Télécharger l’application
55.55% Why can't teachers love each other? / Chapter 5: ช่วงแรกในพักกลางวันของวันแรก

Chapitre 5: ช่วงแรกในพักกลางวันของวันแรก

โรงเรียน ISS มี 6 คาบ คาบละ 50 นาที ในระหว่างทุกคาบจะพัก 10 นาที และพักเที่ยงอีก 1 ชั่วโมง 20 นาที เริ่มเรียนตอน 9 โมงเช้า และเลิกเรียนตอน 4 โมงเย็น เพราะฉะนั้นสมองไอน์สไตน์ของผมคำนวณมาให้ผู้อ่านทุกท่านแล้วว่าตอนนี้เป็นเวลา 11:50 ซึ่งจะจบคาบที่ 3 พอดี ต่อไปก็คือพักเที่ยงนั้นเอง ดังนั้นนักเรียนทุกคนจะต้องไปที่โรงอาหารเพื่อกินข้าวกลางวันกันส่วนพวกครูจะไปกินกันที่ไหนก็ได้ในโรงเรียน ซึ่งในโรงเรียนของเรามีห้างสรรพสินค้าด้วย! ไม่สิ ก็ไม่เชิงว่าเป็นห้างสรรพสินค้าเพราะว่าที่นั้นมีขายแต่พวกอุปกรณ์การเรียน เช่น ร้านเครื่องเขียน ร้านเสื้อผ้านักเรียน ร้านอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ร้านหนังสือ นักเรียนที่ขาดอุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน หรือหาซื้อเสื้อผ้าไม่ได้ก็จะมาซื้อที่ห้างฯนี้กันทั้งนั้นซึ่งผมชอบมาเดินห้างฯของที่นี่มาก เพราะอะไรน่ะหรอ? เพราะว่าที่ห้างนี้มีร้านหนังสือยังไงล่ะ! แถมเป็นร้านใหญ่ซะด้วย อย่างที่ผมบอกไปว่าผมเป็นโอตาคุซึ่งผมชอบอ่านนิยายมาก ดังนั้นผมจะมาหาซื้อนิยายออกใหม่ในร้านหนังสือที่ห้างฯนี้จนผมกลายเป็นลูกค้าประจำของที่นั้น และที่ห้างฯนี้ก็ยังมีร้านอาหารขายอีกด้วย ตอนกลางวันผมจะมากินอาหารที่นี่พร้อมกับเอ็มเพื่อนรักของผมเสมอ

ณ ตอนนี้เป็นเวลา 11:50 เป็นเวลาพักกลางวันพอดีดังนั้นผมก็ตั้งใจจะชวนไอเอ็มไปกินข้าวที่ห้างฯนั้นอีกเช่นเคย

"เห้ย! ไอ้เอ็มไปกินข้าวกัน"

"โทษทีวะ พอดีแฟนกูชวนก่อนแล้วอะ"

"หึ! ใช่สิ กูมันแค่ตัวสำรองตอนมึงไม่ได้กินข้าวกับแฟนหนิ"

"อืม ก็ใช่"

"เอ้า..."

"เอ้า อะไรของมึงก็กูบอกแล้วไงว่ามึงมันเป็นแค่ตัวสำรอง"

"อะเฮือกก!"

"มึงไปกับใครเขาก็คิดแค่ว่ามึงเป็นตัวสำรองเท่านั้นแหละมึงไม่มีทางสู้ตัวจริงของเขาได้หรอก ทำใจซะเถอะ"

"ซ้ำทุกดอกแล้วบอกเพื่อนรัก!"

"งั้นไปละนะ ไอตัวสำรอง"

"ตัวสำรองก็มีหัวใจนะเว้ย!"

เอ็มพูดกับต้นเสร็จก็รีบเปิดประตูห้องพักครูแล้ววิ่งออกไปเพื่อที่จะไปหาแฟนของเขา

ต้นได้แต่ยืนน้ำตาซึมดูเอ็มค่อย ๆ วิ่งจากไปจากเขา ในตอนนั้นเขาคิดว่าเขาจะต้องได้ไปกินข้าวกลางวันคนเดียวแน่ ๆ แต่แล้วเธอก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพักครู

'นั้นคุณลิลลี่นี่นา...จริงสิ ต้องชวนคุณลิลลี่ไปด้วยให้ได้!!'

