมากเลยครับ ดื่มเยอะจนไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ มาถึงบ้านคุณได้ยังไงก็ไม่รู้ เกรงใจสุดๆ เลยครับ"
"ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ" อู๋เจ๋อชิงหันกลับไปวุ่นวายต่อ "นั่งรอก่อนนะ กับข้าวใกล้เสร็จแล้วค่ะ รอกินเท่านั้น ถ้าคุณยังไม่ตื่นฉันก็ว่าจะไปปลุกอยู่พอดีค่ะ"
จางเย่ลูบไม้ลูบมือ ทำเป็นเกรงใจถามไปอย่างนั้นเอง "จะดีเหรอครับ?"
หญิงสาวหัวเราะคิก "ไม่ต้องมาทำเป็นเกรงใจหรอกค่ะ ฮ่าๆ หาที่นั่งเองนะคะ"
จางเย่กล่าวต่อไปอีกว่า "งั้นดีเลยครับ ผมนี่หิวสุดๆ ตอนบ่ายไม่ค่อยได้กินอะไรด้วย ถูกอาจารย์เฝิงเอาแต่คะยั้นคะยอให้ดื่มลูกเดียว แฮะๆ" เอามือลูบท้องป้อยๆ
หลายนาทีต่อมา
กับข้าวจานสุดท้ายผัดเสร็จเรียบร้อย
จางเย่รีบเข้าไปช่วย "ผมช่วยครับ"
อู๋เจ๋อชิงผลักมือเขาหลบไปอย่างนุ่มนวล "ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณรอกินก็พอนะ" ยกกับข้าวขึ้นโต๊ะด้วยตนเองเสร็จถึงค่อยปลดผ้ากันเปื้อนออก "ยังเหลือน้ำแกงอีกอย่างนะ แต่ยังไม่ได้ที่เลยค่ะ" หันกลับไปมองแล้วกล่าว "รออุ่นๆ สักหน่อย เราสองคนกินข้าวกันก่อนเถอะ กินเสร็จจะได้ซดน้ำแกงพอดีค่ะ" คนทางเหนือซดน้ำแกง ปกติแล้วมักซดหลังอาหารไม่ซดก่อน
กับข้าวสามอย่างน้ำแกงหนึ่ง
จางเย่กล่าวชื่นชม "เยี่ยมไปเลยครับ กับข้าวเยอะแยะเลย"
อู๋เจ๋อชิงนั่งลง "กินไม่หมดก็ใส่ตู้เย็น พรุ่งนี้ฉันค่อยอุ่นกินได้ค่ะ"
จางเย่อุทาน "คุณกินของค้างคืนด้วย?"
"ค้างคืนแล้วยังไงคะ?" อู๋เจ๋อชิงกล่าวเสริมอย่างนุ่มนวล "ไม่สิ้นเปลืองได้ ก็อย่าสิ้นเปลืองเลยค่ะ"
จางเย่หัวเราะเฮฮา "ไม่สิ้นเปลืองแน่นอน ถ้ากินไม่หมดผมขอห่อกลับบ้านนะครับ" พูดจบเขาก็เลิกทำเป็นเกรงใจอีกต่อไป เอาตะเกียบคีบมะเขือผัดเข้าปาก เคี้ยวๆ กลืนๆ แล้วจางเย่ต้องอุทาน "คุณวางใจ ไม่มีเหลือเด็ดขาด ผมกินหมดแน่!"
อู๋เจ๋อชิงถามยิ้มๆ "ใช้ได้ไหมคะ?"
"ใช้ได้สุดๆ เลยครับ!" จางเย่ยังคงอุทานต่อไป "ทำไมคุณทำกับข้าวเก่งขนาดนี้เนี่ย?"
