ถึงแม้กูณฑ์จะสัญญากับเคียวว่าจะหาวิธีช่วย แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าชีวิตเด็กม.สามมีอะไรให้ทำมากกว่านั่งหาวิธีปล่อยผีให้เป็นอิสระ เขาต้องเรียนหนังสือตั้งแต่แปดโมงถึงสี่โมงเย็น แถมวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังต้องเรียนพิเศษต่ออีก
ตอนนี้กูณฑ์กำลังทำการบ้านวิชาคณิตอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เขาเขียนและลบอยู่หลายครั้ง ไม่แน่ใจว่าคำตอบที่ได้จะถูกหรือเปล่า
"ทำหน้าเครียดเชียว" แม่ทัก ขณะเอานมขึ้นมาให้ดื่ม "พักหน่อยไหม ลูก"
"วางไว้เลยครับแม่" กูณฑ์ว่า "ผมต้องแก้โจทย์นี้ให้เสร็จ"
"อย่านอนดึกนะ" แม่ย้ำอย่างเป็นห่วงก่อนออกไป
สุดท้ายกูณฑ์ก็ต้องยอมแพ้ นี่คงเป็นผลพวงที่ไม่ตั้งใจเรียนมาตลอดแน่ ๆ พอเขาพลิกหาดูว่าโจทย์นี้ต้องแก้ยังไง ก็เจอถ้อยคำบาดใจ
"เรื่ิงนี้นักเรียนคงได้เรียนไปแล้วสมัยมัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง ดังนั้นเราจึงจะไม่ขอพูดซ้ำ"
"เรียนไปแล้วตอนไหนวะ" กูณฑ์พึมพำ คนเขียนรู้ดีกว่าเขาที่เป็นคนเรียนเองเสียอีก แต่ต่อให้เรียนไปแล้วก็ลืมไม่ได้หรือไง กูณฑ์หยิบมือถือขึ้นมาพร้อมค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต แต่กูเกิ้ลก็ดูเหมือนไม่มีคำตอบ บางทีเขาควรจะไปหาหนังสือเรียนเก่า ๆ มาเปิดดู เขาลุกขึ้นออกจากห้องและไปที่ห้องเก็บของ
"นายคิดหาวิธีช่วยฉันได้แล้วเหรอ" เคียวทักอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นกูณฑ์
กูณฑ์ถอนหายใจ เขาลืมเจ้านี่ไปเสียสนิท
"ฉันจะมาหาหนังสือเรียน ฉันต้องทำการบ้าน"
"การบ้าน งานที่ครูสั่งให้มาทำที่บ้านน่ะหรอ"
"ใช่" กูณฑ์กระแทกเสียง
"ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลย ฉันช่วยนายทำก็ได้นะ"
กูณฑ์พ่นลมหายใจอย่างดูถูก ขนาดอีบุ๊คยังไม่รู้จักจะมาทำโจทย์เลขยาก ๆ ได้ยังไง
"นายทำไม่ได้หรอก" กูณฑ์บอกปัด ก่อนจะลงมือหาหนังสือต่อไป
"ดูถูก" เคียวว่า "ฉันเป็นภูตหนังสือเชียวนะ อย่างน้อย ๆ ฉันก็ช่วยนายหาได้ ฉันรู้จักหนังสือทุกเล่มในนี้เลยนะ"
"นายตอนนี้ไม่มีแขน ไม่มีขาด้วยซ้ำ" กูณฑ์พูดอย่างดูถูก "จะช่วยหาได้ยังไง"
ความจริงแล้วเขาก็รู้สึกหลอนอยู่เหมือนกันที่ต้องมาคุยกับหนังสือแบบนี้ ถึงจะมีคนพูดว่าหนังสือเป็นเพื่อนแก้เหงาก็เถอะ แต่ถ้ามีเพื่อนแบบนี้ กูณฑ์ขอเหงาต่อดีกว่า
"ให้ฉันงอกแขน งอกขาก็ได้" พอเคียวพูดจบ เขาก็งอกแขน งอกขาออกมา
กูณฑ์ตบเคียว เคียวร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่มันไม่ใช่ความผิดของเขานะ หนังสือพูดได้ เขาก็แทบจะรับไม่ได้อยู่แล้ว นี่ยังมางอกแขน งอกขาออกมาอีก