จากที่ต้นกำลังจะได้ไปกินข้าวกลางวันแบบสบาย ๆ กลับพาตัวเองเข้าสู่สมรภูมิอันดุเดือดที่ไม่ได้แย่งกันคว้าที่หนึ่ง แต่แย่งกันคว้าที่นั่งข้าง ๆ ลิลลี่ แน่นอนว่าก็มีทั้งพวกผู้ชายและผู้หญิงที่มารุมล้อมเธอเอาไว้แล้วชวนเธอไปกินข้าวอย่างขะมักเขม้น

ผมต้องใช้ความพยายามทั้งหมดในหัวใจเพื่อที่จะชวนเธอไปกินข้าวกับผมให้ได้ ผมใช้วิธีแหวกว่ายเข้าไปในฝูงชน

ผมเริ่มเห็นตัวเธอแล้ว และผมก็กำลังจะเอ่ยปากชวนเธอ แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงอีกเสียงนึงแทรกเสียงของผมที่กำลังจะพูดทันที

"คุณลิลลี่..."

"มิสลิลลี่ครับสนใจไปทานข้าวกลางวันด้วยกันกับผมไหมครับ"

ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาชวนลิลลี่ไปกินข้าวด้วยกัน ในขณะที่เขาเดินเข้าไปหาลิลลี่ฝูงชนก็แหวกให้เขาเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ไม่เหมือนผมเลยสักนิด

"ผมอยากจะพาคุณเดินดูรอบ ๆ โรงเรียนด้วยดังนั้นผมเลยอยากจะชวนคุณไปทานเป็นเพื่อนเลยน่ะครับ"

ชายผมสีดำไม่ยาวมาก รูปร่างสูง หุ่นดี ตัวผ่อม หน้าตาหล่อเหลาในแบบของชายชาตรีจนผู้หญิงทุกคนต้องหลงใหลในหน้าตาของเขา แต่ผมแค่ดูใบหน้าของเขาก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่เจ้าเล่ห์และมีเล่ห์เหลี่ยมเยอะมาก เขาชื่อว่า ปราฆาต โบลีน ตอนผมเจอกับเขาครั้งแรกผมก็คิดว่าเขาเป็นคนที่ผมรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยเป็นอย่างมาก

เมื่อเขาพูดตัดหน้าผม ผมเลยหันไปมองหน้าของเขาด้วยความโมโห เขาก็หันกลับมามองหน้าผมแล้วยิ้มที่มุมปากเพื่อที่จะเยาะเย้ยผม

"เห้ย โบอันผมกำลังจะชวนเธอก่อนนะ"

"หืม มีอะไรงั้นเหรอครับ? ผมก็แค่เอ่ยปากชวนสุภาพสตรีที่สวยเหมือนดอกกุหลาบบานผู้นี้ไปทานข้าวด้วยกันกับผมแค่นั้นเอง"

เมื่อเขาพูดประโยคนั้นจบ พวกครูผู้หญิงที่เหลืออยู่ในห้องพักครูก็ต่างทำท่าเขิน กรี๊ดกร๊าด แล้วก็จิ้นกันไปต่าง ๆ นา ๆ แน่นอนว่าผมไม่ยอมแน่ ๆ เลยกำลังจะพูดสวนกลับไป

"เห้ย โบอัน..."

"นี่ ๆ โบอันกับต้นก็ตัดสินกันด้วยการแข่งกันสิ"

"ใช่ ๆ แบบนั้นจะสนุกกว่าเยอะเลยละ!"

'โดนขัดอีกแล้วว ฮืออ'

ผมโดนขัดบ่อยมาก ๆ จนทำได้แค่บ่น และร้องไห้ในใจ แต่ไม่เป็นไร ถ้าเล่นเกมชนะแล้วทำให้ได้ไปกินข้าวกับคุณลิลลี่ละก็ผมยอม!

"งั้นแข่งอะไรกันดีละ"

"อืม...วิ่ง?"

"มันใช่ที่วิ่งไหม?"

"ว่ายน้ำ?"

"เหมือนว่ายได้อะ"

"ปีนผา?"

"ได้แค่ปืนโต๊ะเท่านั้นแหละ!"

"แข่งกินจุ?"

"พวกเขาแข่งกันเพื่อจะไปกินข้าว!"

"แข่งกระโดดไกล?"

"ตั้งแต่วิ่งละ คิดว่าที่นี่คือสนามบอลไม่ก็ลู่วิ่งรึไง!"

"แข่งพูดชื่อประเทศ?"

"แข่งเสร็จหมดพักละม๊าง! ของ่ายกว่านี้"

"แข่งโยนขวด?"

"มันง่ายตรงไหน!"

"งั้น...เป่ายิ้งฉุบ!"

"แล้วทำไมอันที่เบสิคที่สุดถึงคิดได้เป็นอันสุดท้ายฟะ!"

สรุปก็คือพวกเราจะเป่ายิ้งฉุบกันเพื่อตัดสินกันสักทีว่าใครจะได้ไปนั่งกินข้าวกับลิลลี่

"เฮ้อ ก็ได้ครับแต่ถ้าแพ้แล้วอย่าพาลก็แล้วกันนะครับ ต้น"

"เออ ยังไงผมก็ไม่แพ้คุณหรอก โบอัน!"

