ทั้งสามเดินมาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง แม่น้ำนั้นทั้งกว้างและยาวสุดลูกหูลูกตา
"เราต้องข้ามแม่น้ำนี้ไป" มลว่า
"ยังไง" กูณฑ์ถาม ดูยังไงแม่น้ำนี้ก็ไม่มีสะพานอะไรให้ข้ามเลย และคงลึกเกินกว่าจะลุยข้ามด้วย ทางเดียวที่จะไปได้ก็คือว่ายน้ำ แต่กูณฑ์ไม่ไว้ใจแม่น้ำตรงนี้หรอกนะ ถ้ามีตัวอะไรลากเขาลงไปอีกละ ครั้งนี้คงไม่โชคดีแบบครั้งที่แล้วอีกแล้ว
มลกับเคียวมองหน้ากัน เคียวยกมือขึ้นเสยผมก่อนจะบอกกับเพื่อนว่า
"ฉันอุ้มนายเหาะไปได้นะ ถ้านายไม่รังเกียจ"
กูณฑ์ส่ายหน้า "ฉันไม่ได้ไม่ไว้ใจนายนะ แต่ฉันว่ามันอันตรายเกินไป" ใช่ ถ้าขืนเขากลัวจนดิ้น แล้วมลทำเขาหลุดมือล่ะ เขาไม่ต้องกลายเป็นอาหารปลาที่นี่เหรอ
"แล้วนายจะเอายังไง" เคียวถาม
กูณฑ์กัดริมฝีปาก "ทำแพไม่ดีกว่าเหรอ" เขาเสนอออกมาอย่างลังเล
"ทำแพ" มลพูดเสียงเยาะ "เจ้าจะทำอย่างไรกัน"
"ก็ตัดต้นไม้มาทำ.." กูณฑ์เริ่ม แล้วก็ถอนหายใจ พวกเขาไม่มีขวานสักเล่ม
อยู่ ๆ แม่น้ำที่เคยสงบเงียบก็ปรากฏคลื่นลูกใหญ่ กูณฑ์ถอยหลังหนี เขาไม่ลืมลากเคียวมาด้วย ส่วนเด็กจอมกวนประสาทอย่างมลก็ปล่อยใหเช่วยตัวเองไปก็แล้วกัน
คลื่นค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาหาคนทั้งสาม มลถือธนูอยู่ในท่าเตรียมพร้อม แต่เมื่อเขาเห็นที่มาของคลื่น เขาก็หัวเราะ เก็บธนู ก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อนขี้ขลาดให้ออกมาจากหลังต้นไม้ที่ทั้งสองไปซ่อนอยู่ พวกเขาทำอย่างกับว่าต้นไม้นั่นจะปกป้องตัวเองได้อย่างนั้นแหละ
"มานี่ ไม่ต้องกลัวหรอก แพของเรามาแล้ว"
กูณฑ์กับเคียวค่อย ๆ ย่องออกมา สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทั้งสองก็คือเต่าขนาดมหึมา ใหญ่พอ ๆ กับเต่าอรหันที่พวกเขาเคยปะทะมาแล้ว
"เต่าอรหัน"กูณฑ์ร้อง
ฝ่ายเต่ายักษ์ดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำเรียกนี้นัก มันสะบัดตัวใหญ่ ๆ ของมันไปมา หยดน้ำกระเซ็นใส่เด็กทั้งสามจนเปียกไปทั่ว
"ใจเย็นก่อน พ่อเต่า" มลพูดอย่างอ่อนโยนกับเต่าที่กำลังโมโห ก่อนจะหันมาทางเพื่อนทั้งสอง "ไม่ใช่เต่าอรหันหรอก เต่าเรือนน่ะ เราโชคดีแล้ว เขาจะพาเราไปส่ง"
มันใหญ่พอจะให้พวกเขาทั้งสามขึ้นไปบนหลังได้อยู่ แต่ถึงกระนั้นกูณฑ์ก็ยังไม่ไว้ใจ
"เดี๋ยวก่อน" เด็กหนุ่มค้าน "ที่ว่าพาไปส่งนี่ไปส่งไหน ท้องของมันหรือเปล่า"
"ระวังคำพูดของเจ้าหน่อย" มลพูดเสียงเยียบเย็น "เต่าเรือนฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องนะ ถึงจะพูดไม่ได้ก็เถอะ"
"นายแน่ใจนะว่าจะปลอดภัย" กูณฑ์ถามย้ำ
มลผงกหัวให้เร็ว ๆ ทีหนึ่ง
