ในตอนเย็นที่ผ่านมา...
เอเรนที่กำลังนั่งรอแม่กลับมาจากการซื้อของเพื่อมาทำอาหารเย็น และตอนนี้เธอกำลังจ้องอำพันที่ได้รับมาจากทาเนียร์อย่างใจจดใจจ่อด้วยแววตาที่ดูเป็นประกาย
ในจังหวะนั้นที่เธอรู้สึกเวียนศีรษะราวกับว่ามีแผ่นดินไหว จนเผลอทำอำพันนั้นตกลงพื้นเธอจึงรีบก้มไปเก็บอย่างทันที เธอรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่ามันยังไม่เป็นไรเลยรีบแขวนมันเข้าที่คอดั่งเดิม
วินาทีนั้น... สายตาของเอเรนก็เหลือบมองไปเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังโบกมือเรียกเธอจากมุมนอกของหน้าต่าง
"เอเรน...ทางนี้!"
"ใครกัน?" เอเรนที่ถูกเรียกชื่อนั้นก็สงสัยว่าชายคนนั้นเป็นใคร แต่หลังจากนั้นเธอก็เริ่มมีอาการเวียนหัวเหมือนแผ่นดินกำลังสั่นสะเทือน แล้วเธอก็พูดขึ้นมาว่า...
"พ่อ?" อะไรไม่รู้เหมือนกันที่ทำให้เธอคิดแบบนั้น แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอมั่นใจได้เลยว่าคนนนั้นคือคุณพ่อ เธอจึงรีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะด้วยความคิดถึงที่ตัวเองนั้นอยากเจอพ่อมาเสียนาน แต่... "เอ๊ะ!" เมื่อเธอมาถึงที่ด้านนอกก็พบว่าที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่แล้ว
"เอเรน...ทางนี้!" เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คนที่เธอคิดว่าพ่ออยู่ห่างไกลออกไปจากเดิมและกำลังเรียกชื่อและโบกมืออยู่เหมือนเดิม
"พ่อ?" เธอรีบวิ่งตามไปอย่างทันทีด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
เธอตามเสียงเรียกของพ่อตัวเองไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...มาอยู่ในป่าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
"พ่อ…อยู่ไหน?" เธอยังคงเรียกถามหาเช่นเดิม
"ทางนี้...เอเรน พ่ออยู่ทางนี้..." ครั้งนี้ไม่ได้โยบกมือเรียกเธอแต่อย่างใด แต่กวักมือเรียกให้เข้าไปหาจากด้านในป่าที่ลึกกว่าเดิม
เอเรนที่เห็นว่าบรรยากาศเริ่มแปลกไป เธอพยายามถอยหลังและกำลังจะเดินออกไป แต่ในจังหวะนั้นที่ทางพ่อของเธอก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารว่า...
"นี่...ไม่รักพ่อแล้วอย่างนั้นหรอ? ไหนบอกว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันไง?" เพียงแค่คำพูดนั้นทำให้เอเรนถึงกับลังเล แต่เมื่อเห็นพ่อของเธอกำลังร้องไห้ เธอที่ใจอ่อนจึงต้องตามเข้าไป วิ่งเข้าไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ
เอเรนที่สังเกตเห็นบรรยากาศโดยรอบค่อยๆ มืดลงป่าโดยรอบก็รกทึบและหนาขึ้นเช่นกัน จนกระทั่งตอนนั้น เสียงเรียกจากชายที่เธอคิดว่าพ่อก็ได้เงียบลงไป...
"พ่อ?" เธอพยายามเรียกชายคนนั้นแบบเดิม แต่ครั้งนี้ไม่มีเสียงอะไรตอบรับมาอย่างใด โดยรอบที่ทั้งเงียบและมืดสนิททำให้เธอที่เริ่มกลัวเลยหันหลังกลับอย่างทันที ก่อนจะวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว เธอวิ่งย้อนกลับไปในทิศทางที่มา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะถึงทางออกเสียที กลับกันมันกลับดูมืดมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
จากนั้นเริ่มมีเสียงอะไรที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บริเวณโดยรอบ ความกลัวเริ่มถาโถมและความกังวลเข้ามา เธอเลยทำได้แต่นั่งกอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ท่ามกลางความมืด เรียกร้องหาแม่ของเธอ...
"...แม่ ... แม่ ช่วยหนูด้วย...!"
