เมืองอูบุด เกาะบาหลี...
ในที่สุด ฉันก็ได้มาเยือนบาหลีอีกครั้ง อ่า ดีใจจังเลย ฉันรักเมืองอูบุด ช่างเป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรม แถมยังใกล้ชิดกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นวัดเก่าแก่ ภูเขา ป่าไม้ ทุ่งนาขั้นบันได และแม่น้ำสายเล็กๆใจกลางเมืองล้วนแล้วแต่เป็นเสน่ห์ของเมืองเล็กๆแห่งนี้ อูบุดทำให้ฉันคิดถึงเชียงใหม่ในอดีต เชียงใหม่ที่ยังเงียบสงบ ไม่พลุกพล่านจอแจเหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้
คุณวาเลนติโนได้ส่งรถของรีสอร์ตมารับเราที่สนามบินเดนปาซาร์ซึ่งเป็นสนามบินหลักของเกาะบาหลี อยู่ห่างจากเมืองอูบุดไปประมาณสี่สิบกิโลเมตร
บริษัทของเราเป็นหนึ่งในสามบริษัทออกแบบระดับนานาชาติ ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกให้มาแสดงแนวคิดของการออกแบบเฟอร์นิเจอร์สำหรับรีสอร์ตแห่งใหม่ที่กำลังจะสร้างบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งอีกสองบริษัทที่เป็นสัญชาติญี่ปุ่นและอิตาเลียนนั้นได้มาเยือนที่นี่ก่อนหน้าพวกเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"คุณลินเคยมาบาหลีแล้ว ก็พาผมเที่ยวได้สิครับ"
คุณเซนหันมาถามฉัน ขณะที่เรานั่งอยู่บนรถซึ่งกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังรีสอร์ตที่คุณวาเลนติโนจัดให้เราพักและพรีเซนต์งานในตอนบ่ายวันนี้ ส่วนวันพรุ่งนี้จะเป็นการพาไปเยี่ยมชมสถานที่ที่จะก่อสร้างรีสอร์ตแห่งใหม่และพาชมเมืองอูบุด
"แหม คุณเซนคะ เรามากันแค่สองสามวัน แล้วทางรีสอร์ตเขาก็มีบริการพาเราเที่ยวด้วย งานนี้ชั้นคงไม่ได้แสดงฝีมือไกด์หรอกค่ะ"
คือคุณเซนน่ะ เธอมาแค่สองสามวันจริง ส่วนฉันนั้นได้ลาพักร้อนต่อเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โถ มาจนถึงนี่แล้ว สายเที่ยวอย่างฉันพลาดไม่ได้หรอก ก็ต้องมีการเที่ยวต่อกันนิดหน่อยอะนะ
"ผมไม่ชอบเที่ยวกับทัวร์ เหมือนเราถูกบังคับให้ไปดูสิ่งที่เขาอยากให้เราดู"
"อ้าว งั้นถ้าให้ชั้นพาเที่ยว คุณเซนก็ต้องดูสิ่งที่ชั้นอยากให้ดูนะคะ"
"ครับ ผมยินดีจะดูทุกอย่างที่คุณลินบังคับให้ผมดู" ตาเรียวนั้นแม้จะล้อเลียน แต่ก็ดูจะหมายความอย่างที่พูดจริงๆ
เฮ้อ ฉันไม่ชอบสายตาล้อเลียนที่ผสมความเอ็นดูนุ่มๆแบบนี้เลย…
ขอสายตาแบบอวดดีนิดๆท้าทายหน่อยๆ หรือสายตาที่แสนจะเฉยชา แบบตอนที่เรารู้จักกันใหม่ๆคืนมาจะได้ไหมคะ
ฉันไม่อยากใจเต้นผิดจังหวะบ่อยๆค่ะ…
ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่า เหมือนว่าความสนิทสนมของเราจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วในห้วงเวลาที่ผ่านมา จนข้ามเส้นของการเป็นผู้ร่วมงานปกติกันไปแล้ว
จริงอยู่ที่ฉันเองก็มีความสนิทสนมให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆในบริษัทเท่าเทียมกันทั้งสิ้น ไม่ได้แยกเพศหญิงชาย แต่กับคุณเซน... ฉันรู้สึกต่างออกไปจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ เราสามารถที่จะพูดคุยทุกเรื่องอย่างตรงๆกันได้โดยไม่ต้องกลัวดราม่าจากอีกฝ่ายหนึ่ง มันเหมือนว่าเรามีความเข้าใจกันอยู่ลึกๆ ทั้งๆที่เขาก็เป็นเจ้านายและยังอายุน้อยกว่าฉันอยู่พอควร
