"หลินเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อทั้งสอง ท่านแม่ทั้งสอง พี่ใหญ่"ชิงหลินก้มศีรษะลงเล็กน้อยยามกล่าว เสียงของนางสั่นเครือและมีน้ำตาซึมรับรู้และสัมผัสได้ถึงความรักความห่วงใยที่มีให้ตน
"อืม..กลับมาก็ดีแล้ว"ชิงหยวนลูบศีรษะบุตรีแสนรักตาแดงก่ำด้วยความยินดี มู่หลิ่งฟู่เองก็ไม่ต่าง ดวงตาคมมากประสบการณ์มองลูกสะใภ้แล้วลอบถอนใจออกมาด้วยความโล่งใจในขณะที่เฟิ่งอิงทำเพียงพยักหน้าให้นางพร้อมกับรอยยิ้มที่ยกขึ้นมากกว่าทุกคราว ผิดกับมู่ฮูหยินและชิงฮูหยิน ทั้งสองเข้ามากุมมือเย็นที่เริ่มอุ่นขึ้นของนางบีบเบาๆ พร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื้นตันยินดี
"ทำให้ทุกท่านลำบาก หลินเอ๋อร์ช่างอกตัญญูนัก ขออภัยจริงๆเจ้าค่ะ"ความรู้สึกผิดทำให้ใบหน้าของนางหมองเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เพราะเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่วิญญาณนางออกจากร่างชิงหลินดีว่าทุกคนวิ่งวุ่นทำเพื่อนางขนาดไหน เพียงแต่ไม่มีใครเห็นวิญญาณของนางแม้แต่เจ้าสี่สหายน้อย
"เรื่องนั้นไว้ทีหลังเถิดยามนี้พี่เห็นควรจัดการเรื่องนี้ก่อนดีรึไม่?"แม่ทัพหนุ่มกล่าวเตือนภรรยารักในอ้อมกอด หลุบตามองนางก่อนจะเงยหน้าขึ้นบน
"อา...จริงด้วยเจ้าค่ะ..ท่านราชามังกรฟ้า ขอบคุณที่ให้ข้ากลับมานะเจ้าค่ะ"ก้มศีรษะขอบคุณพร้อมกับส่งยิ้มให้
"ข้าเป็นเพียงสื่อกลางนำวิญญาณเจ้ากลับมาเท่านั้น ที่เจ้ากลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ ล้วนเป็นเพราะการกระทำของเจ้า เสียดายที่ช่วงเวลามันสั้นเกินไป เจ้าจึงต้องอาศัยแรงศรัทธาจากผู้คนเหล่านั้น ที่รักและศรัทธาเจ้าอย่างจริงใจ ทำให้เจ้ามีโอกาสที่จะสั่งสมความดีต่อไป...
อ้อ...ที่ว่าอนุโลมให้ ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ต้องรับผลนั้นเลยหรอกนะ นับแต่ยามเฉินผล กฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม จะเริ่มสำแดงฤทธิ์ จนถึงยามเฉินในอีกสามวันข้างหน้า หวังว่าพวกเจ้าทั้งหกจะผ่านมันไปได้"ราชามังกรร่ายเสียยาวเหยียด
"ขอบคุณในน้ำใจท่าน"แม่ทัพหนุ่มกล่าวขอบคุณ โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
"หึ..อย่าดูเบาผลนั้นเชียว....."ราชามังกรฟ้ากล่าวเตือนกลายๆ"ส่วนพวกเจ้าทั้งสี่ เห็นแก่ความดี อีกทั้งยังมีใจเมตตา ข้าในนามราชาปกครองแดนมนุษย์ ขอแต่งตั้งให้เป็น สี่เทพผู้พิทักษ์ของคู่พันธะสัญญาของข้า สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์และพูดภาษามนุษย์ได้ ครั้งละเจ็ดวัน และต้องรออีกเจ็ดวันข้างหน้าจึงจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง"
"ขอบคุณท่านราชามังกรฟ้า"สี่สหายน้อยย่อขาหน้าก้มหัวขอบคุณ หางทั้งสี่กระดิกไปมาด้วยความดีใจ เพราะนั่นหมายความว่าพวกมันสามารถจะไปท่องเที่ยวที่ใดก็ได้อย่างไรเล่า!
