แล้วค่ำคืนวันเสาร์ของวัยรุ่นอย่างเราก็ลงเอยกันที่ผับเล็กๆแห่งหนึ่งไกลจากเมืองอูบุดออกมาพอสมควร
ตอนนี้ฉันกับคุณเซนกำลังกึ่งนั่งกึ่งเอนเบียดกันอย่างสบายอารมณ์บนโซฟานุ่ม พลางจิบเบียร์บินตังเบียร์ชื่อดังของอินโดนีเซียพร้อมเคล้าคลอไปกับเสียงดนตรีสดแนวเพลงป๊อบใสๆฮิตๆจากวงดนตรีเล็กๆที่แสดงอยู่ตรงมุมหนึ่งของผับ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคุณเซนเขามีอาการกรึ่มเต็มที่ คุณเขาดื่มเบียร์แทนน้ำเลยตั้งแต่หัวค่ำแล้ว คือว่าที่เราดื่มกันได้อย่างเต็มที่ ก็เพราะว่าคืนนี้เราไม่ต้องขับรถไปไหนกันอีกแล้ว ที่พักของเราอยู่ไม่ไกลจากผับแห่งนี้ เดินแค่ห้านาทีก็ถึง
หลังจากออกมาจากมิวเซียม คุณเซนเขาก็ขับรถตรงดิ่งลงมาทางตอนใต้ของเกาะตามความต้องการของฉัน (อีกเช่นเคย) ที่อยากจะหาที่นอนค้างคืนริมทะเล และในที่สุดฟ้าก็ประทานความโชคดีมาให้ เราขับรถมาเจอที่พักริมหน้าผาวิวดีเริ่ดหรูอลังการสมใจฉัน มองลงไปจะเห็นชายหาดที่มีหินรูปร่างหน้าตาประหลาด ซึ่งบริเวณนี้เขาเรียกกันว่าชายหาด Karang Boma Uluwatu
คืนนี้คุณเซนเขาดูเอ็นจอยสุดๆ หน้าตาเริงร่ายิ้มหวานตลอดเวลา แหงล่ะสิ ได้ดื่มด่ำกับแอลกอฮอล์โดยไม่มีลิมิต ไม่ต้องขับรถ แล้วก็ไม่ต้องนั่งแท็กซี่ไปส่งใครที่บ้านด้วย และเมื่อเห็นคุณเซนเขารื่นรมย์ขนาดนี้ ฉันเลยต้องเป็นฝ่ายยับยั้งปริมาณแอลกอฮอล์ที่จะเข้าร่างตัวเองเอาไว้ กลัวว่าถ้าเผลอเมาทั้งคู่ เดี๋ยวคืนนี้จะเดินกลับกันไม่ถึงที่พัก
"Ok Guys… now it's the time that you are waiting for. It's the JAM time! come on guys! Come and sing for us please!"
เสียงเพลงเงียบไปแล้ว และเสียงประกาศเชิญชวนจากพ่อหนุ่มผิวสีแทนนักร้องบนเวทีเล็กๆนั่นก็ดังขึ้นมาแทน ทำเอาบรรดาแขกที่นั่งดื่มกันอยู่มีอาการฮือฮากันเล็กน้อย
อ่อ ที่นี่เขาคงเชิญคนไปร่วมแจมบนเวทีอยู่เป็นประจำสินะ อือม์ บรรยากาศเป็นกันเองดี ชอบจังเลย
"Hey! how about that handsome guy in a white shirt, come on!, please sing a beautiful song for your beautiful girl"
เอ๊ะ พ่อหนุ่มนักร้องเค้าชวนใครกันนะ ฉันเหลียวมองไปรอบๆด้วยความตื่นเต้น มีใครหล่อๆอยู่แถวนี้ด้วยอีกรึ
เอ่อ แต่ทำไมผู้คนต่างพากันมองมาทางโต๊ะเรา และเสียงเชียร์จากโต๊ะข้างๆก็เริ่มดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ
"Go! Go!"
"Sing for her! Sing for her!"
เค้าหมายถึงใครกัน? หรือว่า...