แถมครอบครัวของเราก็ยังมามีความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกันอีก พ่อแม่ของฉันก็เป็นเพื่อนกับพ่อของเขา หลานสาวของฉันก็เป็นเพื่อนกับลูกชายของเขา มันยิ่งทำให้คนที่คุยเก่งอย่างฉันมีเรื่องที่จะคุยกับเจ้านายคนนี้ได้ไม่รู้จบ
นี่ก็เพิ่งรู้นะ ว่าคุณเซนทำงานช่างในบ้านเก่งมาก คุณเขาซ่อมแซมข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างที่ยัยลิสาเจ้ากี้เจ้าการจัดแจงขอความช่วยเหลือได้เป็นอย่างดี แม้ฝีมือทำสปาเกตตีของคุณเซนจะเอ่อ... ช่างมันเถอะ
แต่อื้อ… ไม่น่าเชื่อเลยนะ ดูหน้าขาวๆ แต่งตัวสะอาดๆ ลุคส์คุณหนูสูงโปร่งบางๆแบบนี้ พอรับบทนายช่างประจำบ้านนี่ทะมัดทะแมงคล่องแคล่วเชียว
"เป็นไรไปครับ ที่หน้าผมมีรอยอะไรหรือเปล่า เห็นคุณลินจ้องใหญ่" คนนั่งข้างๆลูบหน้าของตัวเองไปมา ทำท่าทางสงสัย
เอ่อ ฉันคงเผลอมองหน้าขาวๆนั่นนานไปหน่อยโดยไม่รู้ตัว
"เอ้อ อุ้ย คุณเซนดูวัดนั่นสิคะ สวยมากเลย อุ้ย ตลาดนั่นก็น่าสนใจ ต้องหาโอกาสมาเยี่ยมเยียนซะแล้ว" ฉันเลยต้องเสทำเป็นสนใจวิวข้างทาง ชี้ชวนให้เขาดูโน่นดูนี่แทน
"นี่คุณลินเคยมาบาหลีแล้วยังตื่นเต้นอยู่อีกหรือครับ"
"ให้มาอีกยี่สิบรอบก็ตื่นเต้นเหมือนเดิมค่ะ ก็ชั้นชอบที่นี่นี่คะ ชั้นบอกคุณเซนไม่รู้กี่รอบแล้ว"
"ครับ ครับ คุณลินบอกผมหลายรอบแล้วครับ"
โอย สายตานุ่มๆที่แฝงด้วยความเอ็นดูนั้นส่งมาอีกรอบแล้ว แล้วก็ทำเอาฉันใจเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลอีกแล้ว
นี่ฉันเป็นประเภทป้าแก่ที่หวั่นไหวไปกับเสน่ห์ของหนุ่มน้อยแล้วหรือ
โอว ไม่นะ ไม่....
"ว้าว ว้าว ว้าว!" ฉันถึงกับต้องเปล่งเสียงอุทานทะลุออกมาจากในใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ภาพหมู่มวลของกระท่อมเล็กๆแบบยกพื้นที่ปลูกไล่ลดหลั่นไปตามแนวของหุบเขาเบื้องหน้า ภาพทุ่งนาขั้นบันไดสีเขียวจัดในฤดูฝน แม้จะรู้ว่ามันเป็นทุ่งนาจัดตั้งของทางรีสอร์ตเพื่อความรื่นรมย์สำหรับแขกที่มาพัก แต่ฉันก็ยังอดทึ่งไม่ได้อยู่ดี ต้องยอมรับว่าสถาปนิกผู้ออกแบบรีสอร์ตแห่งนี้ฝีมือดีมาก สามารถจัดภูมิทัศน์ของกระท่อมที่พักและวิวทุ่งนาไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนและลงตัว
"รีสอร์ตแห่งนี้เลิศเลอเพอร์เฟคจริงๆค่ะ อย่างที่ฉันเคยฝันไว้เลยว่าอยากจะมาพัก บรรยากาศโรแมนติกเป็นที่สุด" ฉันปลื้มปริ่มกับทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่
ตอนนี้เรากำลังนั่งกันอยู่ที่ห้องอาหารแบบเปิดโล่ง ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของรีสอร์ตแห่งนี้
"ผมว่ากระท่อมของผมไกลไปหน่อย ต้องเดินขึ้นเขาไปอีก เค้าน่าจะจัดให้เราได้อยู่ใกล้ๆกัน" แต่คนข้างๆฉันเขากำลังบ่นกระปอดกระแปดเรื่องที่พักที่ทางรีสอร์ตจัดไว้ให้
"หูย คุณเซน รีสอร์ตวิวพรีเมี่ยมอย่างนี้ ปกตินี่น่าจะเต็มตลอดเวลานะคะ แค่คุณวาเลนติโนเค้าอุตส่าห์หาห้องให้เราสองคนได้พักฟรีนี่ แค่นี้ชั้นก็ปลื้มจะแย่อยู่แล้วค่ะ"
เรามาถึงรีสอร์ตกันตอนก่อนเที่ยง คุณวาเลนติโนไม่ได้มาต้อนรับด้วยตนเอง แต่ก็ได้ส่งพนักงานมารอต้อนรับเราทั้งคู่ มาแนะนำส่วนต่างๆของรีสอร์ต และพาเราไปยังกระท่อมที่พักสุดหรู