ผมกับโบอันปะทะฝีปากกันก่อนที่จะเริ่มเกมเป่ายิ้งฉุบกัน

"เอาล่ะนะ โบอัน!!!"

"เออ ไอต้น!!!"

"หนึ่ง สอง ซั่ม!!!"

การแข่งขันนี้กลายเป็นเหมือนการแข่งขันชิงแชมป์โลกสาขาการเป่ายิ้งฉุบ สถานการณ์ในตอนนี้ตกอยู่ในความระทึก และตึงเครียดขั้นสุด ทั้งจังหวะการรุกและรับของทั้งสองฝ่ายต่างสูสีกันเป็นอย่างมาก จนในที่สุดก็มาถึงช่วงท้ายของการแข่งขัน ทั้งคู่ได้ต่อสู้กันอย่างสูสีและดุเดือดเลือดพล่าน จนกระทั่งในที่สุดการแข่งขันที่ดุเดือดสุด ๆ ก็ได้ดึงให้พวกเขางัดเอาท่าไม้ตายออกมาอย่างไม่มีทางเลือก

ทั้งคู่ตะโกนเสียงดังพร้อมกันว่า...

"นางเงือกน้อย ตบบน ตบล่าง ตบหน้า ตบหลัง ตอบพร้อมๆ กัน...ONE TWO THREE FOUR FIVE SIX SEVEN EIGHT NINE TEN TEN TEN เยายิงเยาปั๊กกะเป้ายิ้งงงงงงงง....ฉุบ!!!!"

เมื่อพูดคำว่า ฉุบ พวกเราก็เหวี่ยงมือลงมาว่าดูว่าใครจะชนะในเกมนี้ ปรากฏว่าโบอัน ออกกระดาษ ส่วนผมออก ค้อน เป็นอันว่าผมแพ้ ผมได้แต่ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ของผม เพราะว่าผมได้เล่นเกมแพ้โบอันไปซะแล้ว ดังนั้นผมจึงต้องทำตามกฏของผู้แพ้

'เฮ้อ แพ้ซะงั้นช่วยไม่ได้ ยอมปล่อยให้คุณลิลลี่ไปกับไอโบ...'

ผมคิดในใจพร้อมกับมองหน้าคุณลิลลี่ไปด้วย ผมเห็นสีหน้าของเธอแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ เป็นความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก สีหน้าของคุณลิลลี่ตอนที่เธอรู้ว่าจะต้องไปกับโบอัน เป็นสีหน้าที่เศร้าสร้อยเหมือนจะร้องไห้ บนหน้าของคุณลิลลี่มีแต่ความผิดหวังกับความสมเพชในตัวผม ผมคิดว่าเธอคงคิดแบบนั้นในใจ

"หึ ๆ ในที่สุดก็ได้ 'ของรางวัล' มาแล้ว เอาล่ะครับมิสลิลลี่พวกเราไปกันเถอะ"

เมื่อโบอันพูดจบและกำลังจะจับมือของลิลลี่เพื่อจูงเธอออกไป ก็มีมืออีกมือหนึ่งมาจับมือของลิลลี่เสียก่อน

มือข้างนั้นก็คือมือของต้นนั้นเอง โบอันที่เห็นเหตุการณ์นี้เลยโมโหและกำลังจะต่อว่าติน แต่แล้วตินก็ตะคอกเสียงดังใส่โบอันที่ยืนอยู่ข้างหน้าจนทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมถึงคุณลิลลี่ก็อึ้งไปตาม ๆ กัน

"เห้ย เมื่อกี้แกเรียกคุณลิลลี่ว่าไงนะ?"

"อะไรของคุณเนี่ย ก็ผมได้ 'ของรางวัล' มา..."

"ของรางวัลบ้าบออะไร!"

"นี่แกเห็นผู้หญิงเป็นแค่ของรางวัลงั้นเหรอ?!"

"..."