"เอาก็เอา" กูณฑ์ว่า แต่เขาก็ยังปักหลักอยู่ที่พื้นดิน ไม่ยอมก้าวลงตัวเต่า
มลถอนหายใจ พวกขี้ขลาด เขาก้าวลงให้ดูเป็นตัวอย่าง ก่อนจะกวักมือเรียก
กูณฑ์ลงตามไปเป็นคนที่สอง จากนั้นเคียวจึงตามมา พวกเขาจัดที่นั่งกันให้สบายที่สุด แล้วเต่าเรือนก็เริ่มว่ายออกไป
"เกิดมาเพิ่งเคยนั่งเต่า" กูณฑ์ว่า เขาเอนตัวลงนอนตามสบาย เหม่อมองท้องฟ้าที่ดูสดใสกว่าทุกวัน
"ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่าเต่าตัวนี้คือเต่าเรือน" เคียวถาม เขาชอบศึกษาความรู้อยู่เสมอ นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้เขาเลือกทำงานเป็นคนคัดลอกหนังสือเมื่อชาติก่อน เมื่อตอนเขายังเป็นไดจินั้นหนังสือหายากและมีราคาแพง วิธีเดียวที่จะทำให้ได้อ่านหนังสือมากโดยไม่ต้องเสียเงิน ซ้ำยังได้เงินอีกก็คือรับจ้างคัดลอกหนังสือ แต่พอมาอยู่ที่นี่ เคียวก็แทบไม่ได้อ่านหนังสือเลย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดหาความรู้หรอกนะ
มลเคาะที่กระดองเป็นคำตอบ แต่ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายยังมองอย่างสงสัย เขาก็ถอนหายใจก่อนจะอธิบายว่า
"กระดองของเต่าเรือนจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ถึงจะมีมุมโค้งมนก็เถอะ เราโชคดีที่ได้เจอมาเจอเต่าเรือน เขาไม่กินเนื้อ เป็นสัตว์ใจดี รักสงบ คนเรือแตกเห็นเขาก็เหมือนพระอินทร์มาโปรด แต่ถ้าเจ้าไปเจอเต่ากระ.."
มลยังไม่ทันอธิบายถึงแฝดปีศาจของเต่าเรือน ฝันร้ายของนักเดินเรือทุกคน กูณฑ์ก็ร้องอุทานขึ้นมา
"ถึงฝั่งแล้ว"
พวกเขาถึงฝั่งเร็วกว่าที่คาด ต้องขอบคุณความเร็วของเต่าเรือน หากเป็นพวกเขาทั้งสามหาทางข้ามมากันเอง จนถึงวันรุ่งขึ้นก็ไม่แน่ว่าจะถึงฝั่ง
"แล้วเราต้องไปไหนกันต่อ" กูณฑ์ถาม เมื่อพวกเขาลงมาจากเต่าเรือนและกล่าวขอบคุณเรียบร้อยแล้ว
"เจ้าตาบอกให้ไปทางตะวันออก" มลว่าพลางส่งสายตาตำหนิมาให้กูณฑ์ มนุษย์ผู้นี้ไม่รู้จักฟังอะไรบ้างเลยหรือไงนะ
"เรื่องนั้นน่ะ ฉันรู้แล้ว" กูณฑ์พูดอย่างไม่พอใจนัก "แต่ฉันไม่รู้ว่าตะวันออกมันอยู่ทางไหน"
"ตะวันออกคือทิศที่พระอาทิตย์ขึ้นไงเล่า" มลพูดอย่างวางตัว "ออกแปลว่าขึ้น เจ้าไม่รู้หรอกหรือ"
กูณฑ์ไม่อยากเสวนากับมลจึงหันไปพูดกับเคียวแทน "นายรู้วิธีหาทิศไหม"
เคียวเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า ทำท่าใคร่ครวญ ก่อนจะหันมาพูดกับกูณฑ์ที่กลั้นใจรออย่างมีความหวังว่า
"ฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เคยอ่านหนังสือเดินป่ามาหลายเล่ม"
กูณฑ์พยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร
