ราชันเร้นลับ 13 : เหยี่ยวราตรี
กึก!
ไคลน์ผงะถอยหลังโดยอัตโนมัติ มันไม่มั่นใจอีกแล้วว่าวินาทีปัจจุบันคือฝันหรือความจริงกันแน่
เงาปริศนาถอดหมวกออกพร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอแนะนำตัวเองอีกครั้ง ผมคือดันน์·สมิทแห่งเหยี่ยวราตรี”
เหยี่ยวราตรี? หนึ่งในองค์กรผู้วิเศษของโบสถ์เทพธิดารัตติกาลที่ ‘จัสติส’ กับ ‘แฮงแมน’ พูดถึง?
ไคลน์ฉุกคิดบางสิ่งได้ ข้อมูลในหัวเริ่มปะติดปะต่อ
“คุณควบคุมความฝันของผมใช่ไหม? คุณบังคับให้ผมฝันแบบนั้น…”
เหยี่ยวราตรี—ดันน์·สมิท นำหมวกกลับไปสวมเพื่อปกปิดศีรษะที่ค่อนข้างเถิก มันอธิบายด้วยนัยน์ตาสีเทาที่ไม่สั่นคลอน
“ไม่ครับ ผมเพียงเข้าไปในความฝันของคุณและทำการชี้นำอย่างเหมาะสม”
เป็นเสียงอันนุ่มละมุนและลุ่มลึก ดังกังวานไปตามทางเดินหอพักโดยไม่ปลุกลูกบ้านคนใดให้ตื่น
“ภายในความฝันของมนุษย์ อารมณ์ทุกชนิดจะเข้มข้นกว่ายามปรกติเสมอ โลกภายในนั้นจะปั่นป่วน บ้าคลั่ง และปลุกเร้า ฝันคือสิ่งที่เกิดจากจิตใจสำนึก และจิตใต้สำนึกไม่มีวันโกหก… สำหรับผู้เชี่ยวชาญอย่างผม การชี้นำความฝันจะมนุษย์จะเค้นความจริงได้มากกว่าถามจากปากโดยตรง”
นี่มัน… มนุษย์ธรรมดาที่ไหนจะควบคุมความฝันคนอื่นได้? และหากมันบังเอิญฝันถึงโลกเก่าเข้า ความลับจะไม่ถูกดันน์·สมิทล่วงรู้เอาหรือ?
ไคลน์ยืนชะงัก ภายในใจกำลังทบทวนรายละเอียดของฝันร้ายก่อนหน้า
มันยังคงมองว่าแปลกอยู่ดี… เหตุใดตัวมันในความฝันถึงตัดสินใจได้สุขุมนัก? มีความคิดเป็นเหตุเป็นผล มิได้อารมณ์พลุ่งพล่านหรือลงมือทำตามจิตใต้สำนึกอย่างที่ดันน์กล่าว สามารถไตร่ตรองสิ่งที่ต้องพูดและไม่สมควรพูดได้
อีกนัยก็คือ ไม่เหมือนความฝันเลยสักนิด
หรือว่า… ดันน์ไม่ได้บงการฝัน เพียงแต่ ‘อ่าน’ ภาพความฝันของตน และได้เห็นเฉพาะสิ่งที่ตนอยากให้เห็น
สมองไคลน์กำลังประมวลผลอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาข้อสรุป
ทำไมเราถึงยังมีสติในความฝันตัวเอง?
หรือการเดินทางข้ามโลกจะทำให้เรามีร่างกายและจิตที่พิเศษกว่ามนุษย์ปรกติ?
หรืออาจเป็นเพราะ… พิธีกรรมเปลี่ยนดวงชะตา?
“ถ้าอย่างนั้น มิสเตอร์สมิท คุณยอมเชื่อแล้วใช่ไหมว่าผมสูญเสียความทรงจำ?”