ชักลางสังหรณ์ไม่ดีแฮะ
แล้วทำไมเหล่านักท่องเที่ยวชายหญิงนานาชาติถึงกำลังมองมาที่ฉัน?
เชี่ย! ซวยล่ะ!
ฉันรีบหันหน้ากลับมาหาคุณเซน ก็เห็นคนกรึ่มโหนกแก้มแดงคนนี้กำลังเตรียมตัวลุกขึ้นยืนพลางยิ้มแย้มโบกไม้โบกมือไปทั่ว
อย่านะคะเซนที่รัก ขอร้องล่ะ
ฉันส่ายหน้า พยายามส่งสายตาเว้าวอนออกไปเต็มที่ และเอื้อมมือจะไปฉุดแขนของเขาเพื่อยับยั้งไว้ แต่สายไปเสียแล้ว คุณเซนเขาลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหมุนตัวหันมายักคิ้วหลิ่วตาทำหน้ามีเลศนัยให้ฉันเล็กน้อย แล้วก็เดินตรงไปที่เวทีเพื่อรับไมค์มาจากนักดนตรีหนุ่มคนนั้น
โอว ไม่นะ ไม่! คราวนี้เป็นเพราะความเมาของคุณเซนแน่ๆถึงได้อาจหาญถึงเพียงนี้
ภาพเดจาวูจากเหตุการณ์งานเลี้ยงรุ่นตามมาหลอกหลอนฉันโดยแทบจะในทันที ฉันควรแกล้งตายดีหรือเปล่า หรือลุกไปเข้าห้องน้ำดี หรือออกไปสูบบุหรี่ หรือมุดลงใต้โต๊ะ หรือ...
โอย เสียงร้องเพลงอันโหยหวนของคุณเซนดังขึ้นแล้ว คราวนี้เป็นเพลงญี่ปุ่นซะด้วย ร้องสดๆไร้ดนตรีเลยจ้า
ฮือ ฮือ เป็นความรู้สึกที่ทรมานจริงๆเลยอ่า แอบปรายตามองไปรอบๆ สำหรับบรรยากาศภายในร้านนั้น... แน่นอนค่ะ กำลังเงียบกริบตอบสนองเสียงร้องอันทรงพลังนั่น
"คิมิ งาอิ เรบะ… โซเรเดะ… อิ…. โซเรเดะ…. อิ..."
แต่เดี๋ยวนะ ท่อนสร้อยนี่คุ้นๆ...
ฉันจำได้แล้ว! เพลงที่คุณเซนกำลังร้องอยู่เป็นเพลงจากโฆษณากูลิโกะยุคเก้าศูนย์ที่นางเอกอยู่ในตู้โทรศัพท์นั่นเอง
น้ำตาจะไหล ไม่ได้ยินเพลงนี้มาหลายสิบปีแล้ว คิดถึงบรรยากาศเก่าๆสมัยวัยเรียน แต่! มันจะซาบซึ้งกว่านี้มาก ถ้าคนร้องไม่ใช่คุณเซน!
ที่รักคะ คราวนี้ชั้นช่วยคุณไม่ได้จริงๆค่ะ
คือถึงแม้จะเป็นเพลงที่ฉันชอบมาก แต่ฉันก็จำเนื้อเพลงไม่ได้ เพลงญี่ปุ่นยุคโบราณขนาดนี้ใครจะจำเนื้อเพลงได้วะ
"ลิน ลินใช่ไหม ใช่แกจริงๆด้วย ชั้นว่าแล้วว่าเสียงนี้คุ้นๆ เสียงมหันตภัยจากงานเลี้ยงรุ่นของเรานี่เอง"
ขณะที่ฉันกำลังพยายามทบทวนเนื้อเพลงอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะได้ขึ้นไปช่วยคุณเซนร้อง ฉันก็ได้ยินเสียงทักทายของใครคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ หันไปมองก็พบเจ้าของเสียงกำลังปราดเข้ามาหาฉันจากทางด้านข้าง
"อ้าว สมฤดี" ฉันตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะได้เจอเพื่อนเก่าแก่ที่นี่ สมฤดีเขาคือเพื่อนสมัยมัธยม มาจากห้องหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในกลุ่มแก๊งเพื่อนสนิทห้องสามของฉัน
"นี่แกพาแฟนมาป่วนเสียงถึงบาหลีเชียวรึ" สมฤดีทำหน้าตาจริงจังประกอบเสียงร้องเพลงของคุณเซน
"เอ่อ..." จะให้ฉันตอบสมฤดีว่าอย่างไรดี
ใช่! ฉันต้องการให้ประชาชนชาวบาหลีเขาได้รับความทุกข์ทรมานเหมือนที่พวกเราเคยได้รับตอนงานเลี้ยงรุ่น!