การพรีเซนต์จะเริ่มขึ้นตอนบ่ายสาม ฉันกับคุณเซนจึงมียังเวลาเหลือเพียงพอที่จะพักผ่อนและละเลียดอาหารเที่ยงกันอย่างสบายอกสบายใจ
"คุณลินทำใจให้สบายนะครับ เรื่องพรีเซนต์ผมมั่นใจว่าคุณทำได้ดีแน่ๆ" คุณเซนเขาหันมาพูดให้กำลังใจฉันอีกที หลังจากเราสั่งอาหารกันเรียบร้อย
"ชั้นมืออาชีพค่ะคุณเซน ไม่ต้องเป็นห่วง งานนี้ชั้นทุ่มสุดตัว"
เป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ที่ฉันทำงานหนักมาตลอดตั้งแต่เราได้รับข่าวดีว่าบริษัทของเราได้รับคัดเลือกเชิญให้มาที่บาหลีคราวนี้ และเพราะงานนี้ถูกท้าทายจากทางลูกค้าให้ต้องเตรียมตัวภายในระยะเวลาอันสั้น ฉันจึงลงมือทำรายละเอียดของการพรีเซนต์ทั้งหมดด้วยตัวเองแทนที่จะมอบหมายให้ลูกทีมในแผนกทำ
หลายครั้งที่ฉันต้องอยู่ออฟฟิศเกินเวลางานจนถึงดึกดื่น คุณเซนก็จะอยู่รอกลับพร้อมฉันทุกครั้ง ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเรากินข้าวเย็นด้วยกันเกือบทุกมื้อ สั่งมาที่ออฟฟิศบ้าง หรือออกไปหาร้านง่ายๆข้างทางบ้าง หรือในบางวันก็มีเจ้าเรนมาร่วมวงด้วย
การได้นั่งดูคุณเซนและลูกชายต่อล้อต่อเถียงกันนับเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งของฉัน และฉันก็เลือกที่จะเข้าข้างฝ่ายคุณพ่อบ้าง หรือฝ่ายคุณลูกบ้างตามแต่ใจนึกสนุก หรือในบางครั้งฉันเองนั่นแหละที่เป็นตัวชงให้ทั้งคู่ได้ไฝว้กัน นึกๆไปก็อิจฉาคุณเซนที่มีลูกชายอยู่ในรุ่นที่ไม่ห่างกันมากนัก
ส่วนฉัน... จะมีโอกาสมีลูกกับเขาบ้างไหมนะ
และเมื่อนึกไปถึงตัวแปรความเป็นไปได้อันดับหนึ่ง แฟนเก่าของฉันเอง
ก้อง…
หลังจากงานเลี้ยงรุ่น ช่วงเวลาก่อนที่ก้องจะกลับไปที่ไร่ของเค้าที่ภูเรือจังหวัดเลย ก้องมาหาฉันหลายวันติดๆกันช่วงเย็นหลังเลิกงาน แฟนเก่าของฉันแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างเราขึ้นมาใหม่ ตอนนี้ทุกอย่างเป็นจังหวะเวลาที่ลงตัวเหมาะสมสำหรับเราทั้งคู่ ซึ่งฉันควรจะแฮปปี้ที่สุดกับสิ่งนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันหวังมาตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมา
แต่ทำไมวันนี้ฉันกลับรู้สึกลังเล...
จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาเกือบจะสี่สิบปี ฉันแน่ใจตัวเองว่าความลังเลนี้เกิดจากคนตาเรียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามตอนนี้แน่นอน คนตาเรียวที่วันนี้มาด้วยเสื้อเชิ้ตคอจีนผ้าลินินเนื้อดีสีขาว และกางเกงสแล็คสีครีมเข้ม ซึ่งเข้ากับบรรยากาศบาหลีสไตล์มาก เดาได้เลยว่าคุณมะพร้าวพ่อบ้านคนรู้ใจเป็นคนจัดเตรียมเสื้อผ้าสำหรับทริปนี้ให้
แต่อันที่จริงจากใจฉันเลยนะ คุณเซนแค่มาด้วยลุคส์เสื้อยืดกางเกงบอลขาสั้นก็หล่อแล้ว หรือถ้าจะให้ดี ถอดเสื้อออก เหลือแค่กางเกงบอลตัวเดียววิ่งเตะบอลไปมากลางสนาม…
เฮ้ย คิดไรเนี่ย บ้าจริง มาทำงานอยู่นะจ๊ะ มาทำงานจ้า และนั่นก็คือเจ้านายนะจ๊า
เอ่อ… เฮ้อ!
การพรีเซนต์ผลงานการออกแบบของฉันในตอนบ่ายผ่านไปด้วยดี จากการประเมินท่าทางของคุณวาเลนติโนและผู้บริหารแผนกออกแบบของบริษัทแม่แล้ว ฉันรู้เลยว่าพวกเขาพออกพอใจกันมาก
แน่นอนสิ ทุกอย่างต้องออกมาดีอยู่แล้ว งานนี้ฉันทุ่มสุดตัวเลยนี่นะ!