ไคลน์เรียบเรียงความคิดก่อนถามออกไป
ดันท์·สมิทไม่ตอบทันที มันจ้องมองเข้าไปในดวงตาไคลน์
“คุณไม่ตกใจกับเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเลยหรือ? ผมเคยทำคดีมากมาย คนธรรมดาเกือบทั้งหมดจะไม่เชื่อในพลังของผู้วิเศษ ส่วนใหญ่แยกแยะไม่ออกระหว่างความฝันและความจริง ต่อให้ผมอธิบายชัดเจน แต่พวกเขาจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่”
ไคลน์ตอบกลับ
“บางที… คงเป็นเพราะผมคอยสวดภาวนามาตลอดชีวิต ให้พลังวิเศษที่มองไม่เห็นช่วยคุ้มครองในยามได้รับอันตราย”
“เป็นมุมมองที่น่าสนใจ… การรอดชีวิตของคุณอาจไม่ใช่เพราะโชคเพียงอย่างเดียว”
ดันน์พยักหน้าไร้อารมณ์
“ผมสามารถยืนยันได้ว่า คุณสูญเสียความทรงจำไปบางส่วนจริง โดยเฉพาะความจำในช่วงที่เกิดเหตุ”
“แล้วผมเป็นอิสระหรือยัง?”
ไคลน์ถามหยั่งเชิง ภายในใจมันโล่งอกไปหลายส่วน
ดันน์สอดมือทั้งสองข้างเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันลมพร้อมกับเดินเข้าหาไคลน์ด้วยย่างก้าวที่เชื่องช้า บรรยากาศมืดมิดโดยรอบพลันอ่อนโยนและอบอุ่น
“ยังไม่ได้ครับ คุณต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญกับผมก่อน”
ดันน์ตอบพลางอมยิ้ม
“เพราะอะไร?”
ไคลน์ขมวดคิ้ว
“ได้เห็นผมในฝันแล้วยังไม่เชื่ออีกหรือ?”
นายต้องล้อกันเล่นแน่
ถ้า ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ บัดซบนั่นถนัดสะกดจิตหรืออ่านใจ ความลับของฉันจะไม่ถูกเปิดโปงกันพอดีหรือ?
ผลที่ตามมาคงร้ายแรงเกินกว่าจะจินตนาการ
“ปรกติผมเป็นคนถ่อมตัวนะ แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความฝัน ผมจะมั่นใจในฝีมือตัวเองพอสมควร”
ดันน์อธิบายด้วยท่าทีสุขุม
“แต่ในเชิงการสอบสวน การยืนยันซ้ำอีกครั้งไม่ใช่เรื่องเสียหาย แถมทางเรายังมีผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน อาจช่วยคุณฟื้นฟูความทรงจำกลับมาให้ได้”
โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบ ดันน์กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและเย็นยะเยียบ
“และเหนือสิ่งอื่นใด คุณคือเบาะแสเดียวของสมุดบันทึกตระกูลอันทีโนกัส”
“อะไรนะ?”
ร่างกายไคลน์พลันแข็งทื่อ
ดันน์·สมิทหยุดเดินตรงหน้าไคลน์ นัยน์ตาสีเทาของมันจ้องมองราวกับมองเห็นทุกสิ่งทะลุปรุโปร่ง
“ณ ที่เกิดเหตุ บ้านของมิสเตอร์เวิร์ช พวกเราไม่พบร่องรอยสมุดบันทึกจากยุคสมัยที่สี่… เวิร์ชเสียชีวิต นาย่าเสียชีวิต เหลือเพียงคุณเท่านั้นที่จะนำทางพวกเราไปหาสมุดได้”
“…เข้าใจแล้ว”
ไคลน์ครุ่นคิดครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยท่าทียอมจำนน
สมุดบันทึกที่หายไป… นี่สินะ ปมปริศนาที่แท้จริงของคดีนี้...
เราดันลืมนึกถึงสมุดเล่มนั้นเสียสนิท!
