...
...
...
คิดถึงอดีตแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเลยจริงๆ นะ ตอนนั้นผมค่อนข้างมีปัญหากับควินซ์เพราะควินซ์ชอบเข้าใจผิดว่าผมพูดถึงเด็กเลี้ยงแต่จริงๆ ผมพูดถึงนับสองต่างหาก
เออ ยอมรับก็ได้
ผมพูดไม่เคลียร์เองเลยเป็นเหตุให้เข้าใจผิดกัน
"เราต้องปรับปรุงคำพูดสินะ" ผมพึมพำบอกตัวเอง
ต้องคิดก่อนพูดให้มากๆ
ควินซ์จะไม่ได้เข้าใจผิดอีก
นั่งทบทวนย้ำกับตัวเองเรื่องคำพูดไปพลางพลิกนาฬิกาข้อมือไปพลางและก็หันไปมองทางประตูเป็นระยะๆ และมันยังคงเงียบกริบ
กำลังจะลุกขึ้นไปกดเบอร์โทรลงไปเคาน์เตอร์ข้างล่างพลันประตูห้องก็ได้เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของคนที่ผมรอคอยมาตั้งแต่เมื่อวาน
ควินซ์เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้างุนงงและไม่เข้าใจเหมือนจะหันไปถามอะไรบางอย่างกับพนักงานที่พาเข้ามาเป็นอันต้องชะงักนิ่งเมื่อเห็นผมนั่งอยู่ในห้อง
สีหน้าเรียบเฉยแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันควัน
"เดี๋ยวควินซ์!" ผมรีบเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อนที่จะเดินหนี
หนีเก่งจริงๆ ชาติที่แล้วมึงเป็นนักหนีเหรอ
ควินซ์ได้ยินนะแต่ไม่สนใจเลือกที่จะหันหลังเดินหนีแต่พนักงานของที่นี่กลับปิดประตูใส่หน้าควินซ์อย่างรวดเร็วทำให้เขาต้องหยุดยืนอึ้ง
กลายเป็นว่าตอนนี้ควินซ์หนีไปไหนไม่ได้แล้ว ผมแอบยกนิ้วชื่นชมในตัวพนักงานที่ปิดประตูจริงๆ เดี๋ยวก่อนกลับจะให้ทิปหนักๆ เลย
"ควินซ์ คุยกันก่อน" ผมเดินเข้าไปใกล้คนร่างบางแล้วค่อยๆ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ "เมื่อวานมึงเข้าใจผิด..."
แถมเข้าใจผิดไปไกลเลยด้วย!
"เข้าใจผิด?" ควินซ์หัวเราะเบาๆ "จะบอกว่าเมื่อว่าที่ตัดเพื่อนแค่แกล้งเล่น? อยากแกล้งกูให้โมโหเล่นเฉยๆ แต่ผิดที่กูโมโหมากไป?"
"ไม่ใช่ ไม่ได้หมายความว่ามึงผิด กู กูผิดเอง" ผมขมวดคิ้วเริ่มสับสนปนตึงเครียดเพราะรู้สึกว่าควินซ์จะเข้าใจผิดไปไกลสุดกู่ซะแล้ว
"อยากจะดีก็มาง้อกู อยากจะเฉดหัวกูทิ้งก็ทิ้งง่ายๆ มึงเล่นตลกแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว!" แววตาของอีกฝ่ายคุกรุ่นไปด้วยความโกรธก่อนมันจะผลักอกผมอย่างแรง "มึงเป็นเหี้ยอะไร นับหนึ่ง!"
"ควินซ์ ใจเย็น" ผมเซถอยหลังไปก้างหนึ่ง
"เย็น? ตอนนี้กูใจเย็นที่สุดแล้ว!" จู่ๆ เหมือนอีกฝ่ายจะระเบิดออกมาทำให้ผมได้แต่ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะไม่เคยเห็นควินซ์น็อตหลุดขนาดนี้มาก่อน "มึงจำได้มั้ย มีอยู่ครั้งหนึ่งมึงบอกจะตัดเพื่อนกับกู"
"เอ่อ..."