"หนังสือผจญภัยในป่าก็เคยอ่าน นายพรานเก่ง ๆ บอกทิศและเวลาได้โดยอาศัยแค่ดวงตะวัน"
"แล้วเจ้าทำได้ไหมเล่า" มลถามอย่างหงุดหงิด
"เผอิญฉันเป็นนักคัดลอกหนังสือ ไม่ใช่นายพราน ดังนั้นทำไม่ได้หรอก" เคียวตอบเรียบ ๆ
หากนี่เป็นละครซิทคอมก็คงมีเสียงเอฟเฟกต์ "แป่ว" ตรงนี้ แล้วผู้ชมก็คงฮากัน แต่เพราะนี่เป็นชีวิตจริง เพื่อนทั้งสองจึงไม่ค่อยพอใจมุกของเคียวเท่าไหร่
"ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ เก๊กท่าเสียตั้งนาน" กูณฑ์บ่น ก่อนหันไปหาความหวังสุดท้ายอย่างมล "แล้วนายล่ะ รู้ไหม"
มลยืดอกขึ้น วางท่าเป็นคนสำคัญ "ถ้าแค่ทิศทางข้ายังแยกไม่ออก ข้าอยู่ในป่านี้ไม่ได้หรอก ตามข้ามา"
วิทยาธรน้อยออกเดินนำหน้า กูณฑ์และเคียวตามหลังไปติด ๆ มลชำนาญจริงอย่างที่พูด แม้ว่าบางทีจะต้องเดินออกนอกทิศไปบ้าง เพราะต้องเลี่ยงทางเดินที่ไม่ค่อยสะดวกนะ แต่มลก็หาทางกลับมาทิศที่ต้องการได้เสมอ
มลก้าวไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง เขาต้องการไปให้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด เด็กชายก้าวเท้าไวมากเพราะชำนาญการเดินป่ามาแต่เดิม ทว่าเพื่อนอีกสองของเขาไม่ได้ร่วมแบ่งปันความชำนาญนี้ด้วย
แม้กูณฑ์จะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ แต่การว่ายน้ำกับการเดินป่านั้นต่างกันมาก อย่างน้อย ๆ เมื่ออยู่ในน้ำเหงื่อเขาก็ไม่ได้ไหลโซมขนาดนี้ ตอนนี้เขากับเคียวตามมลไม่ทันแล้ว ถึงจะยังเห็นหลังไว ๆ ก็เถอะ กูณฑ์หันไปมองหน้าเคียวและรู้สึกสงสารเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็ดูเหนื่อยไม่แพ้กัน
"เจ้าบ้านั่นจะรีบไปถึงไหน" กูณฑ์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดูสิขนาดพวกเขาจะหมดแรงกันอยู่แล้ว อีกฝ่ายยังไม่แม้แต่จะชำเลืองตามอง
"หยุดสักทีสิ" กูณฑ์ตะโกน
มลชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันกลับมามอง
"มีอะไร" เขาถามเบื่อ ๆ
"จ้ำเอา จ้ำเอา ไม่รอใครเลยนะ" กูณฑ์แขวะ เขาหันไปมองเคียวที่ตอนนี้ดูหน้าซีดกว่าปกติ
มลถอนหายใจ ก่อนจะกลับเข้ามารวมกลุ่ม
"พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปอีกเล่า" มลถาม
"นายเป็นอะไรของนาย พาเดินซะขนาดนี้ คิดจะฆ่ากันหรือไง"
มลเลิกคิ้ว นึกขันท่าทีเหมือนเด็กของเด็กหนุ่มตรงหน้า อีกฝ่ายอายุมากกว่าเขาแท้ ๆ แต่กลับงอแงเหมือนเด็กทารก
"ถ้าเจ้าเหนื่อย ก็ขอพักก่อนก็ได้"
"ฉันไม่ได้เหนื่อย" กูณฑ์เถียง เขาไม่ยอมให้ไอ้เด็กนี่ดูถูกหรอก ถึงแม้ตอนที่พูดเขาจะหอบไปด้วยก็ตาม
"แต่" มลกระตุ้นให้อีกฝ่ายเล่าต่อ