"หมดเรื่องแล้ว ข้าควรไปเสียที หวังว่าเจ้าจะหมั่นสร้างความดี ให้สมกับที่เป็นคู่พันธะสัญญาของของราชาผู้ยิ่งใหญ่"กล่าวจบ ก็จากไปทันที ส่งผลให้ท้องฟ้าที่สว่างสดใสงดงามกลับมาดำมืดเป็นท้องฟ้ายามรัตติกาลอย่างที่ควรจะเป็นอีกครั้ง
"เอ่อ..สามีรัก ช่วยพาภรรยารักไปหน้าจวนหน่อยเถิดเจ้าค่ะ"อ้อมแอ้มขอร้องสามีรักด้วยใบหน้าแดงเรื่อดูมีชีวิตชีวาไม่ซีดขาวเหมือนก่อนหน้านี้
"หือ?..เจ้ารู้ด้วยหรือ?"แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วถามประหลาดใจ
"พ่อว่าเจ้าควรพักผ่อนก่อน หายดีแล้วค่อยแสดงความขอบคุณก็ยังไม่สาย"มู่หลิ่งฟู่เตือนลูกสะใภ้ด้วยความห่วงใย
"แต่ว่า..."แม้จะรู้ดีว่าพวกเขาเป็นห่วง แต่คนเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวพันเป็นอะไรกับนาง แต่ก็ยังมานั่งคุกเข่าหลายชั่วยามอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อนาง นางจึงอยากจะออกไปกล่าวขอบคุณพวกเขาด้วยตัวเอง
"ได้...สามีรักจะพาไปเอง"
"ขอบคุณเจ้าค่ะ"เงยหน้ากล่าวขอบคุณสามีด้วยความซาบซึ้งดีใจที่เข้าใจ
"อาเหวิน..นางเพิ่งฟื้นร่างกายยังต้องการพักผ่อน ต้องลมมากๆอาจทำให้นางล้มป่วยลงไปอีกนะ"มู่ฮูหยินกล่าวเตือนสติบุตรชาย
"...ข้าทราบดี แต่หากไม่พาไป นางคงนอนไม่หลับเป็นแน่"
ชิงหลินรีบพยักหน้าถี่สนับสนุนคำพูดของสามีรัก ทำให้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกมันเขี้ยว อยากจะเคาะหน้าผากมนเสียหนสองหน แต่จนใจด้วยแขนแกร่งกำลังอุ้มนางอยู่ จึงทำได้เพียงส่ายหน้าระอาใจ
"...ถ้าเช่นนั้น ก็ให้นางสวมใส่อาภรณ์หนาๆหน่อยเถิด"ชิงฮูหยินกล่าว หันไปทางเสี่ยวอี้ เสี่ยวอี้เข้าใจความหมายก้มศีรษะรับคำสั่ง กลับเข้าเรือนพัก ครู่ต่อมาก็กลับมาพร้อมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวงดงาม ห่มคลุมร่างของฮูหยินน้อยจนดูเหมือนดักแด้ตัวอ้วน โดยที่แม่ทัพหนุ่มยังคงอุ้มนางแนบอกอยู่ เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วอุ้มภรรยารักนำหน้าสี่องครักษ์ สองสาวใช้ โดยมีกองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบตามคุ้มกันอย่างเข้มงวด ส่วนสี่สหายน้อยจอมซนน่ะรึ วิ่งนำล่วงหน้าไปก่อนแล้ว....