"เจ็บนะ"
"เห็นแล้วสยอง"
"ล้อเล่นนิดหน่อยเอง" เคียวว่า ก่อนจะเปลี่ยนร่างให้ดูคล้ายกับมนุษย์ "ตกลงนายจะให้ฉันช่วยไหม บอกหน่อยว่าเรื่องอะไร
ขืนไม่ยอมตอบ เจ้านี่คงกวนไม่เลิกแน่
"เรื่องพีทาโกรัส นายรู้เหรอ"
"พีทาโกรัสเป็นนักคณิตศาสตร์และนักปราชญ์ชาวกรีกโบราณ มีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณห้าร้อยเจ็ดสิบปีถึงประมาณสี่ร้อยเก้าสิบห้าปีก่อนคริสตกาล เป็นที่รู้จักในนามเจ้าของทฤษฎีบทพีทาโกรัส" เคียวท่องออกมา "ถูกไหม"
กูณฑ์ไม่รู้จะตอบยังไง ขนาดทฤษฎีเขายังจำไม่ได้ เขาจะไปจำประวัติคนคิดทฤษฎีได้ยังไง
"ว่าไง" เคียวถามย้ำ
"ฉันไม่รู้" กูณฑ์ว่า "อีกอย่างฉันไม่ได้อยากรู้ประวัติเขา ฉันอยากรู้ทฤษฎีที่เขาคิดต่างหาก"
"แล้วทำไมไม่บอก" เคียวพูดพลางกอดอก เสร็จแล้วเขาก็ร่ายยาวเรื่องทฤษฎีพีทาโกรัสให้กูณฑ์ฟัง
"นายรู้ได้ยังไง" กูณฑ์พูดอย่างไม่อยากเชื่อ ขนาดเขาไปเรียนยังจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้เลย แต่เจ้านี่กลับจำได้ น่าหมั่นไส้ชะมัด
"ก็ฉันบอกแล้วไงว่าเป็นภูตหนังสือ อะไรที่อยู่ในหนังสือ ฉันจำได้หมดแหละ" เคียวยืดอกอย่างภูมิใจ "ทฤษฎีนั่น ฉันอ่านไม่รู้กี่รอบแล้ว จะจำไม่ได้ได้ไง"
แววตาของกูณฑ์เป็นประกาย "งั้นฉันไม่หาแล้ว นายช่วยสอนการบ้านให้ฉันหน่อยสิ"
เคียวขมวดคิ้ว "นายจะให้อะไรตอบแทนฉันล่ะ"
ผีนี่เขี้ยวเหมือนกัน เห็นหน้าซื่อ ๆ ไม่คิดว่าจะมีมุมนี้ด้วย กูณฑ์ต้องระวังคำพูดให้ดี สัญญากับพวกผีนี่ไว้ใจได้ที่ไหน
"ว่าไงล่ะ" เคียวถามย้ำ
"นายอยากได้อะไรล่ะ" กูณฑ์ถาม
"นายบอกว่านายจะช่วยฉันให้ได้ไปเกิดใหม่ ไม่ใช่เหรอ" เคียวทวงสัญญา
"ก็ช่วงนี้มันยุ่ง ๆ น่ะ" กูณฑ์ว่า รู้สึกผิดนิดหน่อยเหมือนกัน
"งั้นฉันจะช่วยนายทำการบ้าน แต่นายต้องหาวิธีปลดปล่อยฉันนะ"
"ไม่ใช่แค่วันนี้นะ" กูณฑ์ต่อรอง "ช่วงนี้ฉันงานทับมาก ถ้าเคลียร์ไม่หมดก็คงไม่มีอารมณ์หาวิธีปล่อยนายหรอก"
"เอางั้นก็ได้"
หลังจากนั้นเคียวก็มาเป็นติวเตอร์ส่วนตัวของกูณฑ์ เขาคอยกระซิบอธิบายเนื้อหาต่าง ๆ ให้กูณฑ์ฟัง ทำให้ช่วงนี้กูณฑ์ทำแบบฝึกหัดทั้งที่โรงเรียนและบ้านได้ดีขึ้น จะไม่ดีได้ยังไง มีคนมาอธิบายเนื้อหาให้ฟังขนาดนี้ ตอนนี้กูณฑ์เลยพกหนังสือผีสิงไปทั่วจนดูเหมือนเด็กเนิร์ด
"น่าเสียดายที่ฉันเอานายเข้าห้องสอบไม่ได้" กูณฑ์ว่า เขาอยากให้เคียวเป็นภูตปากกาเหลือเกิน ห้องสอบไม่อนุญาตให้เอาหนังสืออะไรเข้าทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นหนังสือที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอบก็เถอะ
"อย่าทุจริตสิ" เคียวดุ
"ก็มันยากนี่" กูณฑ์งอแง
"ยากก็ต้องพยายาม รู้ไหม"
