บทที่ 301 : ไม่ต้องขอบคุณหรอกน่า เรียกผมว่ายุวชนแดงเถอะ!
_____________________________________________________________________
อีกทางหนึ่ง
ที่ไหนสักที่หนึ่งในหน่วยงานกำกับควบคุมวินัยของกองเซ็นเซอร์เซี่ยงไฮ้
หลี่เทาที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งยังคงเข้ารับการสอบสวนอยู่ที่หน่วยงานกำกับควบคุมวินัย เขาถูกกักตัวอยู่ภายในห้องเล็กๆ ใช้เวลาทั้งวันเขียนรายงานชี้แจง
ด้านนอก คนของสำนักงานกำกับควบคุมวินัยบางส่วนเดินผ่านมาพอดี
"ได้ยินรึยัง? เรื่องจางเย่น่ะ"
"หมอนั่น? ไม่ใช่โดนขึ้นบัญชีดำไปแล้วเหรอ?"
"ไม่ใช่เรื่องนั้น ข่าวใหม่น่ะ เป่ยต้าเชิญหมอนั่นไปสอน แถมไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่คงจะได้ไปสอนเป่ยต้าอีกนานพอดู!"
"ว่าไงนะ? หมอนั่นมีคุณสมบัติอะไร!"
"ใครจะไปรู้ว่าพวกเป่ยต้าคิดอะไร"
"คนเถื่อนแบบนั้น เป่ยต้ายังกล้ารับ? ใช้ได้ที่ไหน!"
"เหอะ รับคนแบบนั้นเข้าไป ไม่นานต้องได้เรื่องแน่ คอยดูไปเถอะ!"
"เนอะ แต่ว่าจางเย่นี่มันโชคดีจริงๆ เบื้องบนของ SARFT เราเล็งจะจัดการจางเย่ให้ได้อยู่แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าหมอนี่ดันไม่สนเรื่องนี้สักนิด แถมยังกลิ้งหนีไปสอนที่เป่ยต้าอีก? ไม่ใช่ว่ายิ่งได้ดีกว่าเดิมรึไง? นี่มันเรื่องอะไรกัน!"
"พวกนายยังจะพูดอีก ไอ้จางเย่นั่นถือว่ามีลู่ทางจริงๆ ไม่อย่างนั้นมหาวิทยาลัยอย่างเป่ยต้า จะรับใครก็ได้เข้าไปรึไงล่ะ"
หลี่เทาที่อยู่ในห้องได้ยินทั้งหมด สีหน้าพลันกลายเป็นเขียวคล้ำ คนที่ทำให้เขากลายเป็นอย่างนี้ ตัวการใหญ่ก็คือไอ้จางเย่นั่นแหละ! แต่ตอนนี้จางเย่กลับไปสอนที่เป่ยต้า? ย่าแกสิ! เราผู้เฒ่าโดนแกจัดการจนเป็นแบบนี้! เสียหน้าที่การงานไม่พอ ยัยแก่ที่บ้านดันขอหย่า! ตอนนี้ก็โดนตรวจสอบทรัพย์สิน ไม่รู้ว่าจะต้องเข้าซังเตอีกไหม! ไอ้คนแซ่จางแม่*ดันไม่มีเรื่องอะไรสักนิด? ด่า SARFT จบแล้วก็ไร้เรื่องไร้ราวไปสอนที่มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศอีก? แม่*ไม่ยุติธรรมนี่หว่า! ไม่ยุติธรรมเลย! หลี่เทาอยากจะอาละวาดฟาดข้าวของในห้องอยู่รอมร่อ เขาโกรธจนลมออกหูแทบตายแล้ว!
…
เมืองหลวง
โรงพยาบาลจีสุ่ยถาน
รองผู้อำนวยการสถานีวิทยุนครหลวงเจี่ย กำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ที่หอผู้ป่วยศัลยกรรมกระดูก ครั้งก่อนตอนไปทานข้าวกับเหล่าทีมงาน เนื่องจากข่าวของจางเย่ทำให้ตอนออกจากร้านอาหารไม่ทันระวัง รองผู้อำนวยการสถานีเจี่ยจึงลื่นตกบันไดกระดูกหัก ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่หลายวัน แล้วตอนนี้โทรทัศน์ที่เขาเปิดก็กำลังเสนอข่าวเรื่องจางเย่! นี่คือช่องข่าวท้องถิ่นประจำนครหลวง ส่วนช่องท้องถิ่นอื่นๆ ตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน!