มัน มันมีเรื่องนี้ด้วยเหรอ
แต่มันคงนานแล้วใช่มั้ย
"ใช่ มันนานแล้ว นานจนมึงลืมไปแล้ว!" ควินซ์อ่านสีหน้าเด๋อๆ ของผมออกเลยกระแทกเสียงใส่ยิ่งกว่าเดิม "ตอนมอหกมึงโดดสอบแต่กูไม่ให้มึงไป กูขอร้องมึงแต่มึงก็ยังไป! บอกว่าถ้ากูยังวุ่นวายจุ้นจ้านไม่เลิกจะเลิกคบกู!"
เวรแหละ มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ
คดีเก่ายังไม่เคลียร์ มันดันลากคดีตั้งแต่บรรพบุรุษมาอีก
แต่เขาว่าเวลาทะเลาะกับคนรัก(?)
ความผิดตั้งแต่รากเหง้าศักราชจะถูกขุดขึ้นมาหมด ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงแฮะ
"แล้วพออีกวัน มึงก็มาขอโทษกูมาง้อกูแล้วสัญญาว่าจะไม่พูดแบบนั้นอีก" สีหน้าของควินซ์เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดระคนเจ็บปวดทำเอาผมพูดไม่ออก "แต่เมื่อวานมึงก็ทำ!"
"...คือว่า" มันคนละความหมายเว้ย!
"หุบปาก!"
"..." ครับ หุบปากครับ
"มึงสัญญาเหี้ยอะไรเคยทำได้บ้างมั้ย!" ควินซ์ตะคอกใส่ผมเหมือนอดกลั้นอดทนมานาน "เคยจำบ้างมั้ยว่าพูดอะไร รับปากอะไรกูไปบ้าง!"
ผมย่นคิ้วหนักขึ้นเม้มปากแน่นอย่างพูดอะไรไม่ออกเพราะแต่ละคำพูดของควินซ์มันก็จริง แล้วมันไม่ใช่แค่กับควินซ์ ผมรับปากพี่ไอจะเลี้ยงนับสองเป็นอย่างดีก็ทำไม่ได้ รับปากนับสองจะทำนั่นทำนี่ให้ก็ผิดพลาดไปหลายครั้ง
"โอเค เรื่องนี้กูผิดเอง" พยายามใจเย็นๆ และพยายามอย่างยิ่งกับการหาคำพูดดีๆ "กูขอโทษ"
"ง่ายดีนะ" ควินซ์หัวเราะขึ้นจมูก "ทุกครั้งที่มึงทำผิด มึงก็มาทำหน้าหมาหงอยขอโทษกูตลอด"
เอ่อ มันก็ไม่ขนาดนั้นมั้ง หน้าผมดูเป็นหมาหงอยเหรอ ผมออกจะหล่อ!
"แต่ทุกครั้งที่เราทะเลาะกัน มันก็มาจากมึงเข้าใจกูผิดด้วย" ผมอดไม่ได้ที่จะพูดแล้วก็ดันนึกอะไรออก "แล้วไอ้เรื่องตอนมอหก โอเค กูยอมรับว่าตัวเองหัวร้อนแล้วก็ไม่อธิบายอะไรให้มึงฟังชัดเจนเอง ...แต่วันนั้นกูมีเหตุผลจริงๆ ที่ต้องโดดสอบ"
"เหตุผลสำคัญมากเลย" ควินซ์ประชดแล้วมองจ้อง "สำคัญขนาดโดดสอบไปหาน้องน้อยหน่าสุดที่รักของมึงเลยด้วย"
"น้อยหน่าบ้านมึงสิ!"
"..."
"ตอนนั้นนับสองเข้าโรงพยาบาล!"
อาจารย์โทรมาว่านับสองเข้าโรงพยาบาล ไอ้ผมยังจะมีใจจะสอบอีกเหรอ ต้องรีบไปหาน้องสิ เหมือนตอนนั้นนับสองตกบันไดที่โรงเรียนหัวแตกด้วย
"ฮะ! ตอนนั้น ตอนนั้นมึงบอกไปหาน้องน้อย" ควินซ์ทำหน้าอึ้งอ้าปากพะงาบๆ
"น้องน้อยที่แปลว่านับสอง ไม่ใช่น้อยหน่า ไอ้สัส!"
เอ่อ เหมือนช่วงเวลานั้นผมจะเคยคุยๆ กิ๊กๆ กับเด็กต่างโรงเรียนที่ชื่อน้อยหน่าอยู่
สรุปตอนนั้น…เราทะเลาะกัน
เพราะควินซ์คิดว่า… น้องน้อย = น้อยหน่า
ผมควรร้องไห้มั้ย