ตอนนี้ต้นโกรธอย่างหนักเพราะว่าคำที่ใช้เรียกคู่หูที่ทำงานด้วยกันกับเขาเป็นคำที่ไม่ให้เกียรติคู่หูของเขาเลยสักนิด สีหน้าของต้นในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะโกรธจัดจนมีสามารถเห็นเส้นเลือดที่ขึ้นมาบนหน้าผากของเขา

"นี่ต้นไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลยก็ได้นี่นา"

"ใช่ ๆ ก็แค่เรียกกันขำ ๆ เอง"

"แยกระหว่างเล่นกับความจริงให้ออกสิ"

คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็รีบพูดแก้สถานการณ์ในทันที เพื่อไม่ให้มีเรื่องชกต่อยกันเกิดขึ้น แต่มันกลับทำให้ต้นโกรธมากกว่าเดิมเสียอีก

ต้นรู้ว่าถ้าโกรธหรือโมโหไปมากกว่านี้ก็ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้บวกกับไม่อยากมีเรื่องอะไรมากมายเลยพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองและค่อย ๆ พูดออกมา

"ถึงจะพูดกันเล่น ๆ ก็เถอะ แต่ก็ไม่ควรพูดคำที่ไม่ให้เกียรติคนอื่นออกมานะ"

"ไม่ให้เกียรติตรงไหนวะ?"

"นั้นดิวะ"

ดูเหมือนว่าปรอทความโกรธของต้นจะทะลุจนแตกซะแล้ว ต้นทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเลยสวนกลับไปสองสามประโยคทำเอาคนทั้งห้องพักครูเงียบไปตาม ๆ กัน

"รู้ไหมทำไมผมถึงไม่เล่นตุ๊กตาบาร์บี้"

"โอ้วใจเย็นลงแล้วหรอ? เอ่อ...เพราะมันจะดูตุ๊ดไง ใช่ไหมละ ฮ่า ๆ ๆ"

"ผิดแล้วครับ เพราะว่าผมไม่เคยเห็นผู้หญิงเป็นของเล่นเลยต่างหาก"

ประโยคที่ต้นพูดทำเอาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเป็นใบ้ พูดอะไรไม่ออกกันเลยทีเดียว

"ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งของ การให้เกียรติผู้หญิงคือมารยาทพื้นฐานของผู้ชาย แล้วนายละโบอัน? นายเป็นผู้ชายหรือเปล่า?"

ต้นพูดด้วยสีหน้านิ่ง ๆ แต่ในดวงตาของเขาเหมือนมีไฟโลกันตร์เผาอยู่เหมือน โบอันถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาได้แต่ก้มหน้ากัดฟันรับคำถามที่ต้นยิงมาที่เขาด้วยความอับอายในเรื่องที่เขาไม่ได้ให้เกียรติผู้หญิงจริง ๆ

ลิลลี่ได้ยินประโยคนั้นก็ได้เปลี่ยนจากสีหน้าที่เศร้าสร้อยและกังวล กลายเป็นสีหน้าที่ฉีกยิ้มแก้มแดงออกมานิด ๆ ผู้ที่รายล้อมอยู่ก็เริ่มไปคนก็เริ่ม

เมื่อผมพูดสั่งสอนพวกนั้นเสร็จก็จับมือคุณลิลลี่และกำลังจะเดินออกมาจากห้องพักครู ทันใดนั้นโบอันก็ได้พูดออกมา

"หึ เป็นแค่ไอคนไม่มี 'สกุล' แท้ ๆ"

ลิลลี่เมื่อได้ยินประโยคนั้นก็รู้สึกงงกับคำพูดของโบอัน แต่ต้นไม่สนใจคำพูดขอเขาแล้วเดินจูงมือคุณลิลลี่ออกมาจากห้องพักครู

'ไอต้นคอยดูเถอะ ฉันจะแย่งและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่นายมี ถ้านายมีความสุขฉันจะเป็นความทุกข์ของนาย ถ้านายมีความทุกข์ฉันจะไม่ให้ความสุขเข้ามาหานายเอง ฉันยังจำสิ่งที่นายทำไว้ได้ดีเลยละไอขี้แพ้ที่พล่ามแต่เรื่องลูกผู้ชายเอ้ย!'

โบอันมองไปที่แผ่นหลังของทั้งคู่ด้วยสายตาที่คับแค้นในใจ แล้วคิดในใจหลังจากที่ต้นกับลิลลี่เปิดประตูออกจากห้องพักครูไป

.

.

.

ในระหว่างทางเดินไปที่ป้ายรถเมล์ของโรงเรียน

'แสงแดดในตอนกลางวันของวันนี้มันช่างจ้าซะเหลือเกิน! ร้อนก็ร้อนดีนะที่ป้ายรถเมล์อยู่ใกล้ ๆ'

โรงเรียน ISS แห่งนี้มีพื้นที่กว้างมาก ซึ่งพวกเราคงไม่เดินให้เสียพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งหรอก เพราะใครห่างระหว่างตึกของที่นี่ก็ไม่ใช่น้อย ดังนั้นโรงเรียนจึงให้มีรถเมล์มารับ-ส่งผู้โดยสารได้ แถมยังฟรีอีกด้วย

"Where are we going?"