"ให้ตายสิ พูดมากชะมัด"
"ก็นายให้ฉันติวให้"
พวกเขาไม่รู้เลยว่าพ่อแม่กำลังปรึกษากันอย่างเป็นกังวลอยู่นอกห้อง
"ลูกเราช่วงนี้แปลก ๆ ไปนะคะ เรศ" วาสนาพูดกับสามี
"ยังไงล่ะ วาส"
วาสนากัดริมฝีปาก "เขาเหมือนจะพูดคนเดียวตลอดเวลา ฟังสิคะ"
"เขาอาจคุยโทรศัพท์กับเพื่อนก็ได้" วาเรศให้เหตุผล
"มันไม่ใช่แค่วันนี้นะคะ" วาสนาว่า "เขาพูดคนเดียวมาตั้งนานแล้ว แถมตอนนั้นก็ไม่ได้คุยมือถือด้วย ฉันว่าลูกอาจจะเครียดมากไปหรือเปล่าคะ เรากดดันลูกมากไปไหม"
วาเรศขมวดคิ้ว "สมัยนี้การแข่งขันมันสูงจริง ๆ ขนาดยังไม่เข้ามหา' ลัยนะ ผมว่าเดี๋ยววันอาทิตย์นี้เราไปเที่ยวกันดีกว่า เจ้ากูณฑ์จะได้พักผ่อนด้วย"
"กูณฑ์จะยอมไปเหรอคะ เห็นว่าวันจันทร์นี้มีสอบเก็บคะแนน" วาสนาว่า ตอนแรกเธอก็ดีใจอยู่หรอกที่ลูกหันมาตั้งใจเรียน แต่พฤติกรรมที่แปลกจนพลิกหน้ามือเป็นหลังมือทำให้เธอกังวลอยู่ไม่น้อย ไหนจะชอบแบกหนังสือไปไหนต่อไหน ไหนจะชอบพูดและหัวเราะคนเดียวอีก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอมั่นใจว่ากูณฑ์ต้องดีใจแน่ที่พ่อจะพาไปเที่ยว ก็งานของวาเรศยุ่งอยู่น้อยเมื่อไหร่ ขนาดจะมากินข้าวด้วยกันยังแทบไม่มีเวลา แต่ตอนนี้เธอไม่แน่ใจเสียแล้ว กูณฑ์เปลี่ยนไปมากจนดูเหมือนจะไม่ใช่ลูกชายคนเดิมของเธอเลย เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นก็จริง แต่เธอก็ยังกังวล
"เดี๋ยวผมไปคุยกับกูณฑ์เอง" วาเรศว่าพลางเคาะประตู "กูณฑ์ ขอพ่อเข้าไปนะ ลูก" บ้านหลังนี้ต้องเคาะประตูก่อนเข้าห้องส่วนตัวของคนอื่นเสมอ เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นห้องส่วนตัว
"แป๊บนะครับ พ่อ" กูณฑ์ตะโกนออกมา "นายรีบกลับไปเป็นหนังสือได้แล้ว" เขาพูดเบา ๆ กับเคียว
"ไม่อะ" เคียวว่า
"พ่อฉันจะเข้ามาแล้ว" กูณฑ์พูดอย่างร้อนรน
"ก็ให้เข้ามาสิ" เคียวว่าพลางแลบลิ้นใส่
"เดี๋ยวพ่อฉันก็จับนายถ่วงน้ำหรอก"
"ไม่กลัว"
กูณฑ์ถอนหายใจ เตือนแล้วไม่ฟัง เขาเปิดประตูออก
"ทำไมนานจังลูก" วาเรศถามด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่สายตาสอดส่องมองไปรอบห้อง
"เอ่อ ห้องมันรกน่ะครับ" กูณฑ์แก้ตัว
"ได้ข่าวว่าเรียนหนักเหรอ เรา" วาเรศถาม
"ก็ไม่หนักมากหรอกครับ พอได้อยู่"
"วันอาทิตย์นี้ไปเที่ยวกันไหม ลูก"
"วันจันทร์ผมมีสอบ" กูณฑ์ว่า ใจหนึ่งเขาก็อยากไปเที่ยว อีกใจก็อยากอ่านหนังสือทบทวนอีกรอบเพื่อความมั่นใจ
"พักวันเดียวไม่เป็นไรหรอก" วาเรศคะยั้นคะยอ
"พ่อนายพูดถูก" เคียวแทรกเข้ามา "ต่อให้นายไม่พัก ฉันก็จะพัก ไม่สอนหนังสือให้นายแล้ว"
"พูดมาก" กูณฑ์พูดอย่างลืมตัว
วาเรศคิ้วกระตุก ต่อให้อยากอยู่บ้านแค่ไหนก็ไม่ควรพูดคำนี้ออกมา เขาสูดหายใจลึก ๆ เพื่อคุมอารมณ์