"ฮูหยิน เจ้าเข้าไปดูแลหลานๆก่อนเถิด ข้าจะไปดูเหตุการณ์ที่ด้านหน้าจวนเสียหน่อย"มู่หลิ่งฟู่กล่าวกับฮูหยินของตน ซึ่งนางพยักหน้าเข้าใจก่อนจะจูงมือสหายรักเข้าไปในเรือนพักของบุตรชายและลูกสะใภ้
"อ้าว...เจ้าก็จะไปด้วยรึ? อาเฟิ่ง"ชิงหยวนเอ่ยถามบุตรบุญธรรม เมื่อเห็นชายหนุ่มขยับกายหันไปยังทิศทางที่แม่ทัพหนุ่มจากไป
"..ข้าเป็นห่วงน้องเล็กขอรับ"เฟิ่งอิงตอบด้วยใบหน้านิ่งๆคล้ายไม่ได้คิดอะไรแต่คำพูดกลับขัดแย้งกันจนชิงหยวนนึกขัน
"เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน"มู่หลิ่งฟู่ยิ้มกล่าวสองมือไพล่หลัง ก้าวเท้าออกเดินนำไปด้วยใจที่โล่งโปร่งสบาย
------------
ด้านหน้าจวน เพลานี้ล่วงเข้ายามอิ๋นมาได้ราวหนึ่งเค่อแล้ว ผู้คนนับพันชีวิตยังคงปักหลักอยู่กับที่ไม่ได้ไปไหน แม้อากาศจะเริ่มหนาวเย็นลงทุกทีก็ตาม พวกเขาหยุดโขกศีรษะอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพราะมัวแต่ตื่นตะลึงกับการปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ของราชามังกรฟ้า พอราชามังกรฟ้าหายวับไปจากสายตา ท้องฟ้ากลับมามืดมิดอีกครั้ง พวกเขาก็ยังเลือกที่จะรอฟังข่าวของธิดาสวรรค์ สายตาที่เคยมองนิ่งบนฟ้า บัดนี้กลับจ้องเขม็งตรงประตูจวนแม่ทัพไร้พ่ายจนทหารยามสี่นายที่ยืนยามตรงหน้าประตู รู้สึกอึดอัดใจ
"เปิดประตู!!!!"เสียงทหารยามด้านในช่างเหมือนเสียงสวรรค์โดยแท้ ทหารยามทั้งสี่ถอนใจแรงเบี่ยงกายกำยำไปยืนด้านข้างอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง
"โอ....นั่นๆๆๆ...นั่นธิดาสวรรค์!!"เสียงตะโกนร้องดังขึ้นทันทีที่ประตูบานใหญ่ยักษ์เปิด
"อา ใช่จริงๆด้วย ธิดาสวรรค์ท่านเป็นเยี่ยงไรบ้างพวกเราห่วงท่านยิ่งนัก?"หญิงชราวัยใกล้เจ็ดสิบพาร่างค่อนข้างผอมไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าธิดาสวรรค์ ยื่นมือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาออกไปหมายจะจับมือเรียวขาวของนาง แต่แล้วต้องชะงักค้างเมื่อเห็นว่ามือของตนเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินจากการสวดอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงรีบหดมืออันสั่นเทากลับมาซ่อนไว้ข้างหลังก้มหน้าต่ำทั้งยังถอยห่างออกมาอีกสองก้าว ด้วยเกรงว่ากลิ่นไม่พึงประสงค์และฝุ่นดินที่ติดกายจะสร้างความระคายเคืองจมูกได้
"ท่านยาย"เสียงเรียกท่านยายเบาๆ ทำให้หญิงชราที่ก้มหน้าต่ำอยู่ในห้วงความคิดเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าหมายถึงผู้ใด
"ท่านยาย..เหตุใดจึงถอยห่างไปเช่นนั้น?"ชิงหลินเอ่ยถามด้วยเสียงที่แหบแห้ง เห็นๆอยู่ว่านางยื่นมือมาหาแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงหดกลับไปเสียดื้อๆ ความสงสัยจึงอดใจที่จะถามไม่ได้
"ขะข้าน้อยเนื้อตัวสกปรกเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นดิน เกรงว่าจะทำให้ธิดาสวรรค์แปดเปื้อนเจ้าค่ะ"หญิงชราก้มหน้าลงตอบกลับไม่ดังไม่เบา แต่เพราะความเงียบสงัดจึงทำให้ผู้คนได้ยินเสียงของนางค่อนข้างชัดเจน คำพูดของหญิงชรายังทำให้เหล่าผู้คนที่คิดจะเข้ามาพูดคุยกับธิดาสวรรค์ ก้มหน้ามองมือตนเองแล้วนิ่วหน้า รีบเช็ดมือที่เปื้อนคราบดินกับอาภรณ์ของตน แล้วยืนนิ่งกุมมือของตนก้มหน้าลงอย่างเจียมตน
"ท่านยาย ข้าหาได้ใส่ใจไม่ ท่านยายและทุกท่าน เป็นผู้มีพระคุณของข้า เพราะได้ทุกท่านช่วยสวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้ข้ารอดพ้นเคราะห์กรรมมาได้....หากข้ายังคิดรังเกียจไม่เท่ากับเป็นคนอกตัญญูหรอกหรือเจ้าคะ?"