อู๋เจ๋อชิงยิ้มน้อยๆ "ฉันอยู่คนเดียวมาตั้งหลายปี อย่างไรก็ต้องหัดทำกับข้าว แต่ก็ยังสู้มืออาชีพไม่ได้หรอกนะคะ"
"ไม่หรอก สู้ได้แน่ครับ" จางเย่เริ่มกินต่อ
อู๋เจ๋อชิงไม่ได้ตะกรุมตะกรามอย่างจางเย่ เพียงกินอย่างสงบเรียบร้อย
ไม่ได้ยกยออะไรหรอกนะ แต่ฝีมือของอู๋เจ๋อชิงน่ะยอดเยี่ยมจริงๆ แม่ของจางเย่ทำกับข้าวถือว่าอยู่ในระดับพอใช้ได้ แต่มีแค่สองสามจานเท่านั้นที่โดดเด่น ส่วนคุณน้าเจ้าของห้องเช่ามีฝีมือเป็นของแท้ที่สุด ไม่ว่าจะอาหารเมนูอะไรล้วนทำออกมาได้หมด เพียงแต่เหราอ้ายหมิ่นทำกับข้าวไม่สนใจหน้าตา มีแค่รสชาติเท่านั้นที่ยอดเยี่ยม ขณะที่กับข้าวของอู๋เจ๋อชิงนั้นมีทั้งสีสันและรสชาติ สมกับมีฝีมือด้านศิลปะขนาดนั้น ลองเทียบกันแล้วจางเย่ชอบรสมือของอู๋เจ๋อชิงมากกว่า เพราะอู๋เจ๋อชิงไม่ยอมให้เขาได้แตะจานช่วยอะไรเลย ขณะที่ถ้าอยากกินฝีมือของคุณน้าเจ้าของห้อง? ก็ต้องยอมให้เหราอ้ายหมิ่นใช้งานเหมือนลูกเหมือนหลาน แล้วจะไปกินอย่างสบายใจได้ไง
"รองเท้าเล็กไปไหมคะ?"
"อ่า ได้อยู่ครับ"
"รองเท้าคุณอยู่ในตู้เก็บรองเท้าค่ะ บ้านฉันไม่ค่อยมีคนมา ไม่ได้เตรียมรองเท้าแตะผู้ชายไว้ซะด้วยสิ ได้แต่ให้คุณสวมรองเท้าแตะที่ยังไม่เคยใส่สักทีของฉันไปก่อนนะคะ"
"ไอ้หยา รองเท้าผมคุณวางไว้ไหนก็ได้แท้ๆ ทำไมคุณต้อง..."
"คุณนี่นะ ไม่ต้องมาทำเป็นมากมารยาทเลยค่ะ มาๆ ชิมจานนี้ดูค่ะ"
"โอ๊ะ ขอบคุณครับ"
จากนั้นจางเย่ก็เงยหน้าขึ้นเห็นภาพอักษรใบหนึ่งพอดี เป็น ‘มู่หลันซือ’ ของเขาเอง ซึ่งถูกแขวนไว้เรียบร้อยในห้องรับแขก "เอ๋ แขวนแล้วเหรอครับ?"
อู๋เจ๋อชิงหันกลับไปดูด้วย "อื้อ ตอนแรกบ้านฉันมีภาพของคนอื่นที่ขนาดพอๆ กับ ‘มู่หลันซือ’ ฉันกะจะเปลี่ยนสักทีพอดีค่ะ ต้องขอบคุณคุณมากนะ กลอนบทนี้ฉันชอบมากจริงๆ รอสักพักฉันจะลองย้ายไปไว้ในห้องนอนดูว่าพอมีที่แขวนรึเปล่า สวยขนาดนี้มีแต่ต้องแขวนในห้องนอนเท่านั้นค่ะ"
จางเย่ยินดียิ่ง "คุณชอบก็พอแล้ว ยังต้องขอบคุณอะไรกันอีกล่ะครับ ผมไม่ได้มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย นี่ก็แค่ของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นครับ"
อู๋เจ๋อชิงยิ้ม ไม่เห็นด้วย "เล็กน้อยอะไรกัน? ในสมองคุณน่ะไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะสู้ได้หรอกนะคะ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แค่เห็นลายมือของคุณ พวกอาจารย์ทั้งหลายก็ไม่มีปัญหาแล้ว ขนาดฉันเขียนอักษรมาตั้งหลายปี เรื่องสิงข่ายฉันยังไม่กล้าบอกว่าพอๆ กับคุณเลยค่ะ"
จางเย่กล่าวทันที "อย่าว่างั้นเลยครับ ผมเห็นตัวอักษรคุณแล้ว คุณน่ะมีทักษะสูงกว่าผมอีก ผมเองใช้วิธีลักไก่ ตัวสิงข่ายก็เขียนด้วยวิธีพิสดารเล็กน้อยเท่านั้น"
กับข้าวหมดแล้ว
จางเย่กวาดเกลี้ยงจริงๆ ด้วย
อู๋เจ๋อชิงเห็นแล้วพอใจไม่เบา "ยังกินไหวไหมคะ?"