ต้องการคำตอบงี้?
"เอ้อ ไม่นึกว่าจะได้เจอกันนะเนี่ย แล้วแกมาเที่ยวกับใครเหรอ" แต่ฉันคิดว่าเบี่ยงประเด็นไปเสียเลยจะดีกว่า แล้วฉันเองก็อยากรู้จริงๆว่าสมฤดีเขามาบาหลีกับใคร ก็เขายังโสดอยู่ แล้วท่าทางแบบสมฤดีก็ไม่น่าจะใช่พวกนักเที่ยวสายลุยเดี่ยว
"ชั้นมากับแก๊งเพื่อนที่ทำงานน่ะ นั่งกันอยู่ตรงโต๊ะโน้น แต่พอได้ยินเสียงร้องเพลงก็ว่าคุ้นๆ พอเห็นหน้าหล่อๆก็จำได้ว่าเป็นแฟนแก"
"อ่อ โลกกลมจังเนาะ" ฉันไม่รู้จะคุยอะไร ฉันไม่สนิทกับสมฤดี แต่เหมือนสมฤดีเขาจะสนิทกับฉัน เพราะคำถามถัดมาของสมฤดีเขาตรงเข้าประเด็นมาก
"เออ แล้วก้องล่ะ เห็นเค้าเม้าท์กันให้แซ่ดเรื่องแกกับก้อง เพราะก้องมันไปคุยกับไอ้บิ๊กว่าจะกลับมาคบกับแก" ไม่อ้อมค้อมกันเลยจ้า หน้าตาสมฤดีเขาสงสัยใคร่รู้จนปิดไม่มิด
ฉันแอบถอนหายใจ…
นี่คือข้อเสียที่แท้จริงของการมีแฟนเก่าเป็นเพื่อน เพราะเรื่องเม้าท์มันจะวนเวียนถึงกันอย่างรวดเร็ว แล้วก้องเขาก็เป็นอดีตเพื่อนห้องเดียวกันกับสมฤดี วงการเม้าท์ของพวกห้องหนึ่งก็รุนแรงพอๆกันห้องสามของฉัน ยิ่งเป็นการเม้าท์เรื่องความรักกันของเพื่อนต่างห้อง ยิ่งมันส์ และที่สำคัญ สมฤดีได้ชื่อว่าเป็นตัวท้อปของวงการเม้าท์ของรุ่นเรา เฮ้อ…
แต่กลับมาเรื่องของก้องก่อน จริงสิ สองสามวันมานี้ฉันลืมก้องไปเสียสนิท!
หลังจากงานเลี้ยงรุ่นของเรา ก้องมาหาฉันที่ออฟฟิศติดๆกันหลายวันก่อนที่จะกลับไปไร่ที่จังหวัดเลย ก้องยังคงส่งข้อความมาหาฉันสม่ำเสมอ เราโทรคุยกันบ้างในช่วงกลางคืน เพราะฉันเองก็มีเรื่องอยากคุยกับก้องมากมาย อยากรู้ความเป็นไปของก้องในช่วงชีวิตสิบปีที่ผ่านมา
"ลิน แกคบซ้อนหรือยะ แหมหญิงสองใจนะยะเราน่ะ" เสียงของสมฤดีดังเข้าหูมาขัดจังหวะการคิดถึงก้องของฉัน
เอ่อ… สองใจน่ะอาจจะใช่ แต่ฉันกำลังคบซ้อนจริงหรือ?