เป็นเพราะความหลงใหลในเมืองอูบุดนี้เป็นการส่วนตัว ฉันจึงศึกษาสถานที่ก่อสร้างและบริเวณโดยรอบจากฟังก์ชันสตรีทวิวในกูเกิ้ลแมพโดยละเอียดเพื่อช่วยในการออกแบบ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีชั้นสูงของปัจจุบันที่ช่วยให้ฉันทำงานได้เริ่ดมากขึ้น ฉันดูมาแล้วว่าสถานที่สำหรับรีสอร์ตแห่งใหม่ก็จะมีสภาพแวดล้อมเป็นนาขั้นบันไดเช่นกัน ฉันจึงใช้ลายเส้นนาขั้นบันไดนี้เป็นลวดลายของผ้าม่านห้องน้ำและผ้าม่านหน้าต่าง ส่วนดอกเข็มก็ใช้เป็นลวดลายของเครื่องนอน และต้นตาลเป็นลวดลายของโซฟา ดังที่เคยเสนอคุณวาเลนติโน่ที่หัวหินในตอนโน้น
ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี ฉันมั่นใจว่าเราต้องได้โปรเจกต์นี้แน่ๆ!
หลังจากการพรีเซนต์และพูดคุยเรื่องงานกันเรียบร้อย เราก็ได้กลับมาพักผ่อนกันที่กระท่อมอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะไปร่วมดินเนอร์เก๋ๆที่ทางคุณวาเลนติโนได้จัดไว้ต้อนรับ อันที่จริงทั้งบรรยากาศและสถานที่นั้นเหมาะกับการนั่งชิวและการกรึ่มมาก แต่ทั้งฉันและคุณเซนต่างเห็นพ้องกันว่าเรามีความคาดหวังสูงกับโครงการนี้ จึงควรพยายามแสดงตัวเป็นมืออาชีพกันให้มากที่สุดจะดีกว่า ดังนั้นค่ำคืนนี้เราทั้งคู่จึงพร้อมใจกันแตะต้องแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด และขอตัวกลับกระท่อมพักในเวลาที่ไม่ดึกนัก
ในระหว่างที่เดินกลับที่พักกันนั้น ฉันก็อดชื่นชมในตัวลูกค้าคนนี้อีกทีไม่ได้
"คุณวาเลนติโน่นี่เค้าใจป้ำจริงๆนะคะ ทั้งมื้ออาหารและที่พักไม่มีที่ติเลย"
"ก็ตามประสานักธุรกิจล่ะครับ เอาใจเราไว้ก่อน แล้วค่อยมากดราคากันทีหลัง ผมดูๆแล้ว คุณวาเลนติโน่แกน่าจะเขี้ยวไม่เบา"
"แต่คุณเซนคะ ชั้นอยากได้งานนี้จริงๆนะคะ"
ฉันลอบมองเสี้ยวหน้าคนข้างๆ เริ่มมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง น้ำเสียงแบบนี้ของคุณเซนไม่น่าไว้ใจ ฉันรู้ว่าคุณเซนเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดในเรื่องของธุรกิจ
"คือถ้ากดราคากันมาก ผมก็คงไม่สู้ บริษัทเรายังไม่ได้จนตรอกถึงขนาดนั้น โปรดักต์ไลน์ของคุณมินตราก็กำลังเตรียมจะออกมา ผมไม่อยากให้มาตรฐานราคาของบริษัทเราเสีย"
นั่นยังไง ฉันมองเขาอย่างผิดหวัง คุณเซนเริ่มไม่น่ารักอีกแล้ว
"แต่คุณเซน..." เค้าก็รู้ว่าฉันทุ่มเทกับงานนี้แค่ไหน
"เราเน้นเรื่องของกำไรขนาดนั้นเชียวหรือคะ คือถ้าเราได้งานนี้มา มันจะเป็นงานมาสเตอร์พีซของชั้น และมันก็จะเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมในพอร์ตโฟลิโอของบริษัทเรา"
"ผมไม่ทำธุรกิจที่ไม่ได้กำไร"
ฉันหยุดเดินโดยฉับพลัน หันไปจ้องหน้าคนข้างๆอย่างจริงจัง
"คุณลินทำดีที่สุดแล้วครับ ที่เหลือเป็นการตัดสินใจของผม"
คำตอบเรียบๆและสายตาเฉยๆที่มองกลับมานั้นทำเอาฉันน้อยใจ นี่เขาไม่ได้สนใจเรื่องความรู้สึกฉันเลยใช่ไหม
