สิ่งปรากฏต่อสายตาคู่นักเดินทาง มีเพียงซากอาคารไร้คนอาศัย ขณะสายลมเย็นพัดพาความสบายใจ ใต้ท้องฟ้าสีทองจากแสงตะวันอันอบอุ่น พลางครุ่นคิดว่าสถานปลายทางจะเป็นอย่างไร จนในที่สุดอัศวินก็หยุดลงหน้าอาคารซึ่งสะดุดตา
"น่าจะเป็นที่นี่ ไม่มีอาคารไหนแปลกตาไปกว่านี้แล้ว"
สถานต่อหน้าผู้มาเยือน คืออาคารร้านปูนสีขาวที่ออกหมองเพราะฟ้าฝน จนแทบไม่เหลือความสะอาดให้เห็น กระนั้นสีแดงที่เป็นหลังคาและเสาประดับประดากลับยังเด่นเป็นสง่า เช่นป้ายเหนือทางเข้าที่เขียนว่า "ร้านชาคุณคาโต้"
"เขียนว่าร้านชา แต่ไม่น่าเป็นที่อื่นได้ เข้าไปกันเถอะ"
"ได้เลย ท่านอิโระ"
อัศวินเดินผ่านบานประตูเข้ามาอย่างเยือกเย็น จนเห็นสมุนไพรต่าง ๆ ที่ตั้งวางไว้ตามชั้นไม้ที่อยู่ใกล้ในสายตา ภายในร้านอันมีแสงสว่างจากหน้าต่างส่องเข้ามาตลอดทาง
ทว่าระหว่างเขาพิจารณา ก็ได้ยินเสียงกระแทกของบางอย่างจากด้านหลัง เมื่อหันไปจึงเห็น ว่านักวาดตาบอดที่มาด้วยกันเดินชนขอบประตู จนตนไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าเธอ
"เอ๋? แปลกจัง ร้านนี่แขวนป้ายสูงขนาดนี้เลยเหรอ?"
จูโนถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ขณะยกมือแตะบริเวณที่หัวตนชน
"ท่านจูโน นั่นไม่ใช่ป้ายร้าน นั่นขอบประตู"
"เอ๋? อย่างนั้นหรือ? ขอบคุณท่านที่เตือนข้า"
จูโนก้มลงให้ลดลงพอพ้นขอบประตูทางเข้า จึงเข้ามาด้านในไม่ต่างจากอิโระ พร้อมหันซ้ายขวาเสมือนสังเกตรอบข้าง ระหว่างนั้นใครบางคนก็เดินเข้ามาจากเงามืดของร้าน ด้วยฝีเท้าแสนเบาบางและท่าทางไม่น่าวางใจ
"ยินดีต้อนรับ แขกผู้มีเกียรติของข้า สู่ร้านน้ำชาคุณคาโต้"
ผู้เดินเข้ามาต้อนรับ เป็นชายผิวแทนที่มีอายุและริ้วรอยตามใบหน้าระดับหนึ่ง ซึ่งไว้ผมดำยาวถึงหลัง ในเสื้อคลุมยาวสีเขียวเข้มกับลวดลายดำและทอง สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความสุขที่มีลูกค้ามาเยือน กระนั้นรอยยิ้มกลับไม่ทำให้รู้สึกไว้ใจ
"สุภาพบุรุษและสตรี มีอะไรให้ข้าช่วยพวกท่านไหม?"
ทั้งสองนิ่งชะงักเพราะลักษณะเจ้าของร้านที่ไม่น่าไว้ใจ นานพอให้เจ้าตัวสังเกตรายละเอียดของผู้มาเยือน จนยิ้มออกมาด้วยท่าทางพอใจ ก่อนเดินเข้าไปหาอัศวินที่นิ่งเฉย แล้วจ้องตราประทับสีทองบนเกราะ
"ไม่คิดว่าจะได้เห็นตัวเป็น ๆ คงเป็นโชคดีของข้าในวันนี้ จริงสิ ขออภัยที่ไม่ได้แนะนำตัว ข้าชื่อคาโต้ เป็นเจ้าของร้านน้ำชาประจำย่านนี้ แต่หลายคนเรียกข้าว่าหมอยาเพราะข้าขายสมุนไพร พวกท่านต้องการอะไรเหรอ?"
"สหายข้าถูกเพลิงไหม้เป็นแผลน่ะ ท่านมียารักษาไหม?"
จูโนเป็นฝ่ายเอ่ยถาม เจ้าของร้านจึงทำท่าพิจารณาชายหน้าตนด้วยท่าทางเข้าใจ
"อย่างนี้นี่เอง เสียงปืนก่อนหน้านี้คงเป็นของพวกท่าน ข้ามียารักษาแผลแบบนี้อยู่ เดี๋ยวเอามาให้"
คาโต้เดินเข้าไปหลังตู้กระจกในร้านน้ำชา ตามหาของบางอย่างพักหนึ่ง กระทั่งได้ตลับยาสีเขียวถือไว้ จึงเดินออกมาแล้วยื่นให้สาวใหญ่ร่างสูงพิจารณา
"วุ้นว่านหางจระเข้ ใช้รักษาแผลไฟไหม้ ได้ผลดีการันตีจากลูกค้าหลายคน จนของไหลออกตลอดไม่เคยค้าง แค่ทาที่แผลไม่กี่วันก็หายดี ราคาแค่ตลับละหกสิบออรัม"
"ข้ารับหนึ่งตลับ"
จูโนยื่นเงินตามราคายาให้ คาโต้จึงรับไว้กับยื่นยาให้ลูกค้า
"ว่าแต่ สนใจให้ข้ารักษาเพื่อนท่านด้วยไหมท่านหญิง?"