พิธีกรหญิงวัยสามสิบรายงานข่าว "เป่ยต้าเชิญจางเย่มาสอน ข่าวนี้ได้รับการยืนยันอย่างแน่นอนแล้ว ในฐานะอาจารย์วัยยี่สิบสามปี จางเย่ทำลายสถิติอาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในเป่ยต้าเป็นที่เรียบร้อยค่ะ แม้ว่าจะนับรวบไปถึงมหาวิทยาลัยอื่นๆ อายุของจางเย่ถือได้ว่าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดในประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ ถึงพวกเราจะไม่ได้สัมภาษณ์หัวหน้าภาควิชาภาษาจีน แต่ก็โชคดีได้สัมภาษณ์อาจารย์หน่วยประวัติศาสตร์ในภาควิชาภาษาจีน ศาสตราจารย์เจิง ซึ่งเขาได้เปิดเผยว่า ครั้งนี้อาจจะเป็นการทดลองของเป่ยต้า ทั้งยังเป็นการพัฒนาอย่างหนึ่ง ทางเป่ยต้าเชื่อมั่นว่าจางเย่ เป็นบุคคลที่มีความสามารถเพียงพอต่อภาระหน้าที่นี้!"
ภาควิชาภาษาจีนของมหาวิทยาลัยปักกิ่งนั้น มีอาจารย์หน่วยประวัติศาสตร์อยู่เพียงท่านเดียว คือศาสตราจารย์เจิง ซึ่งประวัติศาสตร์นี้ไม่ได้เป็นอย่างของภาควิชาโบราณคดี ทว่าเป็นสาขาแยกออกไป เรียกว่าประวัติศาสตร์ภาษา สาขาวิชานี้เอนเอียงไปทางภาษาศาสตร์ และอยู่ในการดูแลของภาควิชาภาษาจีน แม้ว่าจะเน้นหนักไปในทางประวัติศาสตร์ก็ตาม แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังคงอยู่ในภาควิชาโบราณคดีเช่นกัน ทั้งยังมีชื่ออยู่ในคณาจารย์ของทางภาควิชาโบราณคดีด้วย
เป็นผู้มีคุณวุฒิในวงการ!
เป็นศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิอย่างสูงในเป่ยต้า!
ศาสตราจารย์เจิงให้การยกย่องจางเย่ต่อหน้าสื่อมวลชนอย่างสูง คุยกันอยู่ครึ่งค่อนวัน และบอกว่าเขาน่ะยกย่อง ‘จางเย่พิเคราะห์สามก๊ก’ ทั้งช่วยให้จางเย่ลดแรงกดดันลงไปมาก จะอย่างไรจางเย่ก็ยังอยู่ในวัยหนุ่ม แถมชื่อเสียงในวงการก็ฉาวโฉ่เสียปานนั้น แรงเสียดทานย่อมไม่น้อยแน่นอน
รองผู้อำนวยการสถานีเจี่ยนอนดูโทรทัศน์อยู่บนเตียง ถึงกับนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถืออย่างเด็ดขาด!
"รองผอ.สถานีเจี่ย!"
"รองผอ.สถานีเจี่ย พวกเรามาเยี่ยมคุณ"
"อาการดีขึ้นบ้างไหม?"
คนของสถานีหลายคนเข้ามา มีจางเหย่กับเจี่ยเหยียนรวมอยู่ในกลุ่มด้วย
ทว่าเมื่อพวกเขากล่าวคำทักทาย รองผู้อำนวยการสถานีเจี่ยกลับไม่พูดอะไร สีหน้าที่ดูโทรทัศน์กลับยิ่งเขียวคล้ำขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาที่เพิ่งจะรู้ตัวต่างหันหน้าขวับมองโทรทัศน์ พลันตะลึงงัน!
"จางเย่?"
"เป่ยต้าเชิญหมอนั่นไปสอน?"