ณ เวลาปัจจุบัน
ขบวนของทาเนียร์เดินเข้าป่ากันไปได้เวลาสักพัก ทุกคนต่างก็รับรู้ได้อย่างทันที จากป่าที่ดูจากภายนอกไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร แต่พอเดินเข้ามา...ก็เกิดความรู้สึกขนลุกแผ่ส่านทะลุผ่านไขสันหลังอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า สื่อถึงอันตรายที่รออยู่ด้านหน้า เพียงแค่คิดแบบนั้นก็ทำเอาขาของเหล่าอัศวินหลายคนก้าวไม่ออก
ทาเนียร์ก็รับรู้ถึงความรูสึกแบบนั้นเช่นกัน แต่ตัวเธอนั้นจะมาแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเหล่าลูกน้องไม่ได้ เธอจึงต้องเข้มแข็งอดกลั้น และพูดปลุกใจเหล่าลูกน้องของเธอ
"จงฟัง! เหล่าอัศวินทุกคน! ถ้าพวกเจ้ากลัวที่จะเดินไปข้างหน้า ก็จงทิ้งดาบและชุดเกราะที่สวมอยู่ทิ้งซะ! และหันหลังออกจากป่าไปอย่างทันที ข้าจะไม่ห้ามหรือว่าลงโทษพวกเจ้าแต่อย่างใด... แต่ถ้าพวกเจ้าเลือกที่จะทำแบบนั้นละก็...นับแต่นี้ถือว่าเจ้าไม่เป็นอัศวินใต้บัญชาของข้า!"
คำพูดเหล่านั้นเข้ามาในจิตใจอันอ่อนแอของเหล่าอัศวินที่ลังเล มันปัดเป่าม่านหมอกที่คอยบดบังการตัดสินใจออกจนหมด เหลือเพียงแค่ความกล้าที่จะตามหัวหน้าที่พวกเขารักและเคารพไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่...
"ไม่ครับ! ตราบใดที่ท่านยังอยู่ พวกเราก็จะไม่หนีไปไหนครับ! เพราะพวกเรารักและเคารพท่านทาเนียร์"
"ใช่! ขอให้พวกเราติดตามท่านไปด้วยครับ!"
ทาเนียร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็เผลอยิ้มออกมาอย่างดีใจ "ก็ได้! ถ้าอย่างนั้นก็จงเร่งฝีเท้าเดินได้แล้ว...เจ้าพวกบ้า!"
"ครับ!"
หลังจากี่ทาเนียร์พูดปลุกขวัญกำลังใจเสร็จแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อ ลึกลงไป...แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พบร่องรอยของผู้ที่เข้ามาก่อนหน้านี้ หรือว่าร่องรอยของเอเรนเลย
ทาเนียร์ที่เป็นหัวหน้านำขบวนเลยสั่งให้หยุดรถม้าเสียก่อน เพราะภายในป่าสามส่วนนั้น ถ้ายิ่งเดินเข้าไปเรื่อยๆ มันก็จะยิ่งมีดขึ้นเช่นกัน ทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นทื่อลง เพื่อความปลอดภัยและความรอบครอบในการเดินทางต่อ เธอสั่งการอย่างใจเย็นกับเหล่าลูกน้องว่า...
"พวกแกทั้งหมดเตรียมก่อไฟ และตั้งแคมป์ซะ! พวกเราจะค้างแรมกันตรงนี้!"
"ครับ!"
หลังจากนั้นทาเนียร์ก็เดินตรงไปหาแมม่อน "ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ใช่ลูกน้องภายใต้บังคับบัญชาองข้า แต่ก็คงต้องขอให้ท่านช่วยเป็นเวรผลัดเฝ้ายามสักหน่อย..."
"ข้าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด...หรือจะให้ข้าอยู่เฝ้ายามตลอดก็ได้ไม่มีปัญหา"
"ขอบใจท่านมาก แต่ไม่ต้องถึงกับขนาดนั้นหรอก" แล้วทาเนียร์ก็หันไปทางเรย์ที่ยืนอยู่ห่างออกไปก่อนจะพูดเช่นเดียวแบบแมม่อน "นายก็ด้วยนะ!"
"ตามใจสิ!" เรย์พูดมาด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสนใจสิ่งที่ทาเนียร์พูดสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นเธอก็รู้ดีว่าเขานั้นเป็นคนอย่างไงเลยตอบกลับไป...