[คำแปล : เราจะไปที่ไหนกันหรอคะ]

"อ้อ ไปที่ห้างฯที่อยู่ในโรงเรียนนี้น่ะครับ"

"Oh!, does this school have a mall?"

[คำแปล : โอ้! ที่โรงเรียนนี้มีห้างด้วยหรอคะ]

"อื้ม ใช่แล้วครับ"

ผมตัดสินใจไม่พูดภาษาอังกฤษเพราะว่าดูจากการสนทนาตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงเมื่อกี้ผมเดาว่าคุณลิลลี่น่าจะฟังภาษาไทยออกบางคำแต่พูดภาษาไทยออกมาไม่ได้ ก็คล้าย ๆ กับผมที่ฟังภาษาอังกฤษออกแต่พูดไม่รู้เรื่องนั้นแหละ เพราะฉะนั้นผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี

ผมกับคุณลิลลี่เดินตรงไปที่ป้ายรถเมย์ ในระหว่างนั้นผมก็เกิดอยากมองหน้าคนลิลลี่ขึ้นมาผมเลยหันไปมองหน้าคุณลิลลี่ ผมพบว่าคุณลิลลี่กำลังทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดหรือสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ ผมเลยถามคุณลิลลี่ไปว่า...

"มีอะไรที่สงสัยอยู่หรือเปล่าครับ?"

"Hey Tin, Who is that person with bad looking glasses?"

[คำแปล : นี่ติน คนใส่แว่นที่หน้าตาไม่ดีคนนั้นเป็นใครหรอ]

"อา นั้นสินะครับ...จะพูดว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ เป็นศัตรูก็ไม่เชิงน่ะครับ"

"What do you mean?"

[คำแปล : หมายความว่ายังไงหรอ?]

"สมัยก่อนพวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันครับ แต่อยู่มาวันหนึ่งโบอันก็เริ่มเปลี่ยนไป เขาเริ่มตีตัวออกห่างจากผมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพวกเราเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผมไม่ได้เจอกับเขาตั้งแต่จบม.6จนกระทั่งตั้งแต่ตอนผมมาทำงานเป็นครูที่โรงเรียนแห่งนี้ผมก็ได้เจอกับเขาอีกครั้ง แต่เขาก็เริ่มทำตัวเป็นศัตรูกับผมตั้งแต่ผมกับเขาไม่ได้เจอกันมานาน"

"Oh, Do you feel bad about losing an important friend?"

[คำแปล : โอ้ นายรู้สึกแย่มากใช่ไหมที่เสียเพื่อนคนสำคัญไป]

"อืม ก็ใช่นะครับ แต่ผมมีสิ่งที่สำคัญกว่าอยู่แล้วน่ะครับ เลยไม่ค่อยมีผลกระทบอะไรเท่าไหร่"

"Your heart is really strong!"

[คำแปล : หัวใจของคุณช่างแข็งแกร่งจริง ๆ]

"ไม่หรอกครับ ฮ่า ๆ ๆ"

ผมฟังที่คุณลิลลี่พูดก็ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ขึ้นมา ทำให้ผมตระหนักได้ว่าตัวผมเองช่างเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ยอมให้คนอื่นมาทำตัวหน้ารังเกียจใส่ตัวเองโดยที่ผมไม่คิดที่จะตอบโต้เขาเลยแม้แต่นิดเดียว

'ผมนี่มันเป็นแค่ไอ้ขี้แพ้จริง ๆ'

ลิลลี่เหลือบไปหันสีหน้าที่เศร้าสร้อยและหดหู่ของต้นพอดีทำให้เธอรู้ว่าต้นกำลังคิดอะไรอยู่ภายในใจ เธอเห็นดังนั้นจึงอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะทำให้ต้นได้ยิ้มออกมา ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะเล่นมุกที่ฝรั่งใช้เล่นกัน

"I always have trouble remembering three things: faces, names, and... I can't remember what the third thing is."

[คำแปล : ฉันมีปัญหากับการจำของสามอย่าง ใบหน้าผู้คน ชื่อของพวกเขา และก็... ฉันจำไม่ได้ละว่าอย่างที่สามคืออะไร]

"อา ฮ่า ฮ่า..."

หลังจากที่ต้นได้ยินที่ลิลลี่พูดใบหน้าของเขาถึงกับกลายเป็นรูปเครื่องหมาย ปรัศนี(?) เลยทีเดียว ต้นไม่ได้ไม่เข้าใจมุกที่ลิลลี่เล่นแต่เขาไม่มีอารมณ์ขันเลยแม้แต่นิดเดียว ต้นไม่รู้จะทำยังไงเลยฝืนหัวเราะออกมา

ลิลลี่ได้ยินและเห็นดังนั้นก็รู้สึกโกรธต้นนิด ๆ เลยเดาะลิ้นเสียงเบาแล้วพูดออกไปแบบเสียงดังฟังชัดว่า

"นี่ติน นายเป็นแค่คนขี้แพ้งั้นหรอ?"

