เก้าปีต่อมา
ณ บริเวณใกล้หน้าผา ของป่าโปร่งนอกเมืองจิ่ว
ฮี้! ฮี้!...
ม้าพยศหนุ่มสองตัวส่งเสียงร้องดังด้วยอาการตื่นตระหนกตกใจ
กุบกับ กุบกับ...
แถมพวกมันยังกำลังควบฝีเท้าด้วยความเร็วอย่างบ้าคลั่ง และมุ่งตรงไปยังทิศทางด้านหน้าซึ่งมีผาสูงตั้งตระหง่านอยู่
"หยุด!..."
สตรีน้อยดวงหน้างดงามออกคำสั่งเสียงดังกับม้าพยศหนุ่มทั้งสองตัวพร้อมทั้งพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มี ดึงเชือกเส้นหนาในมือเข้าหาตัวอย่างขึงขังจนเห็นเส้นเลือดฟกเขียวขึ้นบนลำคอเรียวยาวระหง
เชือกคู่นี้ถูกผูกเทียมเชื่อมจากตัวเจ้าม้าทั้งสองเข้ากับรถม้าคันใหญ่หรูหราทางด้านหลัง โดยที่สตรีน้อยนั่งอยู่ตรงตำแหน่งของคนบังคับรถม้า และตอนนี้มันกำลังโคลงเคลงเหวี่ยงตัวไปมาอย่างแรงตลอดเวลา
สตรีน้อยรูปร่างอรชรผอมบางผู้นี้แต่งกายเหมือนหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป ดูแล้วไม่น่าจะใช่ยอดยุทธ์มาจากที่ไหน แต่สิ่งที่นางกำลังทำอยู่ในตอนนี้นั้นเกินความเป็นไปได้มากจริง ๆ
เม็ดเหงื่อเม็ดใหญ่จำนวนมากมายผุดขึ้นมาบนใบหน้า ไหลย้อยลงไปลำคอเรียวยาวระหง และตอนนี้ก็คงแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่แล้ว แต่นางยังคงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ พยายามดึงเชือกในมืออย่างขึงขังจริงจังเพื่อจะบังคับม้าให้หยุดควบฝีเท้า ก่อนที่พวกมันจะพากันตกหน้าผาไปตายกันหมด
เรี่ยวแรงที่เหลืออันน้อยนิดทำให้สตรีน้อยผู้นี้ไม่สามารถสู้แรงม้าหนุ่มพยศร่างกายกำยำทั้งสองตัวได้
แม้ว่าสตรีน้อยจะอยู่ในช่วงสถานการณ์วิกฤต และทั้งหมดรวมตรงนั้นกำลังจะร่วงตกลงไปในใต้เหวลึกทางด้านหน้า แถมฝ่ามือบางทั้งสองข้างก็เกิดรอยแดง และเริ่มมีแผลบาดลึกจนเลือดไหลซึมออกมาเนื่องจากการ เสียดสีของเชือก
แต่นางก็ยังคงกำมันไว้แน่น และยังไม่ยอมปล่อยมือจากเชือกคู่นั้นจนวินาทีสุดท้าย
"นี่เราจะต้องตายเพราะยุ่งเรื่องของชาวบ้านจริง ๆ งั้นรึ! ตาเฒ่า...ข้าขอโทษที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสองของท่านและขอโทษที่ไม่อาจจะอยู่ดูแลท่านได้ต่อไปแล้ว"
สตรีน้อยกล่าวขึ้นอย่างหมดหวัง ราวกับว่าได้ยอมรับในชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ทันใดนั้นเอง!