"ถ้างั้นฝากด้วยนะ..." แล้วทาเนียร์ก็หันไปพูดคุยกับทางเซเลน่าและเอวาชักชวนว่า "พวกท่านทั้งสองสนใจไปพักกับข้าบนรถม้าไหม? สำหรับผู้หญิงแล้วนอนข้างนอกมันค่อนข้างอันตราย..."
"คือ...ว่า" เซเลน่าหันไปมองที่แมม่อนเหมือนอยากจะขอความคิดเห็นว่าควรจะตอบตกลงไปดีไหม?
"ข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน พวกท่านทั้งสองควรพักกับนางบนรถม้าจะดีกว่า..."
"ถ้าในเมื่อทางนั้นอนุญาตแล้ว พวกเราก็ขึ้นไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ!" ทาเนียร์พูดขึ้น...
ในคืนแรก? ผ่านไป...ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นดี ไม่มีเกิดเหตุการณ์อะไรที่ผิดปกติ จะถือว่าเป็นโชคดีก็ว่าได้ หรือว่าจะสื่อเป็นอีกนัยนึ่งว่าพวกเขานั้นยังเข้าไปไม่ลึกพอที่จะเจอสิ่งเหล่านั้นมากกว่า...
หลังจากผ่านไปได้ระยะเวลาหนึ่ง... ขบวนของทาเนียร์เริ่มออกเดินทางกันต่อ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ท้องฟ้าก็ยังมืดสนิท ไม่มีแสงสว่างจากด้านบนฝากฟ้า มีเพียงแค่ความมืดที่ดำสนิทจนยากที่จะมองทางข้างหน้าออก ถึงแม้ว่าจะมีคบไฟอยู่ก็ตาม...
ทาเนียร์ที่คอยสั่งการอยู่ตรงกลาง ให้ทางเรย์คอยนำทางอยู่ด้านหน้า ทหารลูกน้องของเธอคอยระวังสองข้างทาง ส่วนทางแมม่อน, เซเลน่า และเอวาคอยระวังด้านหลัง ทุกทิศทางจะใช้สัญญาณจากคบไฟสื่อเป็นสัญลักษณ์ หากได้ยินเสียงอะไรที่มันผิดปกติทางทิศทางนั้นก็จะเริ่มส่ายไฟไป-มา เป็นสัญญาณให้กับทางทาเนียร์ทราบและเตรียมการรับมือได้อย่างทันท่วงที ถ้าหากรวมพลทางทาเนียร์จะยกไฟขึ้นและลง...
พวกเขาเดินลึกเข้าไปกว่าเดิมมาก จากพื้นที่ที่เคยแห้งกังก็กลายเป็นดินที่ชื้นแฉะ จนเวลาเดินมีเสียงดัง แจะ! แจะ! ออกมาจากพื้นที่เดินเหยียบไป ไม่ใช่เพียงแค่นั้นบรรยากาศก็ดูเหมือนจะมีความชื้นมากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พบร่องรอยของผู้ที่เข้ามาก่อนหรือว่าเอเรนแต่อย่างใด...
ทาเนียร์ที่เริ่มสังเกตเห็นว่าเหล่าลูกน้องของเธอมีท่าทีที่อ่อนแรงจากการเดินมาเป็นเวลานาน อีกทั้งเธอก็สังเกตมาม้าที่ขนของมาก็เริ่มแสดงอาการเหนื่อยหอบออกมา
...คงจะได้เวลาต้องพักเสียแล้ว...
คิดได้ดังนั้นเธอจึงสั่งให้ขบวนหยุดลงและพักผ่อนกันตรงนี้...
สภาพเหล่าลูกน้องของเธอที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างทันที พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับจะบอกเป็นโดยนัยว่า ...ในที่สุดก็ได้พักเสียที
"พวกนายเป็นอย่างไงบ้าง?" ทาเนียร์พูดถามกับเหล่าลูกน้องที่นอนกองกันด้วยสภาพที่เหนื่อยหอบ หมดแรงที่จะทำอะไรต่อ
"แฮ่กก! แฮ่กก! ...จะว่าไงดี เหมือนกับว่า...เรี่ยวแรงมัน ...แทบไม่มีเหลือเลย..."
"ถ้างั้นก็พักซะ! เดี๋ยวฉันจะอยู่เฝ้ายามแทนเอง..."