"อ้าว เซน" ฉันรีบขมวดคิ้วใส่สมฤดีเชิงปรามให้เงียบไว้ เมื่อเห็นหนุ่มปากแดงเจ้าของเสียงร้องเพลงอันน่าสะพรึงกำลังเดินกลับมาที่โต๊ะของเรา
ฉันมองคุณเซนที่เข้ามานั่งเบียดฉันใกล้ๆด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ฉันกำลังคบกับเขาหรือเปล่า?
…เรื่องนั้นฉันไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ฉันยังไม่ได้ตกปากรับคำกลับไปคบกับก้อง ก็พักหลังมานี่คนปากแดงเขาเข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆฉันบ่อยๆจนฉันไม่สามารถใจจดจ่ออยู่ที่ก้องคนเดียวได้อีกต่อไป
ส่วนวันนี้… ฉันขอเลื่อนการคิดถึงเรื่องของก้องออกไปก่อนได้ไหม
วัยที่เพิ่มขึ้นทำให้ฉันได้เรียนรู้ที่จะปล่อยตัวเองให้มีความสุขกับช่วงเวลาตรงหน้า และไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ฉันคงต้องยอมรับมัน…
สามวันเต็มที่เราขับรถออกตระเวนทั่วเกาะด้วยกัน คุณเซนเขาเช่ารถจี๊ปแบบที่เปิดประทุนได้ ร่างกายของเราจึงได้ปะทะกับบรรยากาศความเป็นท้องถิ่นอย่างเต็มที่ เราขับรถซอกซอนไปยังที่ต่างๆกันอย่างไร้แบบแผน นึกอยากจะหยุดรถเพื่อลงไปนั่งทอดหุ่ยสูบยาเส้นกันเฉยๆก็หยุด หรือบางครั้งก็ตะลุยขับรถกันไปเรื่อยๆโดยไม่หยุดเป็นเวลาหลายชั่วโมงก็มี
ราวกับว่าคนปากแดงคนนี้ได้มีโอกาสปลดปล่อยตัวตนที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในออกมาอย่างเต็มที่ ถอดความเป็นคุณเซนของทุกคนทิ้งไว้ที่กรุงเทพ เสื้อเชิ้ตสีเข้มๆที่เคยใส่เป็นประจำถูกแทนที่ด้วยเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีขาวเนื้อบางเบาที่มักจะถูกปลดกระดุมลงมาจนเกือบครึ่งอก กางเกงยีนเข้ารูปตัวโปรดถูกเปลี่ยนเป็นกางเกงเลครึ่งน่องทรงหลวมสีเขียวทหารแทน รองเท้าคัทชูหรูถูกสลัดทิ้งไปเหลือแต่รองเท้าแตะ รูหูสามรูข้างซ้ายของคุณเซนบัดนี้เต็มไปด้วยตุ้มหูที่ฉันเป็นคนเลือกซื้อให้เขาที่ตลาดยามเมื่อแวะผ่าน และเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มสลวยนั่นไม่เคยได้แตะต้องเจลใส่ผมอีกเลย
จากเจ้านายหน้าตาจริงจังในออฟฟิศ บัดนี้คนข้างกายฉันเขากลายเป็นหนุ่มน้อยอารมณ์ดีขี้เล่นขี้อ้อน ร่าเริงหัวเราะขำกับทุกมุกตลกแป๊กๆของฉัน เราหัวเราะกันง่ายมากกับทุกสิ่ง กินเบียร์กันแทนน้ำ สูบยากันเส้นแทนข้าว สบถคำหยาบกันอย่างง่ายดาย มีเซ็กซ์กันอย่างบ้าคลั่งทุกครั้งที่ใจและกายต้องการ ลุกจากที่นอนเมื่ออยาก แย่งกันกินไก่ปิ้งข้างทางเมื่อหิว ทำตามใจตัวเองกันในทุกสิ่ง ใช้ชีวิตราวกับวันนี้เป็นวาระสุดท้ายของชีวิต สลัดทิ้งเปลือกนอกออกไป เหลือแต่ตัวตนและความปรารถนาจากข้างใน