"ได้ครับ มีเท่าไรผมกินได้หมด!" จางเย่กล่าวอย่างแข็งขัน "หอมมากๆ เลย!"
"ยังมีน้ำแกงอีกค่ะ ฉันจะตักมาให้คุณเลยแล้วกันนะ" อู๋เจ๋อชิงเดินเข้าครัวอย่างอ่อนช้อยตักน้ำแกงขึ้นชิม พยักหน้าเบาๆ ก่อนดับเตาเป็นอันเสร็จ พร้อมตักไปให้ที่โต๊ะ
จางเย่ซดน้ำแกงโฮกฮาก "ฟู่ อิ่มแล้วจริงๆ คราวนี้!"
อู๋เจ๋อชิงเป่าลม ตักน้ำแกงเข้าปากคำน้อย ก่อนถามว่า "หลังตรุษจีนว่ายังไงคะ จะทำงานเป็นพิธีกรต่อไหม? เข้าวงการบันเทิง? หรือว่าจะทำอย่างอื่นต่อคะ?"
จางเย่เช็ดปาก ตอบ "ความจริงเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะบอกคุณไม่ได้ เป้าหมายของผมไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง บอกไปคุณอย่าหัวเราะนะ ความฝันของผมคือเป็นคนดังที่ดังที่สุดในโลก ทางที่ผมเลือกเดินไม่ใช่ทางในวงการบันเทิงทั่วๆ ไปหรอกครับ อย่างเช่น คนอื่นรอให้มีชื่อค่อยเขียนหนังสือ แต่ผมกลับเขียนหนังสือสร้างชื่อ สลับด้านกับคนทั่วไป ด้วยข้อจำกัดและหน้าตาของผม ทางเดินทั่วไปผมคงไปได้ไม่ไกลนัก ได้แต่หาโอกาสจากหนทางอื่นๆ เขียนกลอนแล้วทำให้ผมดังได้มากขึ้น ผมก็เขียนให้เยอะหน่อย บรรยายให้เป่ยต้าแล้วทำให้มีคนสนใจติดตามได้ออกตัวกับสื่อมากขึ้น อย่างนั้นผมก็ต้องบรรยายให้ดี แน่นอนว่าสำหรับเด็กๆ แล้วผมยิ่งต้องออกฝีมือบรรยายให้เต็มที่ ไม่สอนอะไรมั่วซั่วเด็ดขาด แน่นอนว่าผมมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง ตอนนี้ถึงได้กล้ายอมรับว่า ไม่ว่าจะเป็นวงการบันเทิงหรือไม่ก็ตาม สำหรับซูเปอร์สตาร์แล้วนั้นต้องให้ความสำคัญกับชื่อเสียง ขอเพียงมีชื่อเสียง จะให้ผมทำงานอะไรก็ได้ เขียนหนังสือ? เขียนพู่กัน? แต่งเพลง? ผมทำได้ทั้งนั้น อย่างไรผมก็จะทุ่มเทเพื่อเข้าสู่เวทีระดับโลก!"
อู๋เจ๋อชิงไม่พูดอะไร เพียงฟังต่อไปเงียบๆ
สุดท้ายจางเย่ก็อดเยาะหยันตัวเองไม่ได้ "เฮ้อ เรื่องนี้ผมยังไม่มีความกล้าจะคุยกับพ่อแม่จริงๆ จังๆ เลยครับ ผมรู้นะว่าความฝันผมออกจะเพ้อเจ้อ..."