ในช่วงวินาทีเป็นตาย บุรุษรูปงามผู้หนึ่งก็ได้กระโดดขึ้นมานั่งบนรถม้าข้างตัวสตรีน้อย พร้อมกับคว้าหมับไปจับเชือกเส้นเดียวกับนางไว้และออกแรงดึงอย่างรวดเร็ว
สตรีน้อยหันขวับไปจ้องหน้าผู้ที่มาช่วยเหลืออย่างประหลาดใจ นางตะลึงในดวงหน้าอันหล่อเหลาและความกล้าหาญบ้าบิ่นของคนผู้นี้
'บุรุษผู้นี้เป็นผู้ใดกัน ทำไมเขาถึงได้อาจหาญไม่กลัวตายเยี่ยงนี้'
"นี่ท่าน!..." นางจดจำใบหน้าอันหล่อเหลาและดวงตาคมกริบคู่นี้ได้อย่างแม่นยำ
แม้ในช่วงเวลาอันน่าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ทว่าความสุนทรีจากรูปลักษณ์และดวงหน้าอันหล่อเหลาราวเทพบุตร ผนวกกับท่าทางองอาจสง่างามของบุรุษข้าง ๆ ทำให้นางเผลอลืมอันตรายตรงหน้าไปเสียชั่วครู่
แววตาอันดุดัน แข็งกร้าวและจริงจังของบุรุษรูปงามตรงหน้าที่กำลังจ้องถมึงทึงมา ได้เรียกสติของสตรีน้อยให้กลับคืนตัวอีกครั้ง
ทั้งสองจึงได้สามัคคีร่วมแรงร่วมใจช่วยกันดึงเชือกเส้นหนาในมืออย่างพร้อมเพรียง เพื่อบังคับและควบคุมม้าทั้งสองรวมทั้งรถม้าข้างหลังไม่ให้ตกลงไปยังหน้าผาด้านล่าง
แต่ทว่า...ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว
ครืด!...กึก กึก...
กึง กึง...
ตึง!
โครม!!!!
สุดท้ายแล้วทั้งรถม้าและคน ก็ได้ร่วงตกลงไปในก้นเหวลึกตรงหน้านั้นอย่างรวดเร็ว
นับว่าสวรรค์ยังมีตา และไม่แล้งน้ำใจเสียทีเดียว โชคดีที่บุรุษและสตรีได้ร่วงตกลงไปค้างอยู่ตรงชะแง่งของหน้าผา แต่ทั้งคู่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจนทำให้พวกเขาสลบไป ส่วนเจ้าม้าสองตัวนั้นโชคร้ายเกินไปจึงไม่อาจจะรอดพ้นชะตากรรมของพวกมันได้
เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงยามโหย่ว [1] เป็นช่วงอาทิตย์อัสดงสีแดงส้มปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
มินานความมืดก็ค่อย ๆ คลี่ขยายห่มผืนฟ้า
บุรุษรูปงามได้สติขึ้นมาก่อน และพอหันไปเห็นสตรีอีกคนยังคงสลบอยู่ไม่ห่างกันมากนัก เขาจึงรีบลุกเข้าไปหานางเพื่อตรวจสอบว่ายังปลอดภัยดีไหม
หลังจากที่เขาได้ช่วยห้ามเลือดบนบาดแผลตามร่างกาย รวมทั้งจุดที่สตรีน้อยผู้นี้ถูกคมของลูกศรธนูเล่นงานเข้าให้ก่อนหน้านี้
เพลาต่อมาประมาณสองจิบน้ำชา สตรีน้อยก็ได้เริ่มได้สติ เมื่อตื่นขึ้นและยังไม่ตาย แถมรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว แต่ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ ตนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายหนักยิ่งกว่าเดิม
[1] ยามโหย่ว (酉:yǒu) คือ 17.00 - 18.59 น.
สตรีน้อยจึงรีบสำรวจตามร่างกายของตัวเองและได้พบว่ามีคนช่วยทำแผลให้เรียบร้อย นางจึงเกิดความฉงนใจครู่หนึ่ง แต่พอนึกย้อนภาพเหตุการณ์ในหัว ก็จำได้ว่าตัวเองได้ตกลงมาใต้เหวลึกนี้พร้อมกับบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง
เมื่อสตรีน้อยนึกได้ดังนั้น ก็รีบหันขวับมองซ้ายแลขวาทันทีพลางเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ "บุรุษผู้นั่นล่ะ!"
"อุ๊ย!"