เราลืมทุกสิ่ง ลืมครอบครัว ลืมหน้าที่การงาน ลืมสถานะในสังคม
ฉันไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่อยู่ในรูปแบบไหนกันแน่ เราไม่เคยพูดกันตรงๆถึงเรื่องนี้ และฉันเองก็พยายามจะไม่สนใจ ฉันสนแค่วันนี้ แค่โอกาสนี้ก็พอ…
"ผมยังไม่อยากกลับกรุงเทพเลย"
คนปากแดงเอ่ยเสียงนุ่มอ้อนขึ้นมาขณะเรากำลังแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำด้วยกันในคืนวันจันทร์ คืนสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน
"งั้นเซนก็อยู่ต่อ แล้วกลับพร้อมกับลินสิคะ" ก็ถามเค้าเล่นๆไปเรื่อยอย่างนั้นเอง ทั้งๆที่รู้ว่าความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้
ฉันเอามือทั้งสองข้างลูบไล้ฟองสบู่ไปตามเนื้อตัวของคนที่เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนหงายทาบอยู่บนลำตัวฉัน แม้ดูภายนอกคุณเซนจะรูปร่างสูงเพียว แต่เอาจริงตัวหนักมากเหมือนกันนะเนี่ย สงสัยจะหนักกล้ามเนื้อแฮะ
"ถ้าทำงั้น พ่อคงดุผมแย่เลย" คนตัวหนักทำเสียงละห้อย
"ไม่อยู่ต่อจริงอะ เดี๋ยวแถมโปรโมชั่นนวดให้ทุกวันในอ่างน้ำเลยน้า" ฉันหยอกเย้าพลางเริ่มแสดงตัวอย่างการนวดอย่างเบาๆไปทั่วๆร่างแกร่งนั้น กล้ามอกซึ่งเคยขาวจัดบัดนี้เริ่มจะกลายเป็นสีแทนเนื่องจากการอยู่กลางแจ้งกันอย่างไม่กลัวเกรงพระอาทิตย์ทั้งฉันทั้งคุณเซน
"ถึงไม่มีโปรโมชั่นก็อยากอยู่ต่อใจจะขาดอยู่แล้ว นี่ผมเริ่มคิดถึงลินแล้วนะ ยังไม่ทันไปไหนเลย" เสียงนั้นออดอ้อนหนักมากขึ้น คนพูดเอี้ยวตัวหันมาจูบอย่างหนักหน่วงที่โหนกแก้มของฉันก่อนจะหันกลับไปหลับตาพริ้มท่าทางสบายอกสบายใจ
ฉันจูบที่โหนกแก้มเขาตอบกลับบ้าง อยากจะอ้อนอยากจะเว้าวอนเขาเหลือเกินว่า
เซนอย่ากลับกรุงเทพเลยนะคะ อยู่ที่บาหลีกับลินต่อไปนะ หรือเราย้ายมาอยู่ที่นี่กันเลยดีไหมคะ มาอยู่กันแค่สองคน มาใช้ชีวิตไปวันๆ ขับรถไปเที่ยวกันทุกๆที่ มีเซ็กซ์กันทุกๆที่…
แต่เอ้อ กลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงกันก่อนดีกว่าเนอะ ยังไงเราก็ไม่มีวันหนีหน้าที่และความรับผิดชอบไปได้
ฉันจึงกลั้นใจพูดในสิ่งที่ควรจะพูดออกไป
"เรามีความสุขกันมามากแล้วค่ะ แค่นี้ลินก็ขอบคุณชีวิตมากๆแล้ว นี่ถ้าอยู่ด้วยกันนานขึ้น คงได้เริ่มทะเลาะกันแน่ๆ แล้วเซนก็จะรีบขึ้นเครื่องหนีกลับแทบไม่ทัน" ฉันพยายามทำเสียงติดตลก พยายามกลบเกลื่อนความเศร้าที่เริ่มๆจะเข้ามาเกาะกุมจิตใจ