ต้นได้ยินที่ลิลลี่พูดถึงกับตบหน้าตัวเอง หยิกแก้มตัวเองทั้งสองข้าง แล้วหันกลับไปหาคุณลิลลี่อีกครั้งด้วยสีหน้าที่มึนงงแล้วพูดตอบกลับไปว่า "เอ๊ะ!?"

"นายคิดว่าสิ่งที่นายทำเมื่อกี้มันผิดหรอ?"

"เอ๊ะ!?"

"นี่ฟังให้ดีนะ ถ้าเราอยากปกป้องคนที่เราอยากปกป้องมันผิดงั้นหรอ? นายไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ มั่นใจในตัวเองให้มากกว่านี้สิตาบ้า!"

ลิลลี่พูดกับต้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะโกรธแต่ใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำ คิ้วขมวด เม้มปาก ตามองตรงมาที่ผม

ผมได้ยินอย่างนั้น ความรู้สึกสมเพชในตัวเองของผมก็หายไปในทันทีเหมือนคำพูดของคุณลิลลี่ดันมันออกไปจากตัวผมจนหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหลงเหลือในตัวผมอยู่ดี ผมไม่กล้ามองหน้าคุณลิลลี่เลยก้มหน้าลงแล้วมองลงไปที่พื้นแล้วพูด

"แต่ผม...แพ้นะ"

"แพ้ชนะก็ไม่เกี่ยวกันค่ะ ถึงต้นจะแพ้ยังไงฉันก็ตั้งใจจะไปกินข้าวกลางวันกับคุณอยู่แล้วละค่ะ"

พอคุณลิลลี่พูดประโยคนั้นจบทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยาหัวใจจากคำพูด ผมเลยเงยหน้าขึ้นมาได้โดยอัตโนมัติ ผมเห็นคุณลิลลี่กำลังยิ้มอย่างเบิกบานให้ผมอยู่

'ตูนี่มันเป็นไอโง่จริง ๆ เลยนะเนี่ย'

ผมรู้สึกได้ใจเลยถามคุณลิลลี่ไปด้วยความมั่นใจว่า

"งั้น ตอนที่ผมปกป้องคุณ คุณคิดยังไงกับผมหรอครับ"

เมื่อลิลลี่ได้ยินคำถามก็ทำสีหน้าตกใจนิด ๆ สักพักใบหูและหน้าของเธอก็แดงในลักษณะที่กำลังเขินอายเธอเลยดึงชายเสื้อขึ้นมาปิดหน้าครึ่งล่างตรงปากของเธอแล้วพูดว่า

"คะ...โครตเท่เลยค่ะ"

ผมเขินตัวบิดลงไปนอนกับพื้นแล้วดิ้นไปดิ้นมาเหมือนปลาที่หาอากาศหายใจตอนที่ชาวประมงจับขึ้นมาแล้วจนทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว

"งะ...งั้นพวกเราไปกันต่อเถอะครับ" ต้นพูดด้วยสีหน้าที่เขินอาย

"อะ โอเค" ลิลลี่พูดด้วยสีหน้าที่เขินอายเหมือนกัน

ต้นกับลิลลี่ก็เดินไปตามทางที่กำลังจะไปยังป้ายรถเมล์ ทั้งสองคนหน้าแดงพูดอะไรไม่ออกกันไปสักพักใหญ่จนทั้งคู่ไปถึงป้ายรถเมล

ทั้งคู่ไปยืนรอใต้ที่หลบแดดของป้ายรถเมล์และก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อย สักพักผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า คุณลิลลี่พูดภาษาไทยใส่ผมนี่หว่า เลยลองถามเธอไป

"ว่าแต่คุณลิลลี่นี่พูดภาษาไทยได้หรอครับเนี่ย"

"อื้ม! ใช่แล้วละ"

"แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรกละครับ..."

"ความลับจ๊ะ"

ลิลลี่พูดพร้อมกับเอามือข้างขวาขึ้นมาแล้วชูนิ้วชี้นิ้วเดียวแล้วเอานิ้วชี้แนบกับริมฝีปากของเธอไว้

"งั้น...ขอถามอะไรอีกสักอย่างได้ไหมครับ"

"ว่ามาเลย!"

"เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าครับ?"