อู๋เจ๋อชิงถามขัดทันที "ทำไมคิดว่าเพ้อเจ้อล่ะคะ?"
จางเย่ชะงักกึก "คุณว่าเป็นไปได้เหรอครับ?"
อู๋เจ๋อชิงมองตรงมาที่เขา "ความคิดของคุณ ฉันว่าดีมากทีเดียวค่ะ ดาราที่เติบโตมาจากวงการบันเทิงในประเทศเราโดยทั่วไป มีกี่คนกันที่ได้เข้าสู่เวทีระดับประเทศ? น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยอีกค่ะ ไหนจะทั้งคนที่น้อยยิ่งกว่าน้อยเหล่านั้นดันกลายเป็นตัวประกอบจนไปเทียบกับดาราชาติตะวันตกไม่ได้แล้ว นั่นเป็นเพราะความแตกต่างกันของระบอบสังคมความคิดและอีกหลายๆ องค์ประกอบ ดาราคนอื่นๆ ในประเทศนั้นนับว่าถึงจุดสูงสุดแล้ว และจุดสูงสุดของพวกเขายังไล่เลี่ยกันอีกค่ะ คิดจะไปเป็นดาราระดับโลก? คิดจะยืนอยู่แถวหน้าของโลกใบนี้? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดค่ะ ขณะที่ทางเดินอ้อมๆ ของคุณนั้น ทำให้คนอื่นๆ มองไม่เห็นว่าปลายกระบี่ของคุณชี้ไปที่ไหน แต่ถ้าลองเปรียบกับคนอื่นๆ แล้วคุณถือว่ามีหวังจะไปได้ไกลถึงเวทีระดับโลกยิ่งกว่าค่ะ ใครจำกัดกันว่ามีแต่ร้องเพลง เต้นรำ ถ่ายหนังถึงจะนับเป็นดาราได้? ใครกำหนดว่าหน้าตาธรรมดาแล้วจะขึ้นไปสู่เวทีระดับโลกไม่ได้? อย่าได้ฟังคำพูดคนอื่น อย่าได้ฟังว่าคนนอกวิจารณ์คุณอย่างไร ขอแค่คุณเห็นว่าถูกต้อง อย่างนั้นก็ใช้ได้แล้วค่ะ"
จางเย่ใจเต้นตึกตัก "คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ?"
"ฉันไม่ได้แค่คิด แต่ฉันคิดว่า..." อู๋เจ๋อชิงหยุดไปครู่ "คุณทำได้ค่ะ"
จางเย่กล่าวอย่างจริงจัง "ขอบคุณครับรองอธิการฯ อู๋ คุณเป็นคนแรกที่บอกกับผมอย่างนี้ ตอนนี้ผมมั่นใจแล้ว ผมว่าผม...ต้องลองดูสักตั้ง!"
อู๋เจ๋อชิงคลี่ยิ้มอบอุ่น "ดาราคนอื่นมีทางให้เดินแค่สายเดียว ไม่ร้องเพลงก็เล่นละคร แต่คุณกลับมีทางเป็นสิบสายให้เดิน เขียนนิยายก็ได้ เขียนอักษรพู่กันก็ดี แต่งกลอนบทกวีก็สามารถ รู้หนังสือโบราณ ชำนาญหนังสือยุคปัจจุบัน บรรยายได้เก่งกาจ ฝีมือการจัดการก็ยอด ทำโฆษณาเองก็ยังมีชื่อในวงการ ฉันเคยดูหนังกำลังภายในที่คุณแสดงด้วยซ้ำไปค่ะ ในเรื่องคุณแสดงได้โดดเด่นด้วย แถมเล่นคิวบู๊ได้อีกแน่ะ งั้นฉันถามคุณสักคำ เป็นพวกดาราแบบนั้นมั่นคงหรือคุณมั่นคงกว่า? ทางเดินวุ่นวายแล้วเป็นยังไง?"