"ไอ้คนแซ่จางนั่นไร้คุณธรรมไร้ความสามารถ! เป็นไปไม่ได้!"
จางเหย่กับเจี่ยเหยียนเองก็ทำใจเชื่อไม่ลง ย้อนนึกไป ตอนที่จางเย่ยื่นเรื่องขอลาออกจากสถานีวิทยุนครหลวง หมอนั่นเคยบอกไว้ว่า “สถานีวิทยุนครหลวง ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าการบีบให้ฉันออกเป็นพวกแกเองที่ขาดทุน! ฉันจะทำให้พวกแกต้องสำนึกเสียใจในการกระทำของตัวเองทุกครั้งที่ได้ยินชื่อฉัน จางเย่!” ส่วนตอนนี้..ไม่ว่ารองผอ.สถานีเจี่ย หรือ ผอ.สถานีวิทยุนครหลวง ต่างก็รู้สึกเช่นนั้นแหละ! จางเย่คนนี้มีความสามารถโคตร! ตอนแรกพวกเขาไม่เคยเห็นหมอนี่อยู่ในสายตาหรอก ล้วนเพิกเฉยมองไม่เห็นหัวจางเย่กันหมด อาจเป็นความผิดพลาดจริงๆ ถ้าหากว่าพวกเขาให้การดูแลคนคนนี้ไว้ตั้งแต่แรก จางเย่คงไม่จากไป สถานีวิทยุนครหลวงคงสร้างตำนานเรตติ้งไร้สิ้นสุดไปแล้ว มาพูดเอาป่านนี้ก็ไร้ประโยชน์เสียเปล่าๆ จางเย่จากไปแล้ว อีกฝ่ายเกลือกกลัั้วทั้งวงการทีวี ทีวีออนไลน์ทั้งเข้าไปในมหาวิทยาลัย ต่างก็เกลือกกลั้วได้อย่างดี! เหลียวมองสถานีวิทยุนครหลวงของพวกเขา นับวันยิ่งตกต่ำลงไปทุกวันๆ!
พลันมีสายโทรเข้าดังขึ้น
"รองผอ.สถานีเจี่ย เอ่อ โทรศัพท์คุณ..." เลขาฯ ของเขาเตือน
รองผอ.สถานีเจี่ยจึงได้สติ ดูหมายเลขแล้วก็รีบรับสาย "หัวหน้าครับ"
ปลายสาย เป็นผู้อำนวยการสถานีวิทยุนครหลวง "เหล่าเจี่ย เป็นอย่างไรบ้าง?"
"ไม่เป็นไรครับ อีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว" รองผู้อำนวยการสถานีเจี่ยตอบ
ผู้อำนวยการสถานีรับคำ "พักฟื้นให้ดี ไม่ต้องรีบออกจากโรงพยาบาลหรอก ทางฉันเพิ่งจะหาคนมารับตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานีของคุณให้เรียบร้อยแล้ว งานของคุณไว้ออกจากโรงพยาบาลแล้วเราค่อยคุยกัน"
"หัวหน้า! นี่มัน..." รองผอ.สถานีเจี่ยอุทาน สีหน้าพลันหน้าซีดเผือด เขารับรู้ทันทีว่าได้ตกงานไปเรียบร้อยแล้ว! อะไรคือหายดีแล้วค่อยว่ากัน? ตอนที่ออกจากโรงพยาบาล ก็เหลือแต่ตำแหน่งไม่สำคัญให้เขาไม่ใช่เรอะ! อาจจะโดนสั่งให้เกษียณก่อนกำหนดด้วยซ้ำ! รองหัวหน้าสถานีเจี่ยเข้าใจดีว่า สถานีต้องการสลัดเขาทิ้งแล้ว!