"ธิดาสวรรค์...."ถ้อยคำของธิดาสวรรค์ สร้างความซาบซึ้งใจและปลาบปลื้มแก่หญิงชรา และคนอื่นๆยิ่งนัก หลายคนถึงกับน้ำตาซึม
"ขอบคุณทุกท่านที่ทำเพื่อฮูหยินของข้า เมื่อนางหายดีจวนแม่ทัพไร้พ่ายจะจัดงานเลี้ยงเพื่อขอบคุณทุกท่านอย่างแน่นอน ยามนี้นางจำเป็นต้องพักรักษาตัวคงต้องขอตัวก่อน"ความจริงถ้าไม่ติดว่าอุ้มภรรยารักอยู่ แม่ทัพหนุ่มคงประสานมือคำนับให้ผู้คนเหล่านี้แล้ว แต่ไม่สามารถทำได้จึงค้อมศีรษะให้แทน
"ขอบคุณมากเจ้าค่ะ"ชิงหลินกล่าวขอบคุณอีกครั้งยื่นมือออกมาทางหญิงชรา หญิงชราพอเห็นธิดาสวรรค์ยื่นมือมาหาพร้อมส่งยิ้มให้ จึงยื่นสองมืออันสั่นเทากอบกุมมือเรียวขาวนุ่มนิ่มราวเต้าหู้ชั้นดีไว้ด้วยความตื้นตัน
ชิงหลินพลิกมือกอบกุมมือเหี่ยวย่นค่อนข้างสากนั้นไว้ จุมพิตที่หลังมือของหญิงชราอย่างไม่นึกรังเกียจ การกระทำนั้นส่งผลให้หญิงชราถึงกับหลั่งน้ำตา แนบแก้มตอบกับมือเล็กนุ่มนิ่มด้วยความตื้นตันและเทิดทูน ท่ามกลางสายตาหลากหลายของผู้อยู่ในเหตุการณ์
สามบุรุษต่างศักดิ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังมองภาพนั้นด้วยความชื่นชม อา...ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดผู้คนจึงได้รักและศรัทธานางมากถึงเพียงนี้
ส่วนผู้ติดตามและทหารยาม มองดูฮูหยินน้อยตาเป็นประกายนัยน์ตาทุกคู่มีแต่ความเคารพรักและเทิดทูนดั่งนางเป็นเทพธิดาที่จุติจากแดนสวรรค์
"ขออภัยทุกท่าน สะใภ้ข้าเพิ่งให้กำเนิดทายาท ตามหลักแล้ว ร่างกายไม่ควรต้องลมเย็น ขอเชิญทุกท่านกลับไปก่อนเถิด"มู่หลิ่งฟู่กล่าวด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง
ชิงหลินจึงพูดคุยกับคนเหล่านั้นต่ออีกสองสามคำแล้วเอ่ยขอตัว ตลอดเวลาแม้อากาศจะหนาวเย็น แต่นางกลับรู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจ อบอุ่นกายจนร้อนเพราะมีเตาผิงขนาดใหญ่แบบพกพาอย่างสามีรัก อบอุ่นใจอย่างที่สุดเพราะความรักความห่วงใยที่ทุกคนมอบให้
แม่ในโลกเก่าเคยเล่าให้ฟังว่า หญิงหลังคลอดต้องอยู่ไฟอย่างต่ำที่สุดหนึ่งเดือนแต่ถ้าจะให้ดีก็สี่สิบห้าวัน นางเคยถามว่าหากคลอดโดยไม่ต้องอยู่ไฟเล่าจะส่งผลอย่างไร? คำตอบของแม่ทำเอาอึ้งไป "เมื่อโดนความเย็นเล่นงาน สำหรับคนปกติจะไม่เป็นไร แต่กับหญิงหลังคลอดไม่ได้อยู่ไฟ บางคนจะรู้สึกหนาวเหน็บ ปวดแปลบลึกเข้าไปถึงกระดูกเลยทีเดียว บางรายร่างกายอ่อนแอ เจ็บออดๆแอดๆ ทำงานหนักไม่ได้ดังเก่า ลูกอยากเป็นอย่างนั้นรึ?"