นางสะดุ้งตัวเล็กน้อย เมื่อเห็นบุรุษรูปงามนั่งอยู่ถัดไปทางด้านข้างเล็กน้อย และสภาพของเขาก็สะบักสะบอมบาดเจ็บตามร่างกายไม่แพ้กัน
"เจ้าชื่ออะไร" บุรุษรูปงามชิงเอ่ยถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ฟ่งหลันหลั่น..."
สตรีน้อยกล่าวยังไม่ทันจบประโยค เขาก็พูดแทรกสวนขึ้น ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาก็ฉายแววขุ่นเคืองออกมาให้เห็น
"เจ้าโง่หรือไร! เหตุใดถึงได้กล้าทำเรื่องบ้าบิ่นเสี่ยงตายเยี่ยงนี้ ทำไมไม่ยอมปล่อยมือจากเชือกนั่นซะ แค่ม้าสองตัวกับรถม้าหนึ่งคัน มันไม่คุ้มเลยที่เอาชีวิตตัวเองไปแลกแบบนั้น"
เขากล่าวถ้อยคำและวาจาแสนเย็นชา เชือดเฉือนอารมณ์คนฟังเป็นอย่างมาก
เมื่อเขามองดูจากอาภรณ์ที่สตรีผู้นี้สวมใส่ นางก็เหมือนหญิงสาวชาวบ้านทั่วไปแต่กลับทำอะไรโง่ ๆ และบ้าบิ่นเกินตัว แม้แต่บุรุษชายชาติทหารบางคน ยังไม่กล้าตัดสินใจเยี่ยงนี้
สตรีน้อยได้ฟังคำถามนั้นนางถึงเกือบสติขาดผึง ลืมความเจ็บปวดของบาดแผลที่มีในตอนนี้ทันที
นางลุกพรวดขึ้นยืนและเดินเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่าย พร้อมกับยืนเท้าสะเอวเบื้องหน้าบุรุษรูปงาม
ริมฝีปากบางเฉียบของสตรีน้อยเม้มเข้าหากันแน่นสนิทเหมือนฝาหอย พร้อมกับจ้องหน้าทำตาขวางใส่เขากลับอย่างไม่สบอารมณ์ และไม่มีท่าทีหวั่นเกรงเขาเลยสักนิดเดียว
"ท่านเป็นผู้ใดกัน! ถือดีอะไรมาต่อว่าข้าด้วยถ้อยคำถากถางเย็นชาเยี่ยงนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงม้าสองตัว แต่ก็รักชีวิตไม่ต่างจากคน ข้าทนเห็นพวกมันตกหน้าผาลงมาตายไม่ได้หรอก"
น้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาดชัดถ้อยชัดคำ รวมถึงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของสตรีผู้นี้ ทำให้บุรุษรูปงามตรงหน้าถึงกลับนิ่งอึ้งไป
ดวงตาดำของบุรุษรูปงาม มองสตรีน้อยแสนบ้าบิ่นผู้นี้ด้วยความสนเท่ห์ บนใบหน้าอันหล่อเหลานั้นคล้ายกับมีความคิดอะไรบางอย่าง
ครู่หนึ่งบุรุษรูปงามก็เผยยิ้มอ่อนขึ้นตรงมุมปากหนาเล็กน้อย แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ปฏิกิริยานั้นของเขา กลับยิ่งทำให้สตรีน้อยรู้สึกขุ่นเคืองใจและโมโหหนักขึ้นกว่าเดิม แต่นางก็ไม่ได้ได้กล่าวสิ่งใดกับเขาต่อเช่นกัน
เพราะสิ่งที่สำคัญสุดในเวลานี้ คือการหาทางขึ้นไปข้างบนปาก หน้าผาให้เร็วที่สุด ก่อนที่อาทิตย์อัสดงจะลาลับขอบฟ้าไป
...
เซียงไค 盛開
การสร้างสรรค์งานเป็นเรื่องยาก ส่งกําลังใจให้กันด้วยนะ!
มีความเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ใช่รึเปล่า คอมเมนต์มาได้เลยไรต์อยากฟัง
อ่านแล้วชอบไหม เพิ่มในคลังหนังสือเลยสิ!
Thank you so much. ^^ Xoxo