เธออึ้งกับคำถามผมไปสักพักหนึ่งแล้วเธอจึงตอบกลับมา

"จำฉันได้ด้วยหรอ...ติน"

สีหน้าเธอให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังหวั่งให้ผมจำเธอได้แบบสุดหัวใจ ผมยืนนึกย้อนกลับไปในอดีตแต่ผมนึกตั้งนานก็นึกไม่ออกสักที

ผมกำลังจะตอบกลับไปว่า "ผมจำไม่ได้จริง ๆ ครับ" เลยมองไปที่หน้าของคุณลิลลี่เพื่อที่จะตอบคำถาม แต่ใบหน้าที่เปล่งประกายและเต็มไปด้วยความคาดหวังก็เหมือนจะทำให้ผมนึกอะไรออก ความทรงจำของผมมันคลุ่มเครือมาก ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าผมกับคุณลิลลี่เคยเจอกันมาก่อนแน่ ๆ แต่สถานที่ที่เจอนี่สิ ผมนึกยังไงก็นึกไม่ออก

ในระหว่างที่ผมกำลังยืนรอรถเมล์แล้วครุ่นคิดเรื่องอดีตอยู่นั้นก็มีนักเรียนหญิงเดินมาทักผมจากข้างหลัง

"สวัสดีค่ะ มาสเตอร์ต้น"

เมื่อผมได้ยินเสียงของเด็กผู้หญิงดังมาจากข้างหลัง เซ็นเซอร์เครื่อตรวจจับผู้หญิงของผมก็ทำงานในทันที ผมรีบหันหน้าไปข้างหลังแทบจะในทันทีที่ผมได้ยินเสียงมา

ผมหญิงใส่ชุดนักเรียนผมสีดำยาวสลวย ใบหน้าที่สวยงามกับหุ่นที่ดีอย่างกับถอดแบบมาจากนางแบบในที่ถ่ายแบบในนิตยสารชื่อดัง กริยาที่ดูเรียบร้อยอย่างกับคุณหนูจากตระกูลชื่อดังที่ถูกสั่งสอนเรื่องมารยาทมาอย่างดี ทุกอย่างที่ผมเห็นทำให้ผมจำเธอได้ในทันที

"อ้าว หวัดดีประธานนักเรียน"

"สวัสดีค่ะ"

เธอทักทายพร้อมกับยิ้มให้ผมอย่างเป็นธรรมชาติ

สักพักเธอเหลือบตาไปเห็นคุณลิลลี่ จึงยิ้มทักทายอีกครั้ง

"สวัสดีค่ะมิสลิลลี่ ได้สอนคู่กับมาสเตอร์ต้นเป็นยังไงบ้างคะ"

"อื้ม! ดีมากเลยละ ขอบคุณที่ทำตามคำขอของฉันนะ"

"เอ๊ะ? ทั้งสองคนรู้จักกันหรอครับ"

"หนูเป็นประธานนักเรียนก็ต้องรู้เรื่องรอบตัวดีอยู่แล้วสิคะ"

"แต่ถึงขึ้นรู้ว่าคุณลิลลี่พูดไทยได้ กับ ได้สอนคู่กันกับฉันเนี่ยนะ"

"ฮ่า ๆ นั้นสินะคะ"

"นี่~ รู้เรื่องคุณลิลลี่มากแค่ไหนกันหรอคุณประธานนักเรียน"

"ช่วยไม่ได้นะคะ งั้นหนูจะเล่าเรื่องสั้นที่เพิ่งเจอมาตอนเช้าให้ฟังละกันนะคะ"

เธอพูดในขณะที่ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

"วันนี้เป็นวันที่ครูคนใหม่จะเข้ามาสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ หัวหน้าคุณครูเลยเรียกประชุมหัวหน้าระดับ ม.4 ม.5 ม.6 ทั้ง 3 ระดับให้มาประชุมร่วมกัน ซึ่งตัวแทนนักเรียนก็คือหนูเอง เราประชุมเรื่องจะให้คุณครูคนใหม่ไปอยู่ระดับชั้นไหนดี และคู่กับใครดี

พอพวกเราตกลงกันว่าจะให้ครูคนใหม่นั้นไปสอนอยู่ที่ ม.4 อยู่ดี ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเปิดประตูห้องประชุมเข้ามา เธอยื่นคำขาดว่าตัวเองต้องได้ไปสอน ม.6 และคู่กับครูที่เธอตามหามาตลอด ทุกคนในห้องประชุมค้านเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้ เพราะระดับม.6 เป็นระดับที่มีครูที่มีศักยภาพมากมายพอแล้ว แต่เธอก็ไม่ยอมฟังและค้านจนถึงขนาดที่ว่า ถ้าเธอไม่ได้อยู่ในระดับม.6 แล้วคู่กับคนที่เธอต้องการละก็ เธอจะลาออกเดี๋ยวนี้