จำได้ว่านางส่ายหัวถี่หน้าเจื่อนสนิท จนแม่หัวเราะขบขันกับความขี้กลัวของนาง คิดแล้วก็อดคิดถึงแม่ขึ้นมาไม่ได้ หญิงสาวจมอยู่กับความคิดนานเท่าใดไม่อาจรู้ ได้สติเมื่อสามีรักวางนางลงบนเตียงและแผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความร้อนที่สะท้อนขึ้นมาจนต้องนิ่วหน้าแล้ว
"สามวันนี้สามีรักคงมาดูแลภรรยารักไม่ได้ อย่าดื้อและยอมกินยาดีๆตามที่หมอหลวงสั่ง เข้าใจรึไม่?"แม่ทัพหนุ่มที่นั่งตะแคงข้างเข้าหาภรรยารักที่นอนหงายอยู่บนเตียง กำชับเสียงเข้ม นิ้วแกร่งปัดปอยผมส่งสายตาดุสำทับลงไปอีก ด้วยรู้นิสัยของนางดีว่าเกลียดกลัวการกินยายิ่ง
"ใยจึงพูดราวกับภรรยารักเป็นเด็กน้อย?"ค้อนให้พองาม แม่ทัพหนุ่มมองใบหน้างอง้ำอย่างขบขันระคนเอ็นดู เท้ามือกับเตียงข้างศีรษะเล็กโน้มใบหน้าหล่อเหลาติดเจ้าเล่ห์ลงกระซิบข้างหู แล้วเดินออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม ปล่อยให้นางหน้าแดง กัดฟันกรอด
"อา...นั่นสินะ...เด็กน้อยที่ไหนจะกล้าลวนลามบุรุษได้หน้าตาเฉยเช่นเจ้ากัน?"
หลังจากออกมาเฟิ่งอิงพร้อมสองผู้ติดตามสี่องครักษ์ และกองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบ ได้ยืนรออยู่ก่อนแล้ว "ยังมีเวลาหนึ่งชั่วยามก่อนถึงยามเฉิน ข้าจะไปเก็บตัวที่เรือนพักในค่ายทหาร เป็นเวลาสามวัน พี่ภรรยาท่านจะกลับจวนสกุลชิงหรือพักอยู่ที่นี่?"แม่ทัพหนุ่มกล่าวกับเฟิ่งอิง
"ไม่รบกวนน้องเขย ข้าจะกลับไปเก็บตัวที่จวนสกุลชิง"เฟิ่งอิงกล่าวตอบ สายตาคมเรียวดุมองไปยังประตูแวบหนึ่ง กระนั้นหาได้รอดพ้นสายตาของแม่ทัพหนุ่มไม่
"อย่ากังวล นางเพียงอ่อนเพลียเล็กน้อย ยามนี้หลับไปแล้ว ไว้พ้นหลังเก็บตัวท่านค่อยแวะมาเยี่ยมนางก็ยังไม่สาย"
"เช่นนั้น ข้าขอตัว"เฟิ่งอิงพยักหน้าเข้าใจแล้วจากไปโดยดี
"พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนได้ ทางนี้มีทหารยามเฝ้ามากพอแล้ว"
"...รับทราบ!!"กองกำลังหลิ่งหลินทั้งสิบนายรับคำสั่งอย่างเข้มแข็ง ก่อนจากไม่วายมองไปที่ประตู ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกดุจเดิมทั้งที่ท่านแม่ทัพยืนยันว่าฮูหยินน้อยปลอดภัยแล้วแต่พวกเขาก็ยังอดห่วงและกังวลใจไม่ได้อยู่ดี
"ท่านพ่อข้าอยู่ที่ใด?"เมื่อทั้งสิบจากไปแม่ทัพหนุ่มจึงหันมาถามองครักษ์ของตน
"นายท่านทั้งสอง และฮูหยินทั้งสอง อยู่ที่ห้องข้างๆขอรับ"จิ๋นอี้ตอบ