ใช่สิ ฉันก็แค่ลูกจ้าง เขาจะแคร์อะไร ที่เขาทำดีด้วยที่ผ่านๆมาก็เพราะแค่อยากเอาใจฉัน อยากให้ฉันขยันทุ่มเทในการทำงาน ก็แค่นั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่านั้น
ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายกำลังก่อตัวขึ้นในใจของฉัน มันสับสนปนเปไปหมด เหนื่อย หงุดหงิด ไม่ได้ดั่งใจ น้อยใจ สับสน ผิดหวัง หรือหวั่นไหว
นี่ฉันกำลังเป็นอะไร…
"คุณลิน ไปเดินเล่นที่ทุ่งนาขั้นบันไดกันเถอะครับ ทางรีสอร์ตเค้าติดไฟไว้สวยดี"
แล้วจู่ๆคนที่เป็นสาเหตุของความรู้สึกปั่นป่วนในใจของฉันก็คว้าข้อมือฉันไว้ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเขาก็ชี้ไปทางทุ่งนาขั้นบันไดที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากปลายสุดของทางเดินนั้น
อีกแล้ว เบี่ยงเบนประเด็นอีกแล้ว ฉันล่ะเบื่อนิสัยนี้ของคนตัวสูงคนนี้จริงๆ
แต่ฉันเองก็อดยอมรับไม่ได้ว่าแสงจากคบเพลิงไฟฟ้าของรีสอร์ตที่ตั้งอยู่เตี้ยๆเรียงรายเป็นแถวตามขั้นของทุ่งนากลางหุบเขานั้นดูสวยงามจับตายิ่งนัก
เอาไงดี อยากงอนก็อยากงอน อยากดูไฟก็อยากดู จะให้เดินไปดูคนเดียวก็ไม่กล้า มืดๆค่ำๆอย่างนี้
"ดูสิครับแสงไฟเป็นแถวๆเลย หาดูแบบนี้ได้ยากมากๆเลยน้า รีสอร์ตนี้เค้าพิเศษอย่างที่คุณลินว่าจริงๆ" เสียงเชิญชวนนั้นดูกระตือรือร้นเป็นที่สุด
"แต่เหมือนฝนกำลังจะตกเลยค่ะ เมฆเพียบเลย" ฉันมองขึ้นไปบนฟ้า เห็นเงาเมฆเลือนรางอยู่ในความมืด เลยได้โอกาสเล่นตัวนิดหน่อย
"อ้ะ อ้ะ อย่ารังเกียจพี่เมฆครึ้มสิครับ คุณลินดูตรงโน้นนะครับ มีพวกน้องดาวที่แอบอยู่หลังพี่ก้อนเมฆอีกนะครับ เค้ากำลังรอออกมาโชว์ตัวกันอยู่" คนพูดชี้มือไปเรื่อยเปื่อยบนท้องฟ้าที่เทาครึ้มนั้น
ฉันอมยิ้ม มองฟ้าอีกที ไหนวะน้องดาว
แล้วตอนนี้คุณนักธุรกิจที่แสวงหาแต่ผลกำไรหายไปไหนกัน คนข้างๆฉันกลับกลายร่างเป็นหนุ่มน้อยขี้เล่นแสนซนในฉับพลัน คงรู้ตัวแหละว่าฉันกำลังเริ่มจะตั้งต้นการงอน นี่ฉันคงซ่อนสายตาน้อยใจเอาไว้ไม่อยู่จริงๆสินะ
"ป่ะ ไปกันเถอะ นะ นะ ไปกันครับ" ว่าแล้วพี่เมฆเขาก็หันมาจับข้อมือน้องดาวออกเดินโดยไม่รอคำอนุญาต
และก็เหมือนทุกครั้งที่น้องดาวยอมตามใจพี่เมฆ...
คงเป็นเพราะสายตาที่เหมือนเด็กขี้อ้อนเอาแต่ใจ ที่ส่งออกมาจากตาเรียวคู่นั้น…
ฉันไม่แน่ใจว่าคุณเซนได้ส่งสายตาแบบนี้ให้ใครคนอื่นอีกหรือเปล่า แต่ฉันคิดว่าฉันไม่เคยเห็นเค้าทำสายตาแบบนี้ในที่ทำงานนะ
อือม์ แต่ไม่เห็นก็ไม่ได้แปลว่าไม่มี…
ความหวั่นไหวในสายตาคู่นั้นทำเอาฉันลืมเรื่องงานที่เขาเพิ่งจะขัดใจไปชั่วขณะ
เกลียดความใจง่ายของตัวเองจริงๆเลย…
อากาศยามค่ำคืนของอูบุดเย็นสบายตามประสาเมืองในหุบเขา ถึงตอนนี้คุณเซนก็ยังไม่ยอมปล่อยข้อมือของฉันให้เป็นอิสระ คนตัวสูงกำลังจูงฉันเดินช้าๆลัดเลาะไปตามสันคันนาบนทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินนั้น
"ไม่ได้ครับ ต้องจับไว้ ผมกลัวคุณลินจะลื่น" เขาให้เหตุผลมา เมื่อฉันยกข้อมือที่เขาจับไว้ขึ้นมา แล้วส่งสายตาขมวดคิ้วถาม