ดันน์พยักหน้าเล็กน้อย มันเดินผ่านไคลน์พร้อมกับหันมากล่าว
“ล็อกประตูห้องและเดินทางไปบ้านพักมิสเตอร์เวิร์ชกับผม ผู้เชี่ยวชาญรออยู่ที่นั่นแล้ว”
ไคลน์สูดลมหายใจเข้าลึก หัวใจมันกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ
มันต้องการปฏิเสธ จิตใต้สำนึกร่ำร้องให้วิ่งหนี ทว่า จากสิ่งที่ตนเคยกระทำในความฝัน ดันน์·สมิทคงเห็นแล้วและเพิ่มความรัดกุมมากขึ้นจากเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น ความแตกต่างระหว่างมนุษย์ธรรมดาและผู้วิเศษมีมากเกินไป โอกาสหลบหนีสำเร็จแทบเป็นศูนย์
แถมดันน์อาจพกปืนมาด้วย… และคงซ้อมยิงปืนสม่ำเสมอด้วยแน่…
จากหลากหลายความคิดที่ถาโถม เมื่อชั่งน้ำหนักอย่างถ้วนถี่ ไคลน์ตัดสินใจยอมรับความจริงอันน่าหดหู่ที่ตนมิอาจเลี่ยง
“เข้าใจแล้ว”
เฮ่อ… คงต้องปล่อยตัวตามสบายแล้วยอมรับในชะตากรรมตัวเองสินะ
บางที เราอาจรอดจาก ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ด้วยร่างกายและจิตที่พิเศษเหมือนกับในความฝันเมื่อครู่…
“ไปกันเถอะ”
ดันน์กล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
ไคลน์หันหลังกลับพร้อมกับเดินตาม แต่หลังจากย่างฝีเท้าได้สองก้าว มันชะงักและเอ่ยปากถาม
“มิสเตอร์สมิท ผ…ผมอยากเข้าห้องน้ำก่อน”
จุดประสงค์เดิมที่ออกมาจากห้องก็เพื่อทำธุระในห้องน้ำ… ดันน์ไม่ห้าม มันเพียงจ้องมองไคลน์ด้วยแววตาสุขุม ก่อนจะกล่าว
“ไม่มีปัญหา แต่เชื่อผมเถอะไคลน์ ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ ผมจะทรงพลังชนิดที่คุณไม่มีวันจินตนาการออก”
ท่ามกลางความมืด… ไคลน์พึมพำในใจ
มันไม่คิดหนีอยู่แล้ว เพียงต้องการล้างหน้าให้สดชื่นจากเหงื่อเหนียวเหนอะหลังฝันร้าย รวมถึงการปลดปล่อยของเหลวออกจากกระเพาะปัสสาวะเพื่อให้จิตใจสงบลง
หลังออกจากห้องน้ำ ไคลน์เดินกลับห้องนอนเพื่อเปลี่ยนชุด จากนั้นก็ล็อกประตูห้องพักและเดินตามดันน์ลงไปชั้นล่าง
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน ดันน์·สมิทเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“ในตอนท้ายของฝัน ทำไมคุณถึงคิดหนี? กำลังหวาดกลัวอะไรงั้นหรือ?”
ไคลน์ตอบกลับโดยไม่คิดนาน
“ผมไม่มีความทรงจำของวันที่ 27 มิถุนายนเลย บุคคลที่ฆ่าเวิร์ชและนาย่าอาจเป็นตัวผมก็ได้ จึงเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา… หากเป็นผมจริง ผมก็ต้องรับโทษ ชีวิตหลังจากนี้คงเข้าขั้นเลวร้าย ไม่มีใครต้องการแบบนั้นหรอกใช่ไหม? ผมขอเสี่ยงหนีไปทวีปใต้เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ดีกว่า”
“ถ้าเป็นคุณ ผมก็คงทำแบบเดียวกัน”
ดันน์กล่าวพลางเปิดประตูหอพัก อากาศหนาวเหน็บจากภายนอกไหลเข้าปะทะกับความอบอุ่นภายในตึก
ดันน์·สนิทเดินนำขึ้นไปนั่งในรถม้าโดยไม่กลัวว่าไคลน์จะหลบหนี รถม้าคันเบื้องหน้าเหมือนกับในฝันทุกประการ ห้องโดยสารมีีสี่ล้อ ข้างตัวรถมีตราสัญลักษณ์กรมตำรวจ—ดาบไขว้และมงกุฎ
ไคลน์ก้าวตามขึ้นไป ด้านในมีพรมหรูหรารองรับพร้อมด้วยกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย
มันนั่งลงพร้อมกับถามถึงความเป็นไปได้ของคดี
“มิสเตอร์สมิท จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า ผมสูญเสียความทรงจำในวันเกิดเหตุจริง โดยที่ไม่มีหลักฐานเพิ่มเติมบ่งชี้ว่าผมมีส่วนพัวพันกับการตายของเวิร์ชและนาย่า... ผมจะพ้นข้อกล่าวหาทันทีหรือไม่?”