"อืม...ข้าจะไปดูหน่อย"กล่าวจบพลางหมุนกายไปยังห้องติดกันกับห้องที่ภรรยารักใช้พักรักษาตัว ซึ่งก็คือห้องหอของตนกับนางนั่นเอง
"อ้าว..มาแล้วรึ? ลูกสะใภ้แม่เป็นเยี่ยงไรบ้าง?"มู่ฮูหยินเอ่ยถามบุตรชายที่เดินเข้ามา
"อ่อนเพลียเล็กน้อย ไม่มีอะไรต้องกังวลขอรับ?"แม่ทัพหนุ่มยิ้มตอบมารดา หย่อนกายลงนั่งข้างชิงหยวน สายตาคมทรงเสน่ห์อ่อนโยนยิ่งนักยามที่มองลูกน้อยในอ้อมอกมารดา และมารดาภรรยารักที่กำลังหลับสนิท
"ช่วงสามวันนี้ คงต้องรบกวนท่านแม่ทั้งสอง ช่วยดูแลนางและลูกแฝดทั้งสองแล้วขอรับ"แม่ทัพหนุ่มกล่าวฝากฝังภรรยาและลูกน้อยกับมารดาทั้งสอง
"ภรรยาเจ้าก็ลูกสะใภ้แม่นี่ก็หลานของแม่ แม่ต้องดูแลทะนุถนอมอย่างดีเจ้าอย่าห่วงไปนักเลย"ชิงฮูหยินพนักหน้าสนับสนุนด้วยใบหน้ายิ้มละไม
"ส่วนเรื่องอื่น พ่อจะช่วยจัดการแทนให้"มู่หลิ่งฟู่ที่นั่งข้างฮูหยินตนกล่าวกับบุตรชาย
"ขอบคุณขอรับ"เอ่ยขอบคุณแล้วกวาดสายตามองหาสี่สหายน้อย เจ้าตัวยุ่งทั้งสี่ไปอยู่เสียที่ใดกัน?
"มองหาเจ้าสี่ตัวอยู่รึ?"ชิงหยวนเอ่ยถาม
"ขอรับท่านพ่อตา"
"ข้าเห็นพวกมันวิ่งไปทางโรงครัวโน่น คาดว่าคงจะไปอ้อนขอนมแพะจากพ่อบ้านเจากระมัง?"ชิงหยวนหัวเราะตอบแม่ทัพหนุ่มอย่างอารมณ์ดี
"อา..อย่างไรพวกมันก็ยังเป็นแค่ลูกพยัคฆ์ ลูกจิ้งจอกล่ะนะ อีกอย่างนับแต่หลินเอ๋อร์ หยุดหายใจ พวกมันก็แทบจะไม่แตะอาหารเลย"ชิงฮูหยินเอ่ยขึ้นบ้าง
การสนทนาดำเนินต่อไปครู่ใหญ่ ก่อนที่แม่ทัพหนุ่มจะขอตัวไปเก็บตัวที่เรือนพักในค่ายทหารพร้อมองครักษ์ทั้งสี่ที่เต็มใจไปสองคน แต่อีกสองอยากเก็บตัวพักที่นี่ด้วยปรารถนาจะได้รับการดูแลจากหญิงสาวที่ตนหมายปอง
จิ๋นซานจิ๋นซื่อหันมาสบตากันอย่างเข้าใจก่อนจะเบนสายตาอันละห้อย มองร่างเล็กน่าเอ็นดูของสตรีสองนางที่ถือถาดยาหายเข้าไปยังห้องข้างๆ แล้วก้มหน้าลงอย่างเสียดายซึ่งกิริยาคอตกไหล่ลู่คล้ายสุนัขถูกทอดทิ้งของสององครักษ์ ไม่อาจรอดพ้นสายตาของแม่ทัพหนุ่ม แต่เขาเลือกที่เมินเฉยเสีย เพราะการจะให้หญิงชายที่ยังไม่ได้เป็นอันใดกันอยู่ดูแลใกล้ชิดสนิทสนมมันเป็นการไม่ควร อย่างไรก็ต้องให้เกียรติฝ่ายหญิงและเห็นแก่หน้าภรรยารักของตนบ้าง
จิ๋นอี้นึกเห็นใจเดินเข้าไปโอบไหล่ทั้งสองให้พาเดินออกไปไม่เอ่ยคำใด มีจิ๋นเอ้อส่ายหน้าขบขันเดินปิดท้ายสู่เรือนพักในค่ายทหารของสกุลมู่...