"วัยนี้แล้วครับ ต้องระวัง เพราะถ้าหัวเข่าเคล็ดขัดยอกขึ้นมามันจะฟื้นตัวช้า"
โอเคค่ะ งั้นเอาที่สบายใจ อยากจูงก็จูงไปค่ะ
แล้วคนจูงมือก็เอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เราเดินกันเงียบๆมาพักใหญ่
"ผมคิดถึงตอนอยู่ญี่ปุ่น บ้านของคุณตาคุณยายอยู่ในชนบท มีนาข้าวขั้นบันไดแบบนี้เหมือนกัน ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียกนาแบบนี้ว่าเซนไมดะ"
"นาข้าวแถวเมืองคุมาโนะหรือเปล่าคะ" ฉันเดาไปเรื่อยเปื่อย
"เฮ้ย รู้ได้ไงครับเนี่ย" แม้หน้าตาจะประหลาดใจอย่างสูง แต่มือของเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยจากข้อมือของฉัน
"อ้าว จริงหรือคะเนี่ย เผอิญชั้นเคยไปเที่ยวแถวนั้นมา"
"แหม เที่ยวเก่งนะเราน่ะ" ตาเรียวนั้นล้อเลียนกลับมา
"ชั้นเป็นคนชอบเที่ยวน่ะสิคะ ไม่เฉพาะเที่ยวกลางคืนนะคะ กลางวันชั้นก็ชอบเที่ยว"
"ตอนคุณลินไปแถวคุมาโนะนี่ไม่เจอผมวิ่งเล่นอยู่แถวนั้นบ้างหรือครับ แต่เอ๊ะ หรือสมัยที่คุณลินไปเที่ยว ผมยังไม่เกิดหว่า" แล้วก็ยังล้อเลียนต่อไป
"อือม์ งั้นตอนนั้นถ้าคุณเซนยังไม่เกิด คุณเซนก็ต้องกำลังอยู่ในชาติที่แล้วน่ะสิคะ ว่าแต่ชาติที่แล้วคุณเซนเกิดเป็นอะไรคะ ว่างๆได้รำลึกชาติบ้างหรือเปล่าคะเนี่ย"
ตอนนี้ฉันไม่งอนอีกต่อไปแล้วถ้าคุณเซนยังจะมาเล่นมุกล้อเลียนเรื่องความสูงวัย ฉันก็ผสมโรงเล่นกลับไปด้วยเสียเลย
"จำไม่ได้เหมือนกันครับว่าชาติที่แล้วผมเกิดเป็นอะไร แต่ผมว่าผมจำได้ลางๆนะ ว่าเราเคยเจอกันตั้งแต่ชาติที่แล้ว"
โอ้ย คุณเซน ชั้นเกลียดสายตาแบบนี้ค่า อย่าส่งมาบ่อย
มาเวย์นี้ไปต่อไม่ถูกเลย นี่เรากำลังเขินเหรอวะ
"เอ้อ พูดถึงเรื่องเที่ยว ตอนอยู่ไทยชั้นไม่ค่อยได้ไปเที่ยวหรอกค่ะ แม่ชั้นเค้าไม่ชอบไปเที่ยวไหน พาไปเที่ยวที่ธรรมชาติ เค้าก็บอกว่าร้อน" ฉันเสหัวเราะ แล้วรีบพูดอะไรยาวๆเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
"พอชั้นไปอิตาลี ไม่รู้วิญญาณนักท่องเที่ยวมาจากไหน นั่งรถไฟตระเวนเที่ยวไปทั่วยุโรปเลยล่ะค่ะ ทำงานพิเศษมาแต่ละเดือน เอาเงินไปเที่ยวหมดไม่เหลือเลย" ดับเขินไปด้วยการพูดพล่ามต่อไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็เห็นว่าคนข้างๆกำลังตั้งใจฟัง
"ผมก็เหมือนกันครับ ตอนอยู่ไทยสมัยเด็กๆ ผมไม่ค่อยได้ไปไหน เพราะพ่อเค้าทำงานตลอดเวลา" แล้วคนข้างๆเขาก็เริ่มเล่าบ้าง
"พอไปอยู่ญี่ปุ่นถึงได้เที่ยวเยอะเลย คุณตาคุณยายชอบพาผมขับรถตระเวนไปตามเมืองเล็กๆในชนบทของญี่ปุ่น"
คุณเซนเล่าช้าๆด้วยน้ำเสียงที่ฟังก็รู้ว่าคนพูดกำลังคิดถึงช่วงเวลาดีๆนั้นมากเพียงใด การค่อยๆเปิดเผยชีวิตส่วนตัวของคนข้างๆทำให้ฉันรู้สึกดี เพราะน้อยครั้งที่คุณเซนจะพูดถึงเรื่องราวของตัวเอง
"งี้หลานคนอื่นไม่อิจฉาแย่หรือคะ ที่คุณตากับคุณยายพาคุณเซนเที่ยวอยู่คนเดียว"