"รบกวนด้วย...ครับ" แล้วพวกเขาก็สลบไปอย่างทันที
เมื่อทาเนียร์มองไปยังคนที่เหลือก็มีเพียงแค่เรย์ กับแมม่อนที่ยังคงยืนอยู่ได้ ส่วนทางเซเลน่ากับเอวานั้นแข้งขาต่างก็พากันอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่ จนต้องให้แมม่อนเข้าอุ้มทั้งสองมาส่งที่รถม้าเพื่อให้พวกเธอได้พักผ่อน...
"มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมทุกคนดูอ่อนแรงกันถึงขนาดนี้?" ทานียร์พูดขึ้นด้วยความสงสัย หลังจากที่เห็นใครหลายคนมีอาการแบบเดียวกัน
"น่าจะเป็นเพราะว่าการรับรู้เวลาเพี้ยนไปนั่นแหละ..." แมม่อนพูดตอบทาเนียร์
"แต่ข้าไม่เห็นรู้สึกอะไรเลยนะ!?"
"เรื่องนั้นน่าจะเป็นเพราะท่านอยู่สั่งการบนรถม้าอย่างไงล่ะ!"
เรื่องนั้นทำให้ทาเนียร์นึกออกเพราะว่าตัวเองเอาแต่สนใจเรื่องการสอดส่องจากที่ไกลๆ เลย ไม่ได้ รับรู้ความรู้สึกของคนที่เดินอยู่ด้านล่าง ในตอนนั้นทำให้เธอคิดได้ว่า ...ถ้ามีอะไรที่สามารถบอกเวลาข้างนอกได้ก็ดี...
"ข้าต้องขอโทษด้วยที่ไม่ทันได้สังเกต ไม่สมกับเป็นหัวหน้าอัศวินเลย"
"ท่านอัศวินอย่าได้คิดมาดกเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย... ความผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าใครก็เคยมีกันทั้งนั้น" แมม่อนพูดปลอบใจทาเนียร์ไป
...
"นายเองก็เคยทำผิดพลาด...เหมือนกันใช่ไหม?" เสียงของเรย์พูดขึ้นอย่างโพงพาง น้ำเสียงเขาที่เต็มไปด้วยความโกรธ ความเครียดแค้นที่สะสมมานานหลายสิบปี ทั้งหมดนั้นพุ่งตรงมาหาแมม่อน
"...พูดเรื่องอะไรกัน?" แมม่อนเอียงคอทำท่าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ในคำถามที่เรย์ได้ถามเอาไว้
"แกนี่มัน...!" เรย์เตียมพร้อมที่จะชักดาบเข้าโจมตี แต่ทาเนียร์ก็เข้ามาพูดห้ามปราบเอาไว้ก่อน
"หยุดเลยนะ! อย่ามาทะเลาะกันที่นี่! ตอนนี้จะได้ไหม!?"
หลังจากที่ได้ยินเสียงห้ามปราบเรย์ก็ปล่อยมืออกจากดาบและเดินออกห่างไปด้วยอารมณ์เสีย
"ชิ...!" จากนั้นเรย์ก็เดินออกไป
"แล้วนายจะไปไหนน่ะ?"
"สำรวจพื้นที่โดยรอบ...แล้วก็ไปยิงกระต่ายเล่นสักตัวสองตัวหน่อย..." แล้วเรย์ก็เดินไปพร้อมกับถือคบไฟในมือ
ทาเนียร์และแมม่อนที่ยังคงมีสติพอที่จะเฝ้ายามในครั้งนี้ ต่างพากันช่วยก่อไฟให้ความอบอุ่นและทำอาหารเตรียมสำหรับพวกที่กำลังจะตื่นขึ้นมา ซึ่งแมม่อนเป็นคนที่อาสาทำอาหารเตรียมไว้ให้ ระหว่างนั้นทาเนียร์ก็ถามขึ้นมาว่า...
"ทั้งที่คนอื่นดูสภาพร่อแร่ขนาดนั้นแท้ๆ แต่ทำไม...ท่านนักเดินทางดูไม่ค่อยเป็นอะไรเลยล่ะ?"
"ข้าเองก็ผ่านการเดินทางมายาวนาน ก็อีแค่เดินวันหรือว่าสองวัน เรื่องแบบนั้นข้าทำมันจนชินไปแล้ว"
"แต่เจ้านายของท่านดูไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลยนะ..."
"ปกติแล้วข้าจะเป็นคนอุ้มนางในการเดินทาง และอีกอย่างพวกเราทั้งสองก็พึ่งจะเจอกันได้ไม่นานนี้เอง..."