คนในห้องผู้ป่วยทั้งหมดล้วนตกใจจนหน้าซีด พวกเขาพอเดาจากสีหน้าของรองหัวหน้าสถานีเจี่ยได้ว่าต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น จางเย่ในตอนนี้ยิ่งก้าวขึ้นสูง ทั้งยังได้พิสูจน์แล้วว่าแท้จริงจางเย่นั้นมีความสามารถมากหลาย คนที่ล่วงเกินจางเย่ตอนนั้นก็เป็นรองผู้อำนวยการสถานีเจี่ยนี่เอง ก่อนหน้านี้ทุกคนไม่พูดอะไร ไม่แสดงท่าทีอะไร เป็นเพราะรองผู้อำนวยการสถานีเจี่ยมีตำแหน่งสูง ขณะที่จางเย่เป็นแค่คนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทว่าตอนนี้ชื่อเสียงเกียรติยศของจางเย่ขจรขจายยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นได้เข้าสอนในมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของโลก ‘น้ำนิ่ง’ ที่จางเย่ใช้ตีแสกหน้าพวกเขาตอนแรก ทุกวันนี้ก็ยังคงกลับมาตีแสกหน้าพวกเขาซ้ำๆ! ถึงขั้นที่คนในวงการหลายคนต่างออกมาเสียดสีว่าสถานีวิทยุนครหลวงไร้วิสัยทัศน์ที่ขับไล่คนมีความสามารถเช่นนี้ออกไป เช่นนั้นก็มีเพียงหนทางเดียวคือให้รองผู้อำนวยการสถานีเจี่ยลงจากตำแหน่งไปเสีย เพื่อแสดงท่าทีของสถานีวิทยุนครหลวง ต้องมีคนออกมายอมรับก้นหม้อใบนี้!
"รองผอ.สถานีเจี่ย"
"เอ่อ นี่มัน..."
คนรอบข้างล้วนกระอักกระอ่วน จะอยู่ก็ใช่ที่ จะไปก็ใช่ที่
รองผู้อำนวยการสถานีเจี่ยคล้ายจะแก่ลงอีกหลายปี ไม่นานนี้ จางเย่ในสายตาเขาเป็นเพียงตัวตนที่เล็กจนไม่อาจเล็กได้อีก เขาเชื่อว่าตนเองจะเรียกให้มาก็มาเรียกให้ไปก็ไปได้ คิดจะใช้เขาก็ใช้ อยากจะปล่อยไปก็ปล่อย ท้ายที่สุดคนธรรมดาที่เขาคิด กลับยังฟาดแสกหน้าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า! ยิ่งไปกว่านั้นทุกวิธีการที่รองผู้อำนวยการสถานีเจี่ยลงมือกลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ? ไอ้คนต่ำต้อยนั่นกลับค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นมาทีละขั้นจนถึงตำแหน่งในทุกวันนี้แล้ว! ปีนป่ายขึ้นมาจนสูงยิ่งกว่าเขาเสียอีก! ไอ้ตัวบัดซบที่รองหัวหน้าสถานีเจี่ยคิดว่าต่ำต้อยด้อยค่า มาตอนนี้กลับปีนขึ้นบนหัวเขาเสียแล้ว!
"ออกไปซะ!" รองหัวหน้าสถานีเจี่ยออกปากไล่
เจี่ยเหยียนกับจางเหย่มองหน้ากันไปมาอย่างงุนงง "รองผอ.สถานี..."
"ฉันจะพักผ่อน!" รองหัวหน้าสถานีเจี่ยเร่งรัด ออกปากไล่แขกอีกรอบ!
เจี่ยเหยียนเป็นญาติของเขา ย่อมต้องนึกหดหู่ คนอื่นๆ ล้วนเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งนั้น มาคราวนี้เขาก็เป็นได้แค่รองผู้อำนวยการสถานีสิ้นอำนาจ! ชัดเจนว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้อยากอยู่นานไปกว่านี้เช่นกัน บางคนไม่พูดไม่ลาก็ออกไปจากห้องทันที ใจคนผันแปร คราวนี้รองหัวหน้าสถานีเจี่ยได้ลิ้มรสนั่นแล้ว!