------------
เรือนพักผู้ป่วยในค่ายทหารสกุลมู่ ล่วงเข้ายามเฉิน
"อ๊ากกกก....อึก!!....ฮึ่ม!!...."หมอชราประจำจวนแม่ทัพได้แต่ยืนตะลึง ทำอันใดไม่ถูก เมื่อเห็นท่านแม่ทัพและสี่องครักษ์ ดิ้นทุรนทุรายฟาดแขนฟาดขาไปทั่ว สลับกับส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดเป็นระยะๆ จนหมอนผ้าห่มหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น เหงื่อกาฬไหลชุ่มไปทั้งร่าง
ครั้นจะเข้าไปตรวจรักษา ก็ถูกแม่ทัพหนุ่มยกมือห้าม หมอชราจึงได้แต่เตรียมความพร้อมเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน และชาสมุนไพรดับกระหาย ตลอดเวลาสามวันสามคืน ตามคำสั่งของแม่ทัพหนุ่ม ท่ามกลางความลุ้นระทึกของหมอชราและทหารยามที่รู้เรื่องราว
--------------
เวลาเดียวกันวังตะวันออกฉีเฟยหลงและพระชายาหลิวซูเหม่ย กำลังนั่งเสวยกระยาหารอยู่ ตาคมเหลือบไปเห็นทหารจากจวนแม่ทัพไร้พ่ายหยุดคุยกับขันทีของตนสองสามคำแล้วก็จากไปอย่างเร่งรีบ "เสี่ยวเกาจื่อ มีเรื่องอันใด?"ถามขันทีคนสนิท
"ทูลองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพมู่ได้ให้คนมาแจ้งว่า ฮูหยินน้อยมู่ปลอดภัยแล้วพะย่ะค่ะ"เกาจื่อหรือเกากงกง ที่คิดว่าจะรายงานเรื่องนี้หลังมื้อกระยาหารผ่านไปรีบเข้ามาทูลรายงาน
"อา..ปลอดภัยแน่แล้วรึ?"
"พะย่ะค่ะ ยามนี้กำลังพักรักษาตัวอยู่"
"ดี!...เราจะไปเยี่ยมนางเสียหน่อย"ประทับยืนด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ลืมการมีตัวตนของหลิวซูเหม่ยไปชั่วขณะ
"เดี๋ยวก่อนเพคะ"พระชายาหลิวห้ามสวามีเสียงหวาน
"หือ?..พระชายมีอันใดรึ?"
"ฮูหยินน้อยมู่พึ่งให้กำเนิดทายาท ต้องพักรักษาตัวอยู่ในห้องร้อน คงไม่อาจรับเสด็จไปอีกนานหลายเพลาเพคะ"เหตุผลของนางทำให้วรกายสูงชะงัก
"หม่อมฉันเอง หากพระองค์ไม่ว่ากระไร ก็อยากจะไปเยี่ยมนางสักครั้ง.."อาการเขินอายอย่างเป็นธรรมชาติ ไร้การเสแสร้งของหลิวซูเหม่ย ทำให้ฉีเเฟยหลงนึกเอ็นดูยิ่งนัก ประทับลงที่เดิม คว้ามือเรียวขาวนุ่มนิ่มมากุมลูบไล้เบาๆ สร้างความขัดเขินให้นางจนใบหน้างามแดงก่ำเป็นผงอิงเถา ก้มหน้าต่ำไม่กล้าสบตาสวามี
"ได้ ไว้เราไปเยี่ยมนางด้วยกันดีรึไม่?"ฉีเฟยหลงเชยคางนางขึ้นตาคมดุจเหยี่ยวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่งาม ยิ่งเห็นนางเอียงอายหลบสายตา ก็ยิ่งสำราญใจ แม้จะไม่ได้เป็นสตรีที่ตนรักใคร่แต่เพราะความฉลาดเฉลียว สุขุมเยือกเย็นไม่ระรานผู้อื่น ทำให้ฉีเฟยหลงโปรดปรานนางที่สุด และมอบสิทธิ์อำนาจในวังหลังแก่นางเต็มที่ เพราะนางคู่ควร...คือเหตุผลขององค์รัชทายาทหนุ่ม