"เคียวเหนื่อย" กูณฑ์ว่า แล้วเขาก็ไม่ได้โกหกเสียด้วย เคียวดูเหนื่อยกว่าเขาเสียอีก อาจเป็นเพราะภูตตนนี้ไม่ได้เดินมาเกือบร้อยปีแล้วก็ได้
มลยักไหล่คล้ายไม่ใส่ใจ "เหนื่อยแล้วอย่างไร"
คำพูดนี้ทำให้กูณฑ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ถ้าเป็นคนอื่นก็คงเป็นแค่ความเปรียบเฉย ๆ แต่กูณฑ์เป็นถึงร่างอวตารเทพอัคนี ดังนั้นเปลวไฟจึงลุกโหมขึ้นมาจริง ๆ ทว่ามลก็คล่องแคล่วสมกับเป็นศิษย์ของวโรดม เขาง้างธนูและยิงธนูเป็นน้ำออกมาเพื่อดับไฟ
"เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร" วิทยาธรน้อยโวยวาย
เคียวบีบมือกูณฑ์เพื่อเรียกสติ
"ใจเย็นก่อน" ภูตหนังสือกระซิบ
"นายพูดแบบนี้ได้ไง" กูณฑ์คำรามใส่มล "ถ้าเคียวเหนื่อยจนตายไป ใครจะรับผิดชอบ"
ทั้งมลและเคียวมองหน้ากัน ก่อนที่เคียวจะเอ่ยออกมาอย่างลังเลว่า
"เออ กูณฑ์ นายลืมไปหรือเปล่าว่าฉันตายไปแล้วนะ ฉันตายซ้ำตายซ้อนไม่ได้หรอก รู้ไหม"
กูณฑ์หันมาสบตากับคนที่ควรจะเป็นคู่ครองของเขาตั้งแต่ชาติปางก่อน
"นายรู้ได้ยังไง นายดูเหนื่อยมาก รู้ไหม"
"นายต่างหากที่เหนื่อย ฉันเป็นภูตนะ ฉันไม่ต้องกินอาหาร ไม่ต้องดื่มน้ำด้วยซ้ำ แต่นายนี่สิ ยังไม่ได้กินอะไรเลย ไม่หิวบ้างเหรอ"
กูณฑ์ส่ายหน้า เขาไม่ได้โกหก ความตื่นเต้นที่เกิดจากการออกเดินทางจากบ้าน แปลกดีที่เดี๋ยวนี้เขาเห็นว่าอาศรมเป็นบ้านของเขาไปแล้วทำเอาเขาไม่หิวหรือกระหายเลย
"ถึงยังไงฉันก็เป็นห่วงนายอยู่ดี" เด็กหนุ่มหัวไฟพูดอย่างดื้อดึง "ถึงนายจะไม่หิว ไม่กระหาย ก็ไม่ได้หมายความว่านายจะหมดพลังไม่ได้นี่"
เคียวยิ้มให้เขา ก่อนจะชูหนังสือขุมพลังขึ้น "ตราบใดที่ฉันมีเจ้านี่อยู่ ฉันไม่มีวันหมดพลังหรอก"
มลเริ่มไม่พอใจบทสนทนาของคนโตกว่าทั้งสอง เขารู้ว่ากูณฑ์รักเคียวมาก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ควรให้ความรักมาเปิดอุปสรรคต่อการทำภารกิจสิ ที่เขายังตัดใจไม่พาอุสามาด้วยเลย
"ถ้าเจ้าเป็นห่วงเขานัก ทำไมไม่อุ้มเขาไปเสียเล่า" มลประชด
ทว่ากูณฑ์กลับเห็นว่าเป็นความคิดที่ดีมาก เขาหันไปส่งสายตาซุกซนให้เคียว
"ว่าไง" เขาถามด้วยเสียงที่พยายามฟังดูเป็นผู้ใหญ่ "ให้ฉันอุ้มนายไหม"
เคียวอดจะยิ้มให้ความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ แน่ล่ะว่าหากดูจากภายนอกพวกเขาอายุเท่า ๆ กัน แต่ก่อนที่เคียวจะมาติดอยู่ในร่างนี้ เขาก็เริ่มทำงานแล้ว คนสมัยก่อนโตเร็วกว่าสมัยนี้เยอะ อายุแค่สิบห้าสิบหกก็เริ่มคิดถึงเรื่องมีครอบครัวแล้ว จะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง ไม่มุทะลุเหมือนกูณฑ์หรอก