……
ตรอกเจี้ยวจื่อ
หอสมุดเสวียนอู่
จากบ้านของจางเย่ที่ไช่ซื่อโค่วมาถึงที่นี่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
ที่โลกใบนี้ เขตเสวียนอู่ยังคงเป็นเขตเสวียนอู่ แต่ที่โลกของเขานั้นเขตเสวียนอู่ถูกยุบรวมเข้ากับเขตซีเฉิงแล้ว ในหอสมุดคนไม่เยอะนัก ห้องสมุดไม่ใหญ่ ทั้งยังดูเก่าอยู่บ้างและต้องการบัตรสมาชิก ดังนั้นหลายคนจึงไม่ชอบมาที่นี่นัก แต่เนื่องจากเป็นห้องสมุดเก่าแก่ ดังนั้นจึงมีข้อมูลบางอย่างที่ที่อื่นไม่มี นี่เป็นอีกที่ที่จางเย่หาข้อมูลเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ ได้ไม่น้อย
ขณะที่กำลังหาข้อมูล โทรศัพท์ก็ดังขึ้นต่อเนื่อง!
เหยาเจี้ยนไฉเป็นสายแรก "จางน้อย จะฝืนชะตาฟ้าไปแล้วนะนายน่ะ ฮ่าๆๆ!"
จางเย่ยิ้ม "เหล่าเหยา ผมยังไม่ถามคุณเลยนะ ลูกสาวคุณอยู่เป่ยต้าด้วยเหรอ?"
"แน่สิ ฉันบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ? หือ ไม่งั้นทำไมนายรู้ล่ะ?" เหยาเจี้ยนไฉงุนงง
จางเย่ตอบ "ผมบังเอิญเจอเธอน่ะ เธอกลายเป็นนักศึกษาของผมไปล่ะ เหยามี่ใช่ไหม? เหมือนคุณเลยนะ มีเอกลักษณ์ดี ผมคิดว่าเธอจะไปเรียนสาขาการแสดงเสียอีก ทำไมไปเรียนภาษาจีนซะล่ะ?"
เหยาเจี้ยนไฉพูดอ้อมแอ้ม "ฉันก็อยากให้เรียนการแสดงนะ แต่ว่าหน้าเธอไม่สวยพอน่ะสิ"
จางเย่แซว "คนแซ่เหยาคุณไม่มีหน้ามีตาไปอ้างเหรอ?"
"ช่างเถอะน่า ฉันเป็นแค่ดาราระดับ B ระดับ C จะไปมีหน้ามีตาที่ไหนกัน เอ้อ ลูกสาวฉันอยู่ที่นั่นนายต้องช่วยดูแลนะ" เหยาเจี้ยนไฉกล่าว
"วางใจเถอะ ยังต้องพูดเรอะ" จางเย่กล่าว
จากนั้นหูเฟยก็โทรมา "จางน้อยเอ๊ย เธอนี่มันใช้ได้จริงๆ เป็นอาจารย์ที่เป่ยต้า ฉันล่ะอิจฉายังอิจฉาไม่ลง ต่อไปลูกฉันเรียนมหา'ลัย ฉันต้องไปหาเธอล่ะนะ"
จางเย่เหงื่อตก "ยังไม่รู้เลยว่าจะอยู่รอดไหม สัญญาไม่ได้ยาวสักหน่อย ผมเป็นแค่อาจารย์รับเชิญ ถ้าเกิดสอนไม่ดี คนพวกนี้ก็ไม่เก็บผมไว้หรอก
หูเฟยหัวเราะร่า "เอาน่า แค่ตอนที่นายสอนเรื่องสามก๊ก ยังจะบอกว่าสอนไม่ดีอีก?"
วางสายไปแล้ว
สายต่อมา เป็นสหายเก่าต่งซานซาน "จางเย่ ยินดีด้วย ฉันเห็นข่าวล่ะนะ!"
"ขอบคุณมาก ฮ่าๆ ไม่ต้องมายินดีอะไรหรอก ฉันเองก็โดนกดดันมาไม่น้อย" จางเย่พูดความจริง
ทันใดนั้น ปลายสายก็มีเสียงคนจำนวนมากดังโหวกเหวกขึ้นมา
"อาจารย์จาง ยินดีด้วยๆ!"
"คุณกู้หน้าให้พวกเราพิธีกรชาวเน็ตได้มากเลย!"
"นั่นสิ ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าพิธีกรชาวเน็ตอย่างเราจะได้เข้าไปสอนในเป่ยต้า อาจารย์จางน้อยคุณทำดีมาก พวกเราเลยได้อาบแสงไปด้วย!"