"พึ่งเจอกันได้ไม่นานแท้ๆ แต่นางกลับดูไว้ใจท่านมากเลยนะ..." ทาเนียร์พูดด้วยรอยยิ้ม
"อย่างนั้นหรอ?"
ทันใดนั้นเสียงอันงัวเงียของเซเลน่าที่พึ่งจะตื่น เดินเข้ามาเพราะได้กลิ่นอาหารที่แมม่อนกำลังทำอยู่... "อาหาร...เสร็จหรือยัง?"
"ตื่นมาก็จะกินเลยหรือไง...นายท่าน"
"จะให้ทำไงได้...ก็คนมันหิวนี่น่า~" เซเลน่าเข้ามานั่งข้างๆตัวของแมม่อนด้วยท่าทางที่งัวเงีย และเหมือนว่าเธอจะยังไม่ตื่นดี แล้ววินาทีนั้นเธอได้เอนหัวลงพิงที่ข้างตัวของแมม่อนก่อนที่ตนเองจะหลับไป "....."
ทาเนียร์ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ถึงกับยิ้มออกมาด้วยความเอนดู "เห็นไหมล่ะ! ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะมานอนอิงชายที่ไม่ไว้ใจได้ลงหรอก..."
ทางแมม่อนที่พูดปฏิเสธไม่ได้เลยไม่ได้พูดอะไรโต้ตอบกลับไป เขาได้แต่ปล่อยให้ทางเซเลน่านอนพิงตัวเขาอยู่แบบนั้น
ซึ่งจังหวะนั้นเองเรย์ได้เดินกลับมาพร้อมกับกวางที่แบกอยู่บนบ่า "โทษทีกลับมาช้าไปหน่อย...อะนี่! ของฝาก" แล้วเขาก็โยนกวางที่ล่ามาได้ให้กับทาเนียร์
"กวางทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?" ทาเนียร์พูดขึ้นด้วยความสงสัย
"อย่ามาถามฉันสิ!" เรย์พูดปัดไปเพราะว่าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ในป่าแห่งนี้ถึงพบกวางได้
แมม่อนเลยพูดขึ้นมาว่า... "ถึงแม้ว่าในป่าแห่งนี้จะมีสัตว์อสูรมากมาย แต่กลับกันมันก็เป็นแห่งอาหารชั้นยอดสำหรับสัตว์ กวางตัวนี้ก็...คงจะหลงเข้ามาโดยบังเอิญ และในป่าแห่งนี้ก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดที่พืชทุกชนิดจะเป็นอันตรายด้วยเช่นกัน บางชนิดก็สามารถนำมาทำอาหารกินได้"
"...จะว่าไปท่านเองก็ค่อนข้างรู้เรื่องเกี่ยวกับที่นี่เยอะเหมือนกันนะ" ทาเนียร์พูดขึ้นด้วยความสงสัย "ท่านนี่เป็นแค่นักเดินทางธรรมดาจริง ๆ อย่างนั้นหรอ?"
ทันทีที่ทาเนียร์พูดมา บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มตึงเครียด แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นแมม่อนเองก็ตอบไปอย่างเป็นธรรมชาติว่า...
"ข้าเป็นนักเดินทางนะ... ความรู้และการสังเกตบริเวณโดยรอบเองก็เป็นสิ่งสำคัญ มิเช่นนั้นก็คงไม่มีทางที่จะรอดมาถึงนี่ได้หรอก..." แล้วแมม่อนก็เริ่มพูดเปลี่ยนเรื่องอย่างทันที "เอาล่ะ! รีบชำแหละแยกส่วนก่อนที่กวางจะเน่าดีกว่า กองไฟตอนนี้ก็ยังติดอยู่ อย่างน้อยก็ลมควันเก็บไว้ใช้ในการเดินทางต่อได้!"
มีเพียงแค่ทาเนียร์ที่ยอมชำแหละกวางตามแต่โดยดี ส่วนทางเรย์นั้นเดินออกไปโดยที่ไม่สนใจอะไร ก่อนจะหยิบเนื้อตากแห้งจากกระเป๋ากินเป็นอาหารฉุกเฉินประทังความหิว เขาไม่คิดแม้จะหยิบอาหารที่ทำโดยฝีมือของแมม่อนเลยแม้แต่นิด
หลังจากนั้นทุกนที่หมดสติไปก็เริ่มตื่นกันมาทีละคน จนครบทุกคน และได้กินอาหารที่แมม่อนได้เตรียมไว้ให้ก่อนจะออกเดินทางกันต่อ...