"วันนี้ลูกคงอารมณ์ไม่ดี ไปเที่ยวสักหน่อยนะ ลูก"
"ขอโทษครับ" กูณฑ์ว่า พลางทำตาเขียวใส่ผีที่ตอนนี้แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนเขาอยู่ "แล้วพ่อจะพาผมไปไหนล่ะครับ"
"แล้วกูณฑ์อยากไปไหนล่ะ"
ปกติแล้วกูณฑ์คงเลือกไปเดินห้าง กินข้าว ดูหนัง แต่ตอนนี้เขาอยากกำจัดเจ้าผีกวนประสาทนี่ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
"สำนักหมอผีมีไหมครับ" กูณฑ์ถาม พลางส่งสายตาอาฆาตให้เคียวที่หน้าซีดลงทันที กูณฑ์ยิ้มเยาะในใจ สมน้ำหน้า เล่นกับใคร ไม่เล่น
"หมอผี" วาเรศทวนคำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ปกติลูกเขาแอนตี้ไสยศาสตร์จะตาย สงสัยเรียนหนักจนเบลอไปแล้วมั้ง
"ครับ" กูณฑ์ยืนยันหนักแน่น "ยิ่งเก่งยิ่งดี"
วาเรศใช้หลังมือแตะหน้าผากลูก "ตัวก็ไม่ร้อนนี่"
กูณฑ์ปัดมือพ่อออก "ผมไม่ได้ไม่สบายสักหน่อย"
"ก็เห็นลูกเพ้อก็นึกว่ามีไข้" วาเรศแซว
"โอ๊ย! พ่อ ผมแค่จะหาหมอผีเอง ไม่ได้เพ้อสักหน่อย" กูณฑ์ทำหน้าเง้าอย่างเด็กที่ถูกขัดใจ ตอนนี้เคียวเป็นฝ่ายกลั้นหัวเราะ
"แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงอยากหาหมอผีล่ะ" วาเรศถาม
"ก็ช่วงนี้ผมรู้สึกซวย ๆ ยังไงชอบกล เลยจะไปให้หมอดูหน่อยว่าผมมีวิญญาณตามหรือเปล่า ถ้ามีจะได้จับถ่วงน้ำเสียให้เข็ด" เขาจ้องเคียวที่กำลังหัวเราะอย่างมาดร้าย เคียวหุบปากฉับทันที
วาเรศคิ้วขมวด "พ่อไม่รู้จักสำนักอะไรพวกนี้หรอก น้อยมากจะเป็นของจริง ส่วนใหญ่ก็หลอกลวงกันทั้งนั้น พ่อว่าถ้าลูกไม่สบายใจ พ่อพาไปวัดดีกว่า"
"วัดเดี๋ยวนี้ก็หลอกลวง" กูณฑ์บ่น แม้เขาจะเป็นพุทธตามทะเบียนบ้าน แต่ก็ไม่ค่อยศรัทธาในตัวพระพุทธศาสนานัก เหตุเพราะมีคนใช้ศาสนาบังหน้าหากินอยู่ทุกวัน วัดเดี๋ยวนี้ก็เป็นพุทธพาณิชย์เสียเยอะ ทำทุกอย่างเพื่อหาเงินเข้าวัดโดยไม่สนใจศีลธรรม
"พูดอย่างนี้หลวงปู่ท่านจะน้อยใจเอานะ" วาเรศเตือน
"พ่อจะพาผมไปหาหลวงปู่เหรอครับ" กูณฑ์ถาม สีหน้าสดใสขึ้นมาทันที
หลวงปู่ที่ว่าเป็นปู่แท้ ๆ ของกูณฑ์ ท่านบวชตอนกูณฑ์ยังจำความไม่ได้เพื่อรับใช้พุทธศาสมานานแล้ว แต่โยมแม่ของท่านหรือทวดของกูณฑ์ต้องการให้ท่านแต่งงานมีครอบครัวเสียก่อน ท่านจึงมาแต่งกับคุณย่าและให้กำเนิดพ่อของกูณฑ์ พอแต่งแล้วท่านก็เกิดกิเลส เป็นห่วงลูกเมียจนตัดใจบวชไม่ได้ จนพ่อของกูณฑ์มีครอบครัวของตัวเอง ลงหลักปักฐานได้ ท่านจึงได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในที่สุด
ปู่เป็นหนึ่งในพระไม่กี่รูปที่กูณฑ์ไหว้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่เพราะท่านเป็นพระปฏิบัติที่วางตัวดี
"ผมจะไปหาหลวงปู่ครับ" กูณฑ์ว่า