ทุกคนก็ต่างไม่ยอมฟังเธอและเริ่มที่จะเรียกยามให้ไล่เธอกลับไป แต่ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาให้หยุด แล้วก็รับตัวเธอไปพร้อมทั้งบอกว่ามีครูคนหนึ่งที่ยังไม่มีคู่พอดี เดี๋ยวจะจัดการให้เอง เสียงนั้นก็คือเสียงของหัวหน้าระดับม.6 นั้นเอง หนูเห็นดีเห็นงามด้วยเลยพูดโน้มน้าวให้หัวหน้าคุณครูฟังจนกระทั่งการประชุมได้จบลงโดยที่ลงมติว่าจะทำตามข้อเรียกร้องของครูผู้หญิงคนนั้น นั้นเองง"

"เอ๊ะ? หรือว่าครูผู็หญิงคนนั้นคือ..."

"งื้ออออออ"

ผมรู้ทันทีว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นมันเป็นยังไงเพราะมันน่าจะเกิดขึ้นกับตัวผมเองนี่แหละ ด้วยความตกใจผมเลยหันไปหาคุณลิลลี่ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคือผู้หญิงในเรื่องสั้นที่ประธานนักเรียนพูดมาเพราะตอนที่ผมหันไปสบตาเธอ ผมเห็นหน้าของเธอแดงไปทั้งหน้าและหู ดูเหมือนว่าปรอทความเขินอายของเธอจะพุ่งจนถึงขีดสุด เธอเลยรีบเอามือปิดหน้าแล้วส่งเสียงแปลก ๆ ออกมา

'อ้าาา อยู่กับคุณลิลลี่นี่ทำให้หัวใจมันนุ่มฟูดีจริง ๆ'

"งั้นหนูขอตัวไปกินข้าวก่อนนะคะ"

"อืม ไปดีมาดีละ"

"โอ๊ะ! ละก็อย่าลืมประชุมในวันเสาร์นี้นะคะ"

"อืม!"

เธอพูดลาผมพร้อมโค้งให้ผมหนึ่งทีจากนั้นเธอก็เดินไป

"ประธานนักเรียนเป็นเด็กดีนะครับ"

"นะ นั้นสินะ อะ ฮ่า ๆ ๆ"

เธอพูดพร้อมกับกริยาท่าทางที่ยังเขินอายอยู่

สักพักรถเมล์ก็มาพอดี ลิลลี่กับต้นกำลังจะขึ้นรถเมล์กันต้นให้ลิลลี่ขึ้นก่อนต้นจึงขึ้นตาม แต่ลิลลี่ดันพลาดท่าลื่นแล้วกำลังจะล้ม แต่โชคดีที่ต้นโอบเธอแล้วรับเธอไว้ได้ทัน

"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ"

"มะ ไม่เป็นไรค่ะ"

"แต่คุณหน้าแดงมากเลยนะครับ"

"ฉันไม่ได้หน้าแดงเพราะตกใจที่ฉันลื่นสักหน่อย..."

"เอ๊ะ?"

"ติน ซื่อบื้อจังเลยนะ"

ลิลลี่ทรงตัวขึ้นมาแล้วก้าวขึ้นบันไดรถเมล์ต่อไป ต้นเลยขึ้นตามไปแล้วทั้งคู่ก็ไปนั่งที่เพื่อที่จะไปยังจุดหมายปลายทางของพวกเขานั้นก็คือห้างสรรพสินค้าในโรงเรียนแห่งนี้นั้นเอง


L’AVIS DES CRÉATEURS
YKUNG YKUNG

ผมแบ่งตอนไว้นะครับ ที่ผมแบ่งช่วงไว้เพราะผมแต่งเกิน 20,000 คำซึ่งเขาไม่ให้เกินมา ผมเลยแบ่งไว้นะครับ แต่ทั้งสองส่วนก็เป็นตอนเดียวกันนั้นแหละครับ อีกตอนผมจะลงตอนเวลา 4 โมงเย็นนะครับ

next chapter
Load failed, please RETRY

État de l’alimentation hebdomadaire

Rank -- Classement Power Stone
Stone -- Power stone

Chapitres de déverrouillage par lots

Table des matières

Options d'affichage

Arrière-plan

Police

Taille

Commentaires sur les chapitres

Écrire un avis État de lecture: C5
Échec de la publication. Veuillez réessayer
  • Qualité de l’écriture
  • Stabilité des mises à jour
  • Développement de l’histoire
  • Conception des personnages
  • Contexte du monde

Le score total 0.0

Avis posté avec succès ! Lire plus d’avis
Votez avec Power Stone
Rank NO.-- Classement de puissance
Stone -- Pierre de Pouvoir
signaler du contenu inapproprié
Astuce d’erreur

Signaler un abus

Commentaires de paragraphe

Connectez-vous