"แม่ผมเป็นลูกคนเดียว คุณตาคุณยายถึงได้ดีใจมากตอนที่รู้ว่าพ่อจะส่งผมไปอยู่ด้วย"
ฉันอยากถามใจจะขาด ว่าทำไมลุงราเชนทร์ต้องส่งคุณเซนไปอยู่ญี่ปุ่น แต่ก็ยั้งปากไว้ เค้าเหมือนเป็นเด็กน้อยขี้เล่นยามอยู่กับฉันตามลำพังก็จริง แต่คุณเซนไม่ใช่คนเปิดเผยขนาดนั้น
สารภาพก็ได้ว่าฉันอยากจะรู้เรื่องส่วนตัวของเค้ามาก เอาเข้าจริง ไม่ใช่เฉพาะฉัน แต่ทั้งออฟฟิศนั่นล่ะ
แม้ลุงราเชนทร์จะเป็นเจ้านายที่ใจดีมาก แต่ท่านไม่เคยปริปากพูดเรื่องส่วนตัว ในตอนนั้นที่ลุงราเชนทร์หายจากอาการป่วย ท่านประกาศกับฝ่ายบริหารสั้นๆก่อนคุณเซนจะเข้ามาทำงานว่า
'ผมจะขอวางมือจากบริษัท ลูกชายผมจะกลับจากญี่ปุ่นมาบริหารงานแทน โดยจะมีคุณไมตรีเป็นที่ปรึกษา'
ถึงแม้ฉันจะเป็นคนช่างพูดช่างคุย และพยายามเลียบเคียงถามเรื่องครอบครัวจากลุงราเชนทร์ แต่ข้อมูลลึกที่สุดที่ฉันได้จากหัวหน้าเก่าในตอนนั้นก็คือ 'หลานชายผมเค้าอยู่โรงเรียนประจำ' และ 'พ่อแม่เค้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน'
ปริศนาแม่ของเจ้าเด็กหัวฟ้าเรนเป็นสิ่งที่คาใจพวกเราทุกคนในบริษัท แต่ไม่มีใครกล้าถาม ฉันเคยแอบถามคุณไมตรีคนสนิทลุงราเชนทร์ซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของบริษัทเรา แต่คุณไมตรีบอกให้ถามคุณเซนเอาเอง อีกคนซึ่งฉันคิดว่าน่าจะรู้เรื่องนี้ดี ก็คือน้องพลอย แต่ก็ไม่มีใครกล้าเซ้าซี้ เพราะมีคนเคยถาม แล้วน้องพลอยตอบว่า 'เป็นเรื่องส่วนตัวของพี่เซนซึ่งเป็นเจ้านาย เราเป็นลูกน้องไม่ควรพูดถึง'
อือม์ ความจริงวันนี้ฤกษ์เหมาะมาก บรรยากาศเป็นใจที่สุด แถมคุณเซนก็ค่อยๆเปิดใจมาแล้ว ฉันควรจะต้องค่อยๆเนียนๆตะล่อมๆถามไปเรื่อยๆ
"คุณเซนไม่อยู่บ้าน งี้ลุงราเชนทร์ก็เหงาแย่สิคะ ท่านเคยเล่าว่า ส่งคุณเซนไปญี่ปุ่นตอนคุณโทโมโกะไม่อยู่แล้ว"
"พ่อผมเขาบ้างาน ขอแค่ได้ทำงาน ชีวิตเขาก็ไม่ขาดอะไรแล้ว" น้ำเสียงนั้นดูน้อยอกน้อยใจอย่างไม่ปิดบัง
เอ้อ เจอโหมดน้อยใจพ่อแบบนี้ ฉันไปต่อไม่เป็นเลย
และเท่าที่รู้จักกันมา ฉันไม่คิดว่าคนอย่างคุณเซนเขาจะเป็นคนประเภทต้องการคำปลอบประโลมอะไร ประโยคประเภท 'แต่คุณพ่อของคุณท่านก็ทำเพื่อครอบครัว' หรือ 'คุณพ่อของคุณท่านเป็นเจ้านายที่ลูกน้องรักนะคะ' ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะพูดออกไปในตอนนี้
"จริงค่ะ ตอนนั้นลุงราเชนทร์ทำแต่งานจริงๆ" ฉันจึงเลือกที่จะเห็นด้วยไปอย่างตรงๆ
"แต่คุณเซนก็เหมือนกันนั่นแหละ บ้างานเหมือนกัน อย่ามา" ฉันทำน้ำเสียงและหน้าตาขึงขังมองไปที่คนข้างๆ
คนตัวสูงถึงกับหยุดเดิน ปล่อยมือของเขาออกจากข้อมือของฉัน และหันมามองฉันอย่างช้าๆ
แม้เขาจะจ้องตาฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉย หากตาเรียวนั้นกลับส่งความรู้สึกบางอย่างออกมา ซึ่งหากให้ฉันตีความเอาเอง สายตานั้นอาจจะกำลังบอกฉันว่า 'ขอบคุณที่รู้ใจ' หรือ 'คุณช่างเข้าใจผม'
หากแต่ประโยคที่ออกมาจากปากเขาก็คือ
"ผมถึงยังไม่อยากจะมีใคร"
"..."