“ในทางทฤษฎีแล้วใช่ พวกเราคงต้องยอมปล่อยตัวคุณและค้นหาสมุดบันทึกด้วยวิธีอื่น ถ้าหากมันยังไม่ถูกทำลาย สักวันคงได้รับเบาะแสเพิ่มเติม ส่วนตัวคุณ พวกเราจะตรวจสอบให้มั่นใจว่าคุณไม่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงหรือตามรังควาน ไม่มีคำสาปหลงเหลือ และไม่แสดงสัญญาณของอาการทางจิต พวกเราต้องมั่นใจว่าคุณจะกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปรกติสุขและแข็งแรง”
ดันน์กล่าวพลางอมยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาดกว่าปรกติเล็กน้อย
ไคลน์เอะใจในบางคำพูด มันถามย้ำ
“ในทางทฤษฎี?”
“ถูกต้อง ในทางทฤษฎีจะเป็นเช่นนั้น แต่ในทางความเป็นจริง คดีแปลกประหลาดมักมีจุดจบไม่สวย ต้องมีเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้สักเรื่องสองเรื่องเกิดขึ้นเสมอ”
ดันน์จ้องเข้าไปในดวงตาไคลน์พร้อมกับอธิบายต่อ
“ทว่า ด้วยพลังและความรู้ที่จำกัด พวกเราจึงไม่สามารถตรวจสอบหรือทำนายความผิดปรกติได้ละเอียดทุกซอกมุม และเมื่อปล่อยเหยื่อกลับเข้าสังคมไป ความผิดปรกติเหล่านั้นกลับปรากฏและเล่นงานเหยื่อในภายหลัง”
“ตัวอย่างเช่น?”
ไคลน์เริ่มหวาดผวา
ขณะรถม้าแล่นไปตามถนนอันว่างเปล่า ดันน์หยิบกล้องยาสูบออกมาดม และกล่าวต่อ
“เมื่อพวกเราคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว เหยื่อเป็นปรกติแล้ว แต่ในหลายปีให้หลัง เหตุการณ์สุดสยองขวัญกลับเกิดแก่เหยื่อ หลายปีก่อน ผมเคยทำคดีเกี่ยวกับลัทธิชั่วร้าย หลักการพวกมันไม่ซับซ้อน บูชายัญเหยื่อเคราะห์ร้ายให้เป็นเครื่องสังเวยของเทพ ทว่า ขณะที่เหยื่อคนหนึ่งถูกเลือกให้เป็นผู้สังเวย สัญชาตญาณการเอาตัวรอดได้ทำให้เขาตาสว่างและเอาชนะความโง่เขลา เอาชนะคำสอนอันผิดแผก รวมถึงเอาชนะสารเสพติดหลอนประสาทมาได้ เหยื่อคนดังกล่าวจึงแอบหนีออกมาและแจ้งความกับตำรวจ ตำรวจส่งต่อคดีต่อมาถึงหน่วยเรา นับเป็นคดีที่ไม่ยากหรือซับซ้อน ไม่มีผู้วิเศษในหมู่ผู้กระทำผิด ลัทธิประหลาดของพวกมันบูชาเทพเก๊ที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง จุดประสงค์ของลัทธิเพียงหลอกเอาเงินผู้ศรัทธาไปวัน ๆ ไม่มีความน่าเกรงขามใดทั้งสิ้น พวกเราใช้ผู้วิเศษเพียงสองคนในการปราบลัทธิชั่ว