ห้าวันในบาหลีที่ผ่านมานี้เราแทบไม่มีเรื่องขัดใจกันเลย ฉันเองเป็นคนง่ายๆ และก็ไม่ใช่คนที่ชอบเอาชนะหรือถกเถียงกับใครอยู่แล้ว และฉันก็เพิ่งจะรู้ว่าตัวตนจริงๆของคุณเซนเองเค้าก็เป็นคนแบบเดียวกัน ยามอยู่ในที่ทำงานภาพลักษณ์ภายนอกของคนปากแดงคนนี้ดูจะเป็นคนเด็ดขาดเจ้าระเบียบ มีความคิดเป็นของตัวเองและตัดสินใจฉับไวอยู่เสมอ แต่ห้าวันมานี้ที่เราอยู่ด้วยกัน เขากลายเป็นคนเรื่อยเปื่อย ตามใจฉันทุกอย่าง กินง่าย อยู่ง่าย นอนง่าย พร้อมจะลองทุกอย่าง พร้อมจะทำทุกสิ่ง เหมือนกับว่าเขาไม่เคยยี่หระกับเรื่องใดๆในชีวิตเลย
"เราเก็บช่วงเวลาดีๆที่ผ่านมาไว้ให้เป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดในความทรงจำของเรากันดีกว่าค่ะ ปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณภาพเด้อ Quality not Quantity, you know?" ฉันพยามปลอบใจเขาต่อไป แต่อันที่จริงก็ปลอบใจตัวเองด้วยแหละ ฉันไม่อยากให้บรรยากาศคืนสุดท้ายของเรามันเศร้าเกิน
"เจ้าเด็กหัวฟ้าคงคิดถึงเซนแย่แล้ว ไว้เรามากันใหม่ แล้วพาครอบครัวของเรามาด้วยกันดีกว่านะคะ" และก็รู้ดีว่าถ้ายกเรื่องลูกชายสุดที่รักของเขาขึ้นมาพูด คุณพ่อปากแดงคนนี้น่าจะทำใจได้ง่ายขึ้น
"อื้อม เนอะ ผมเป็นพ่อคนแล้ว คงจะคิดถึงแต่ความสุขของตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…" น้ำเสียงนั้นดูจะเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้ แต่ก็ยังไม่วายเจือด้วยความเศร้า
"ตอนนี้เพิ่งจะสามทุ่ม เหลือเวลาอีกตั้งสิบสองชั่วโมงแน่ะค่ะกว่าเซนจะบิน อย่าเพิ่งเศร้าเลยเนอะ"
ต้องเปลี่ยนความเศร้าให้เป็นความเซ็กซี่แทน ฉันเริ่มเอาริมฝีปากแตะเบาๆไปทั่วๆลำคอเรียวนั้น ลำคอซึ่งอดีตเคยขาวจัดบัดนี้เริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีแทนแล้วจากการตากแดดอย่างหนักหน่วงของเราทั้งสองคนมาตลอดระยะเวลาห้าวัน
คนปากแดงพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับฉัน จ้องตาฉันด้วยแววตาระโหยหาคละเคล้าไปกับความวาบหวาน และแล้วริมฝีปากแดงจัดนั่นก็บดอัดมาที่ปากบางของฉันอย่างเร่าร้อน เรารัวลิ้นตักตวงความหวานหอมในโพรงปากของกันและกันอย่างดูดดื่ม ก่อนที่ปากแดงและลิ้นนุ่มนั่นจะถูกเคลื่อนออกจากปากฉันเพื่อย้ายไปขบเม้มโลมเล้าที่ติ่งหูของฉันแทน ฉันรู้สึกเสียวสะท้านจนใจจะขาดรัวๆ ใบหน้าเรียวนั้นยังคงก้มงุดและจมูกเรียวนั่นก็วุ่นวายซุกไซ้อยู่ที่ต้นคอของฉัน ขณะที่มือเรียวเริ่มจะเปะปะไปด้วยลำตัวของฉันภายใต้สายน้ำไหวระริกอันอบอุ่นนั้น ฉันแอ่นกายขึ้นต้อนรับความซุกซนของเขาอย่างเต็มใจ
อยากจะหยุดวันเวลานี้ไว้เหลือเกิน อยากจะให้โลกหยุดหมุนเหลือเกิน
ไม่อยากจะให้ถึงวันพรุ่งนี้เลยจริงๆ...