"นั่นสิ นี่รอคุณพิเคราะห์สามก๊กต่อนะ"
ทันใดนั้น เสียงของหวังสยง รองหัวหน้าแผนกทีวีออนไลน์ก็ดังมาตามสาย ชัดเจนว่าเขาชิงมือถือของต่งซานซานมาถือไว้ "อาจารย์จางน้อย งานสอนเธอทางนั้นไม่กระทบกับทางเราใช่ไหม?"
จางเย่กล่าว "หัวหน้า ไม่มีปัญหาแน่ครับ ผมสอนแค่สิบกว่าวัน หลังจากมหาวิทยาลัยปิดเทอมผมก็จะกลับไปเซี่ยงไฮ้เลยครับ ถ้าเกิดว่าทางเป่ยต้ายังอยากให้ผมสอนต่อ ก็ต้องไม่ให้กระทบกับงานทางโน้นเหมือนกัน ผมมาสอนตอนว่างเท่านั้นครับ แถมผมยังมีอิสระในการจัดตารางสอนด้วย เพราะว่านี่เป็นแค่วิชาเลือก"
หวังสยงหัวเราะ "งั้นก็ดี ทำดีๆ ล่ะ หัวหน้าเฝิงกับทางบริษัทสนับสนุนเธอ ยิ่งเธอดัง ทางรายการเรายิ่งได้ประโยชน์"
"ขอบคุณครับหัวหน้า" จางเย่รับคำ "ความจริงผมก็เพิ่งจะได้คำยืนยันจากเป่ยต้าให้ไปสอนเหมือนกัน กำลังคิดจะโทรไปแจ้งทางคุณพอดีครับ รองศาสตราจารย์หวังที่สอนวิชานี้เข้าโรงพยาบาล ทำให้ผมต้องมาเติมที่ว่างตรงนี้ เพราะฉะนั้นเลยกระชั้นไปบ้าง จึงยังไม่ทันมีโอกาสได้บอกคุณเลยครับ"
หวังสยงบอกปัด "ไม่ต้องคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก นี่เป็นเรื่องดี ฉับบอกว่าสนับสนุนไม่ใช่แค่คำพูดตามมารยาท แต่ทางบริษัทน่ะสนับสนุนเธอจริงๆ!"
ต่อมา
เพื่อนร่วมงานตอนที่เคยทำงานในสถานีวิทยุนครหลวง อีกทั้งยังเป็นเสาหลักของสถานีอย่างหวังเสียวเหม่ยที่โทรมา พูดเรื่องหนึ่งกับเขา "รองผอ.สถานีเจี่ยโดนย้ายตำแหน่งแล้ว"
จางเย่อุทาน "ทำไมกัน?"
หวังเสียวเหม่ยกล่าว "ไม่ใช่เพราะนายหรอกเหรอ คราวนี้พวกนั้นเลยหาทางคิดบัญชีขึ้นมา ความจริงผู้อำนวยการสถานีต้องรับผิดชอบที่บีบให้นายออกอยู่แล้ว แต่ยังไงก็ต้องมีแพะรับบาปขึ้นมาน่ะ รองผู้อำนวยการสถานีเจี่ยก็เลยกลายเป็น ‘ตัวการ’ ไป ไม่งั้นใครจะไปทนเห็นพวกแฟนคลับนายมาโพสต์ ‘น้ำนิ่ง’ ทุกสองสามวันที่หน้าเว็บไซต์สถานีกันได้ล่ะ ไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหว"
จางเย่พอฟัง ก็หัวเราะหึๆ อันที่จริงถ้าหวังเสียวเหม่ยไม่พูด เขาเองก็ลืมไปแล้วว่ามีรองผอ.สถานีเจี่ยคนนี้อยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไร ได้ยินว่าคนเช่นนี้ได้รับกรรมสนองก็ยังคงระรื่นหูอยู่ดี "ขอบคุณมาก อาจารย์เสียวเหม่ย ทุกคนสบายดีนะ? หัวหน้าจ้าว? เสี่ยวฟางล่ะ? พี่สาวใหญ่โจวกับป้าซุนด้วย?”