พร้อมด้วยความช่วยเหลือจากตำรวจธรรมดาอีกเล็กน้อย ไม่มีผู้กระทำผิดเล็ดลอดจากการจับกุม… ส่วนผู้แจ้งเบาะแส ทางเหยี่ยวราตรีได้นำตัวมาตรวจสอบหาคำสาปและวิญญาณร้ายทุกซอกทุกมุม ผลการตรวจไม่พบสิ่งใด ไม่พบอาการทางจิตทุกชนิด พวกเราจึงปล่อยเขากลับไปใช้ชีวิตตามปรกติ โดยในภายหลัง เหยื่อคนดังกล่าวเจริญก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่งงานและมีครอบครัวที่อบอุ่น มีทายาทที่น่ารักเป็นบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวอีกหนึ่งคน ราวกับอดีตอันดำมืดได้สลายไปโดยสมบูรณ์”
มาถึงจุดนี้ ดันน์·สมิทเริ่มเผยรอยยิ้มจืดชืด
“ทว่า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แม้ชีวิตของเขาจะรุ่งเรืองและมีครอบครัวแสนอบอุ่นรายล้อม …แต่ชายคนนั้นกลับผูกคอตายอย่างไร้เงื่อนงำภายในห้องทำงานตัวเอง”
แสงจันทร์เลือดนอกหน้าต่างส่องกระทบใบหน้าดันน์·สมิท
เมื่อไคลน์หันไปมอง บนใบหน้าดันน์กำลังเผยรอยยิ้มของบุคคลที่กำลังตำหนิตัวเองอย่างหนัก
ไคลน์พลันขนลุก
“ผูกคอตาย…”
มันเริ่มหายใจติดขัด ภายในสมองจินตนาการว่าตนต้องมีชะตากรรมเช่นนั้น
ต่อให้รอดแล้วหนหนึ่ง แต่ไม่ได้แปลว่าจะรอดตลอดไป?
ยังมีวิธีใดที่ต่อสู้กับพลังเร้นลับได้อีก?
ต้องกลายเป็นผู้วิเศษเท่านั้นหรือ?
สมองไคลน์พลันฟุ้งซ่าน ความเงียบงันของรถม้าส่งผลให้มันอยู่กับตัวเองนานขึ้น
บรรยากาศสงบนิ่งปกคลุมเมืองทิงเก็นในยามเช้า รถม้าตำรวจควบไปบนถนนที่แทบไร้สิ่งกีดขวางด้วยความเร็วสูง
ขณะไคลน์คิดหาทางปรึกษาขอความคุ้มครองจากดันน์·สมิท รถม้าพลันหยุดลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“มิสเตอร์สมิท พวกเราถึงบ้านพักของมิสเตอร์เวิร์ชแล้วครับ”
คนขับรถม้าหันมากล่าว
“ลงกันเถอะ”
ดันน์จัดแจงเสื้อกันลมสีดำที่ยาวถึงเข่าให้เรียบร้อย
“ขอแนะนำให้รู้จักล่วงหน้า เจ้าหน้าที่หญิงที่พวกเรากำลังจะไปพบนั้น บนฉากหน้า เธอคือคนดังแห่งแคว้นอาโฮว่า โดยฉายาที่คนทั่วไปใช้เรียกเธอก็คือ—ผู้สื่อวิญญาณ”
ไคลน์ชะงักความคิดฟุ้งซ่านครู่หนึ่ง
มันหันไปถาม
“แล้วฉากหลังของเธอคือ?”
ดันน์บิดตัวกลับมาตอบด้วยดวงตาสีเทาอันลุ่มลึก
“ผู้สื่อวิญญาณ... ตัวจริง”
........................