------------
เพียงไม่กี่ชั่วยาม ข่าวของฮูหยินน้อยท่านแม่ทัพไร้พ่าย พ้นเคราะห์กรรมกลับมาปลอดภัย เพราะแรงศรัทธาของชาวบ้านที่ช่วยกันสวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง จนยามนี้ด้านหน้าจวนเนืองแน่นไปด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพ หลากหลายที่มา มาด้อมมองอยากเข้ามาเยี่ยมคารวะนางสักครั้ง
แต่ถูกปฏิเสธอย่างสุภาพ แม้จะเข้าใจดีว่านางต้องพักรักษาตัว แต่ก็อดที่จะเสียใจ ผิดหวังไม่ได้ จึงได้แต่รอฟังข่าวที่ทางจวนแม่ทัพนำมาประกาศให้ทราบไปพลางก่อน จนกว่าธิดาสวรรค์จะหายดี
----------
สามวันต่อมา แม่ทัพหนุ่มพร้อมสี่องครักษ์ก็กลับมายังเรือนที่พัก ด้วยสภาพอิดโรย ดำคล้ำและผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด นี่เพียงแค่สามวันเท่านั้น! หากนานกว่านี้เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็ยังรักษาลำบาก
ดังนั้นผู้ที่บุรุษทั้งห้า นึกถึงเป็นคนแรกที่ผ่านความเจ็บปวดทรมานอันหนักหน่วงมาได้ หาใช่ใครที่ไหนไม่ แต่เป็นสตรีร่างเล็กบอบบางที่แค่ผลักเบาๆก็ล้มกลิ้งได้อย่างง่ายดาย ที่พักรักษาตัวอยู่ในห้องเบื้องหน้านี้! พร้อมกับคำถามที่คิดอยู่ในใจตลอดสามวันสามคืน...
นางรอดชีวิตกลับมาได้อย่างไร? กับความเจ็บปวดทรมานสุดขีดนั้น บุรุษร่างกายแข็งแกร่งเช่นตนและสี่องครักษ์ เจอแค่สามวันยังแทบกระอักเลือด! จวนเจียนจะสลบไปหลายรอบ แม้จะรับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมานที่นางเคยเผชิญมาก่อน แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้
ดวงตาทั้งสี่คู่ขององครักษ์จับจ้องประตูที่เปิดให้แม่ทัพหนุ่มเดินเข้าไปเขม็ง ก่อนจะทรุดกายนั่งลงกับพื้นอย่างหมดสภาพ จนทหารยามแถวนั้นต้องรีบหาน้ำมาให้องครักษ์ทั้งสี่ได้ดื่มแก้กระหาย
"ท่านดูแย่จังเลยนะเจ้าคะ"ชิงหลินที่พึ่งดื่มยาหลังอาหารเสร็จถามสามีรักที่นั่งข้างเตียง
"เทียบกับที่ภรรยารักเผชิญแล้ว นับเป็นอะไรได้"แม่ทัพหนุ่มตอบ ยื่นมือขวาลูบใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตาคมทรงเสน่ห์เต็มไปด้วยความสับสนและเจ็บปวด
"เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่ารู้สึกผิดไปเลยเจ้าค่ะ"
"อืม"แม่ทัพหนุ่มเอนกายอันเหนื่อยล้า หนุนท่อนขานุ่มนิ่มของภรรยารักแล้วหลับไปอย่างรวดเร็วเพราะความอ่อนเพลียสะสม
"ท่านนี่นะ ร้อนขนาดนี้ยังหลับลงได้อีก"ต่อว่าไม่จริงจังลูบไล้เสี้ยวใบหน้าหล่อเหลา ที่มีไรหนวดขึ้นเขียวครึ้มอย่างเบามือ ก่อนจะเอนหลังพิงหัวเตียงแล้วผล็อยหลับตามไปอีกคน