กูณฑ์อาจจะตัวสูงกว่าเขาก็จริง แต่ไม่ได้สูงมากพอที่จะอุ้มเขาเดินสักหน่อย บางทีเด็กหนุ่มคงอ่านนิยายประโลมโลกมากไปกระมัง ฉากพระเอกอุ้มคนรักอาจจะดูโรแมนติกในนิยาย แต่ถ้าให้กูณฑ์อุ้มเขาคงจะดูทุลักทุเลเหมือนลิงอุ้มแตงโมมากกว่า ถึงเคียวจะได้ชื่อว่าเป็นภูตหนังสือ แต่ตัวเขาไม่ได้เบาเหมือนกระดาษไปด้วยหรอกนะ น้ำหนักเขาก็คงพอฟัดพอเหวี่ยงกับกูณฑ์นั่นแหละ
"ว่ายังไง" กูณฑ์ถามย้ำ เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มอยู่ได้
"นายอุ้มฉันไม่ไหวหรอก" เคียวตอบ
กูณฑ์มีทีท่าขัดใจ "ป่านี้ก็เดินยากเป็นบ้า ถ้าเหาะได้ก็ดีสิ" ทันทีที่คำนั้นหลุดออกมาจากปาก เขาก็หันไปหาเคียวอย่างยินดี "ฉันจำได้ว่านายเหาะมารับฉัน ตอนที่ฉันเกือบตกน่ะ นายทำอย่างนั้นไม่ได้เหรอ จะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยไง"
สำหรับกูณฑ์แล้วเขายินดีให้เท้าอยู่บนพื้น เขาไม่อยากเสี่ยงอมลูกอมนั่นอีก แล้วมลก็คงไม่ยอมให้ลูกอมเขาอีกแล้วด้วย เขาสงสัยว่าทำไมมลไม่โยนทิ้งไปเสีย ถ้าเป็นเขาก็คงไม่อยากอมลูกอมที่เปื้อนน้ำลายของคนอื่น ถึงจะเช็ดออกแล้วก็เถอะ แต่เคียวไม่เหมือนกัน อีกฝ่ายเหาะได้อย่างอิสระ แล้วถ้าเหาะ.เท้าที่ใส่แต่รองเท้าแตะของเคียวก็จะไม่เป็นรอยด้วย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าภูตมีแผลได้หรือเปล่า แต่เขาก็ไม่อยากเสี่ยง
เคียวยิ้มแปลก ๆ "เหาะน่ะ ใช้พลังมากกว่าเดินอีก รู้ไหม" พลังที่ว่าไม่ใช่พลังกาย แต่เป็นพลังจิต เคียวไม่ใช่ภูตที่มีพลังมาก อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้แค้นใครมากพอ เขาแวบไปแวบมาไม่ได้ด้วยซ้ำ ส่วนวันที่เขาเหาะไปรับกูณฑ์ได้ก็เพราะปฏิกิริยาอัตโนมัติจากร่างกายที่ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเป็นอะไรไปต่างหาก
"ส่วนข้าฟังพวกเจ้าพลอดรักกัน เหนื่อยกว่าเดินทั้งวันเสียอีก" มลสอดเข้ามาอย่างอดรนทนไม่ได้ "ถ้าอยู่ในร่างมนุษย์ เจ้าแบกไม่ไหว ทำไมไม่กลับร่างหนังสือเสียเล่า เจ้าเป็นภูตหนังสือไม่ใช่หรือ"
อย่างน้อย ๆ ถ้าเคียวกลับไปอยู่ในร่างหนังสือ มลก็ไม่ต้องทนเห็นสายตาหวานชื่นที่ทั้งสองมองให้กัน และก็คงไปได้เร็วขึ้นด้วย เท่าที่เขาดูกูณฑ์เดินได้เร็วกว่านี้ แต่เพราะรักดึงขาไว้จึงเดินได้ช้ากว่าปกติ
"ความคิดดีนี่" กูณฑ์ยิ้มสดใสให้มล ก่อนหันไปทางเคียว "แปลงเลย"
เคียวถอนหายใจให้แก่ความเอาแต่ใจของเพื่อนมนุษย์ ก่อนจะรวมตัวเป็นหนึ่งกับหนังสือขุมพลังอีกครั้ง
กูณฑ์หยิบหนังสือขึ้นมาแนบอกด้านซ้ายให้ใกล้กับหัวใจที่สุด ก่อนจะหันไปทางมล
"ป้ะ ไปกันได้แล้ว"