การเดินทางเป็นไปตามรูปแบบเดิม ทุกอย่างนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นดี...จนกระทั้ง มีสัญญาณคบไฟจากทางเรย์ที่เดินนำหน้าพวกเขา แสงไฟตวัดขึ้น-ลงอย่างช้าเพื่อบอกว่าให้หยุดรถม้าและรวมพล ทาเนียร์เองที่เห็นแบบนั้นเลยสั่งการเสียงดังไปอย่างทันที...
"ทุกคนหยุด...!!!" พอพูดเสร็จเธอรีบลงจากรถม้าพุ่งตรงไปหาทางเรย์อย่างทันที "เจออะไรอย่างนั้นหรอ?"
"ดูด้วยตาตัวเองจะเข้าใจเร็วกว่า..." เรย์ชี้ให้ดูถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ทันทีที่ทาเนียร์หันไปลมเหม็นที่ทำเอาจนแทบจะอ้วก กลิ่นเหม็นที่สุดจะบรรยายเข้าประดาที่รูจมูกทั้งสองข้าง กลิ่นเลือดเนื้อที่เริ่มเน่าเละและมีหนอนไชผุดขึ้นทั่วทั้งร่าง เธอพูดออกมาในขณะที่มือปิดจมูก
"ม้า? หรอ?"
ซากสัตว์ที่นอนตายอยู่ตรงหน้า โดนกัดแซะจนเห็นแค่เนื้อแดงติดกระดูก ผิวหนังถูกของมีคมบาดจนขาดวิ่น ดวงตาถูกกะซวกด้วยของที่แหลมพอๆ กับมีด
เรย์ทำการวินิจฉัยและค่อยๆ วิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น "ดูแล้วน่าจะไม่ใช่ม้าป่า อีกทั้งข้าวของที่กระจัดกระจายนี่ด้วย น่าจะเป็นของพวกที่เข้าก่อนหน้านี้แน่ๆ นี่...!" เรย์หันไปพูดกับทางทาเนียร์ที่ยังตกใจสภาพของซากม้าที่ตาย "พอจะรู้ไหมว่าเป็นตัวอะไร?"
"จากในบันทึกของคนที่ค้นพบมันมีค่อนข้างน้อยมาก ถ้าให้เดาจากสภาพของซากแล้ว น่าจะเป็นพวก "ก้อนขน"
"ก้อนขน? ชื่อขนมแบบใหม่หรือไง?"
"ไม่ใช่! มันเป็นสัตว์อสูรในป่าสามส่วน ออกล่าเป็นฝูง ทั้งตัวพวกมันเป็นกลุ่มก้อนขนขนาดเท่า ๆ กับเด็กน้อย มีฟันขนาดใหญ่ ไม่มีตา พวกมันมีกรงเล็บที่คมและแหลมมาก จนขนาดที่สามารถฟันผ่านทะลุชุดเกราะได้สบายๆ เนื่องจากที่พวกมันไม่มีตา พวกมันเลยมีประสาทรับรู้ด้านเสียงที่รวดเร็วมาก เวลาที่มันเจอเหยื่อ จะมีเสียงขบฟันและเสียงตระกายไม้อยู่ใกล้ๆ
แสดงว่า...แถวนี่เป็นเขตที่อยู่อาศัยของพวกมันสินะ? ยุ่งยากแล้วสิ...! ต้องรีบไปเตรียมการแล้ว..." พอพูดเสร็จทาเนียร์ก็วิ่งออกไปบอกเหล่าลูกน้อง
ในวินาทีนั้นเรย์ก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองพวกเขาจากระยะที่ไกล สายตาที่เต็มไปด้วยความรื่นเริง สายตาที่สนุกกับการที่ได้เห็นพวกเขาดิ้นรนในอะไรบางอย่าง และสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ก่อนที่สายตาคู่นั้นจะหายไปในความมืด....
... ความรู้สึกเหมือนโดนดูถูกนี่มันอะไรกัน เหมือนว่ากำลังเยาะเย้ยฉันอยู่ยังไงอย่างนั้น...
"นายก็รีบมาได้แล้ว..." ทาเนียร์วิ่งเข้ามากระชากมือเรย์ 'พวกเราจะเริ่มวางแผนรับมือพวกก้อนขนกันนายก็มาฟังด้วยสิ!"
"อืม...เข้าใจแล้ว!"
— Un nouveau chapitre arrive bientôt — Écrire un avis