จางเย่ตบโต๊ะ "แมวดำหรือแมวขาว จับหนูได้เป็นแมวที่ดี!" ใช้ประโยคของผู้ยิ่งใหญ่ออกมาเล่นอีกแล้ว
"คำพูดนี้กล่าวได้ถูกต้องค่ะ" อู่เจ่อชิงกล่าวชม "ชื่อเสียงของคุณแม้ว่าจะดังไม่ไวเท่าคนที่ร้องเพลงเล่นหนัง แต่เปรียบกับพวกเขาแล้วนับว่ามีพื้นฐานแข็งแกร่ง หนทางของคุณต่อไปนั้นเปรียบแล้วยังจะกว้างกว่าพวกเขา เวทีให้แสดงก็ใหญ่กว่า เรื่องที่พวกเขาทำได้คุณก็ทำได้ เรื่องที่ทำไม่ได้ คุณก็ยังทำได้ ดังนั้นอย่าได้เห็นว่าไม่เหมือนคนอื่นแล้วก็หมดความเชื่อมั่นไป เพราะคนที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมาได้ ไม่เคยเป็นคนที่เอาแต่ไหลตามคนอื่นค่ะ"
พูดได้ถูกต้อง!
ดูวิธีการที่คุณอู๋พูดจา ช่างดูดีมีระดับ!
เดิมทีตอนที่เขาเลือกหนทางนี้ก็ทราบแต่แรกแล้วว่าไม่ง่าย อย่างนั้นยังจะคิดอะไรมากความ! คิดมากไปแล้วจะได้อะไรล่ะ? หลับตาเดินตรงต่อไปทั้งที่มืดนั่นเถอะ! ใครบอกกันว่ามีแต่นักร้องนักแสดงถึงก้าวสู่เวทีระดับโลกได้? ฉันแม่*ไม่เชื่อหรอกว้อย! ฉันจะร้องเพลง เต้นรำ เล่นหนัง เขียนหนังสือ ด่าคน แต่งกลอน บรรยายการสอน! ทำอะไรได้ฉันแม่*ทำหมด! ใช้ชื่อเสียงน้อยนิดนี่แหละผลักฉันสู่เวทีโลก!
พวกคุณกัดฉันสิ!
ลูกพี่มีความสามารถมากแล้วยังไง!
ตอนนี้เขามีความเชื่อมันในตนเองเต็มเปี่ยม แถมกอบกู้หนทางในความก้าวหน้าของตัวกลับมาได้ จางเย่นึกกระจ่างแจ้งแก่ใจ ทั้งยังรู้สึกขอบคุณอู๋เจ๋อชิงอย่างสุดซึ้ง คุณอู๋คนนี้ช่างดีงามสุดๆ ตั้งแต่เขามาอยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เรื่องอะไรก็ตามแต่ที่เขาทำนั้นอู่เจ๋อชิงไม่เคยสงสัยคิดโต้แย้ง เพียงสนับสนุนเขาเต็มกำลัง เชื่อใจเขาเป็นอย่างยิ่ง นี่คือสิ่งที่จางเย่ไม่เคยพบมาก่อน ความฝันอันเลื่อนลอยของเขานั้น บอกกับใครอีกฝ่ายก็ต้องเห็นว่าเขาน่ะคุยโม้โอ้อวดไปเองคิดฝันทะเยอทะยานทั้งที่ไร้ความสามารถ ทว่าอู๋เจ๋อชิงไม่ใช่ เธอคนนี้ช่างพิเศษจริงๆ!
ตำแหน่งสูงส่ง
หน้าตาสะสวย
รูปร่างก็ดี
ทั้งเป็นกุลสตรี
สามสิบกว่า... ความจริงก็ไม่นับว่าแก่มาก
เอ่อ.. นอกจากชอบถ่ายรูปนู๊ดแล้ว นี่คือกุลสตรีที่เหมาะจะมาเป็นแม่ของลูกชัดๆ!
เป็นครั้งแรกที่จางเย่เกิดความคิดขวัญกล้าเทียมฟ้าขึ้นมา คิดอุกอาจว่า ถ้าเขาพาอู๋เจ๋อชิงกลับบ้านไปได้จะดีขนาดไหน!
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*