คะ? นี่คือบอกฉันหรือคะ? บอกทำไมคะ? หรือจะบอกเป็นนัยๆว่า…
เอ่อ บรรยากาศมันแปลกๆนะ และเขายังคงจ้องตาฉันอยู่ สายตานั้นมีความลึกล้ำอะไรบางอย่าง
"จริงค่ะ คุณเซนมีแค่เจ้าเรน คุณปู่ กะคุณมะพร้าว แค่นี้ก็หมดเวลาแล้วค่ะ" ฉันจึงเลือกที่จะเห็นด้วยอีกครั้ง
"แล้วก็มีน้องพลอย..." ฉันพูดยังไม่ทันจบประโยค ฝนก็เริ่มลงเม็ดปรอยๆ และก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
"คุณเซนคะ เรารีบเดินกลับที่พักกันเถอะค่ะ" ฉันเริ่มร้อนรนกลัวเปียกฝน
"แต่ผมอยากเล่นน้ำฝน" อยู่ดีๆคนตัวสูงเขาก็เปลี่ยนจากโหมดลึกล้ำไปเป็นโหมดแสนซน และยิ้มจนแก้มบุ๋ม
เล่นน้ำฝน? คุณแก้มบุ๋มนึกอะไรของเค้าขึ้นมา จะว่าเมาก็ไม่ใช่ วันนี้ทั้งฉันและเขาแทบจะไม่ได้แตะแอลกอฮอล์เลย
"ไม่เอาอะ เดี๋ยวเป็นหวัด" ฉันบ่ายเบี่ยง
"ตอนคุณอาบน้ำใต้ฝักบัว หรือไปว่ายน้ำทั้งๆที่ชุดว่ายน้ำก็เปียกแนบตัวตลอดเวลา ก็ไม่เห็นจะเป็นหวัดเลย"
"เอ่อ ก็จริงค่ะ"
เหมือนว่าเราคนเมืองจะถูกสอนให้กลัวฝน การเปียกฝนถือเป็นหายนะของชีวิต เหมือนเป็นชีวิตที่ล้มเหลวที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองจากความเปียกปอนของน้ำฝนได้
"นะ เล่นน้ำฝนด้วยกันนะ นะครับ" เป็นสายตาซนๆของเด็กเอาแต่ใจตัวเองที่ฉันปฏิเสธไม่ลงอีกครั้ง
บุคลิกแบบนี้ของคุณเซนต้องยอมรับว่ามันเป็นเสน่ห์สำหรับฉันจริงๆ เค้าเหมือนเป็นคนมีวินัยอยู่ในครรลองคลองธรรม แต่ก็กล้าที่จะทำอะไรตามใจตัวเองในบางครั้ง และก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็วเสียด้วย
"ถ้าพรุ่งนี้ชั้นไม่สบาย เป็นปอดบวม คุณเซนต้องรับผิดชอบนะคะ" ต้องมีการถามถึงความรับผิดชอบกันบ้าง
"เดี๋ยวจะคอยเฝ้าไม่ห่างเลยครับ"
โอย เกลียดสายตากรุ้มกริ่มที่ทะลุออกมาจากตาเรียวคู่นั้นจริงๆ
โอเคค่ะ เล่นก็เล่น นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เล่นน้ำฝน
เอ แล้วจะเล่นยังไงดี จำไม่ได้แล้วว่าตอนเด็กๆเล่นน้ำฝนยังไง คือกางแขนกางมือโอบรับน้ำ แล้วกระโดดโลดเต้นงี้เหรอ หรือต้องเอามือรองน้ำฝนแล้วปัดให้น้ำไปโดนตัวคนอื่น?
ไหนหันไปมองคนชวนซิ เล่นน้ำฝนยังไงกัน ก็เห็นเขากำลังยืนเฉยๆมองมาที่ฉันด้วยสีหน้ายิ้มๆ สองมือนั้นล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ท่าทางสบายอกสบายใจ ไม่ยี่หระกับสายฝนที่กำลังโปรยปรายมาเปียกเนื้อเปียกตัว จะมีก็แต่ยกมือขึ้นเสยผมบ้างเป็นระยะๆยามผมลู่ลงมาพร้อมกับสายน้ำ
"คุณเซน ไหนบอกชวนเล่นน้ำฝน แล้วทำไมยืนเฉยๆคะ" ฉันกังขาในท่าทีของคนตรงหน้า
"นี่กำลังเล่นอยู่ครับ สนุกมาก"
อะไรของเค้า?
ฉันมองขึ้นไปบนฟ้า ฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆแล้ว และตอนนี้ตัวของเราทั้งคู่เริ่มเปียกปอนกันถ้วนทั่วแล้ว
คือ... สนุกตรงไหนเนี่ย?
"คุณเซน แล้วชั้นต้องทำอะไรคะ ยืนเฉยๆเหมือนคุณงี้?" ตอนนี้ฉันเริ่มตะโกนแข่งกับเสียงฝนแล้ว
"ผมอยากฟังคุณร้องเพลง"
ห้ะ เอ่อ...
"เพลงที่คุณเคยร้องตอนโน้น ตอนที่เดินเข้ามาออฟฟิศตอนดึกๆ แล้วมาเจอผมอะฮะ เพลงที่เกี่ยวกับฝน"
อุ้ย ยังจำได้ด้วยหรือนี่ อ่อ ลืมไป คุณเซนเขาเป็นคนความจำดี
"นี่ครับดอกชบา แทนพวงมาลัยให้นักร้อง" คุณเซนเด็ดดอกชบาจากต้นแถวนั้นมาทัดหูให้ฉันอย่างเบามือ
โอย ช่างโรแมนติกนะคะ ยอมแล้วค่ะ จัดให้ค่ะ
แล้วฉันก็กำมือเป็นท่าถือไมโครโฟน พร้อมกับเริ่มร้องเพลงบวกออกสเต็ปทำท่าทางประกอบเพลงอย่างเริงร่า
"ฝนตกอีกแล้ว คืนนี้คงหนาวกว่าคืนไหนๆ..."
ณ จุดจุดนี้ เมื่อมีแฟนเพลงหล่อๆขอมา ก็คงต้องเปิดคอนเสิร์ตจัดเต็มกลางสายฝนให้แล้วล่ะค่า…