หวังเสียวเหม่ยคลี่ยิ้ม "ทุกคนสบายดี ในเมื่อตอนนี้กลับมาเมืองหลวงแล้วก็หาเวลาเจอกันหน่อยสิ โอ๊ะ ฉันลืมไปว่าเธอคงกำลังยุ่ง ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน ยินดีด้วย ตอนนี้เธอไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป ดูคำแนะนำที่หน้าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยปักกิ่งสิ มีตำแหน่งอยู่แปดเก้าแห่งใช่ไหม? แถมทุกอันยังมีคำนำหน้าว่า ‘มีชื่อเสียง’ กับ ‘คนดัง’ ด้วย คำพวกนี้น่ะ ไม่ใช่ใครๆ ก็ใช้ได้เชียว!"
จางเย่ยินดีอย่างยิ่ง กล่าวว่า "อาจารย์เสียวเหม่ย คุณอย่ามายอผมเลยครับ น้ำหนักผมมีแค่ไหนทำไมจะไม่รู้? ไว้เสร็จงานนี้แล้วพวกเรามาเจอกันนะครับ"
หวังเสียวเหม่ยตกลง "ได้ ถึงเวลาค่อยว่ากัน"
จางเย่กล่าว "ได้เลย ช่วยขอบคุณหัวหน้าจ้าวกับพี่สาวใหญ่โจวให้ผมด้วยนะครับ"
หวังเสียวเหม่ยกล่าว "รู้แล้ว ฉันจะบอกให้ ฉันรอดู ‘พิเคราะห์สามก๊ก’ ที่เป่ยต้าของเธออยู่นะ ถึงเวลาถ้ามีคลิปในเน็ต ฉันต้องดูแน่นอน"
ยังมีสายโทรมาอีกอย่างต่อเนื่อง
พวกเขาล้วนเป็นสหายเก่าแก่ ทุกคนต่างบอกเขาว่ารอชม ‘พิเคราะห์สามก๊ก’ กันอยู่!
สามก๊ก!
นี่ทุกคนคิดว่าเป็นสามก๊กหมดเลย?
จางเย่ยักไหล่ หลังจากวางสาย เขาก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้เตรียมจะทำเรื่องสามก๊กหรอก เขามีหัวข้อใหม่ให้สอนแล้ว ในฐานะนักเลงวรรณกรรมคนหนึ่ง จางเย่ทนนั่งเฉยให้โลกนี้เข้าใจเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ ผิดๆ ไม่ได้เด็ดขาด ทั้งยังทนให้พวกเขาเข้าใจเฉาเสวี่ยฉินผิดไม่ได้ เขาต้องยืนหยัดต่อหน้าสาธารณชน ในฐานะคนคนเดียวบนโลกที่รู้ความจริงเรื่องของ ‘ความฝันในหอแดง’ จางเย่มีหน้าที่ต้องบอกความจริงต่อสาธารณชน!
ดังเช่นที่จางเย่ใช้บทกวีและบทเพลงจากโลกของเขา ไม่ใช่เขาอยากจะละเมิดลิขสิทธิ์นะ เขาไม่ได้ใช้มันแสวงหาชื่อเสียง ไม่ได้หยิบภูมิปัญญาของบรรพชนออกมาใช้โดยไม่มีสมอง ไม่เลยจริงๆ ความจริง จางเย่ไม่ต้องการให้ผลงานขึ้นหิ้งเหล่านั้นต้องจมหายไปในโลกนี้ ในฐานะสะพานเชื่อมสองโลก ในฐานะของทูตระหว่างสองโลก จางเย่แบกรับภาระหน้าที่ในการฟื้นฟูศิลปะไว้บนบ่า!
ภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงนัก!
เหนื่อยไหม? ต้องเหนื่อยมากอยู่แล้ว!
แต่เขาไม่กลัว เขายินดีแบกรับความยากลำบาก!
หึ เพื่อรับใช้ประชาชนแล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอกน่า เรียกผมว่ายุวชนแดง[1]เถอะ!
==========================
[1] ยุวชนแดง หรือ เรดการ์ด คือแนวร่วมเคลื่อนไหวของเยาวชนในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเน้นการปลูกฝังแนวคิดของสังคมนิยม คำพูดข้างต้น เป็นประโยคติดปากของเหล่ายุวชนแดงในยุคนั้น
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*