"มิเป็นไร เดี๋ยวข้าทำเอง"
"ด้วยความยินดี เรามีโต๊ะสำหรับต้อนรับลูกค้าอยู่ ข้าขอเชิญพวกท่านไปนั่งด้วยก่อนเถอะ"
"ได้เลย ขอบคุณ"
หมอยาผายมือหาโต๊ะพร้อมเก้าอี้ไม้ที่ตั้งไว้ด้านในร้านไม่ไกลกันเท่าไร ทั้งสองจึงเดินเข้าไปนั่งอย่างไม่ยากเย็น ก่อนจูโนจะเปิดตลับยาออกมา ลงนิ้วแตะวุ้นสมุนไพรให้ติดมือ แล้วยื่นหาอิโระที่นั่งนิ่งไม่หันไปไหน
"ท่านอิโระ อยู่นิ่งหน่อยนะ"
นักวาดตาบอดกระซิบกับคนเจ็บหน้าตน ก่อนลงนิ้วป้านยาแตะแผลเพลิงไหม้ ให้รอยเผาสัมผัสวุ้นยาใสจนทั่วถึง กระทั่งชายหนุ่มรู้สึกถึงความเย็นที่ซึมซ่านผ่านผิว จนในที่สุดสาวเจ้าก็ขยับมือออกมา พร้อมยิ้มเบาบางด้วยความยินดี
"เรียบร้อย ท่านรู้สึกดีขึ้นไหม?"
"คิดว่านะ ข้ารู้สึกเย็นที่แผล"
อัศวินตอบอย่างไม่มั่นใจ ก่อนหันไปหาเจ้าของร้านที่เพิ่งกลับมา พร้อมกาน้ำชากับถ้วย ที่เขารินจิบอย่างสบายใจ พร้อมนั่งมองสองลูกค้าที่กำลังนั่งโต๊ะเดียวกัน พลันลั่นคำถามออกไป
"ใครพาพวกเธอมาร้านน้ำชานี้ล่ะ? คนนอกไม่มีทางมาหายารักษาในร้านน้ำชาของข้าแน่"
"เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวที่ห่างออกไปไม่ไกลน่ะ"
จูโนตอบตามตรง ทำให้คาโต้ยิ้มออกทันที
"คิดแล้วเชียว ตาเฒ่านั่น แปลว่าพวกเธอไว้ใจได้ เข้ามาทำอะไรในย่านนี้ล่ะ?"
"ข้ากับสหายออกเดินทางตามหาความงดงามกับสีสันในแดนสุวรรณน่ะ"
คำตอบนั้นทำหมอยาประจำร้านหัวร่อออกมา พานักวาดแสดงอาการแปลกใจ ขณะอัศวินนั่งนิ่งไม่ทำอะไร
"ความงดงามกับสีสันในแดนสุวรรณ พวกท่านบ้าไปแล้วแน่ ๆ เอ๋ ไม่สิ ข้าขอโทษอย่างจริงใจที่เสียมารยาท ข้าแค่ไม่คิดว่าจะมีใครตามหาสิ่งที่ว่าในดินแดนที่ไม่มีอะไรดี โดยเฉพาะในย่านวังบุริมชิมสุขนี้"
"ถือว่าดีที่ได้คิด"
อิโระตอบเรียบราบ ทว่าสายตาที่มองกลับไปนั้นแฝงความไม่พอใจ ไม่นานก่อนหันหาจูโนที่นั่งข้างกัน
"เราได้ของที่ต้องการแล้ว ไปกันเถอะ ท่านจูโน"
"ท่านอิโระว่าอย่างไร ข้าก็เห็นดีเช่นกัน"
ทันทีที่ทั้งสองลุกขึ้น เจ้าของร้านก็ลุกขึ้นปรามทันที
"ช้าก่อนท่านผู้มาเยือน! ข้าขอโทษที่เสียมารยาท ให้โอกาสข้าอีกสักคราได้ไหม? ข้าขออภัยเพราะไม่ได้มีลูกค้าทั่วไปมาที่ร้านน้ำชานี้นานมากแล้ว อภัยข้าเถอะ"
เมื่อได้ยินดังนั้น อิโระจึงหันหน้าหานักวาดตาบอด เพราะต้องการคำตอบจากเธอ
"ท่านจูโน"
"หากเขาอยากได้โอกาส ข้าก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ท่านว่าอย่างไรล่ะ? ท่านอิโระ"
"ตกลง"
เมื่อได้คำตอบ ทั้งสองก็นั่งลงพร้อมกัน หมอยาจึงนั่งลงตามด้วยความโล่งใจ
"ขอบคุณ ท่านตามหาสีสันกับความงดงามสินะ? ท่านหญิง"
"ใช่แล้ว ท่านมีอะไรแนะนำข้าไหม?"
"ร้านข้ามียาสมุนไพรมากมายเก็บไว้ ท่านต้องการอะไรก็เชิญเชยชมได้เลย แล้วค่อยมาคิดเงินกับข้าได้"
"ท่านอิโระ ท่านใส่ใจไปเชยชมกับข้าไหม?"
"ไม่ล่ะ ข้าไม่ใคร่สนใจสมุนไพรเท่าไร"
"เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน แล้วข้าจะรีบกลับมานะ"
นักวาดลุกขึ้นพร้อมไม้เท้าประจำตัว ก่อนออกไปสู่ชั้นวางของในร้านน้ำชาอย่างไม่รีบร้อนเท่าไร ทิ้งไว้เพียงอัศวินกับเจ้าของร้านที่ต่างนิ่งเงียบใส่กัน กระทั่งชายผมยาวเป็นฝ่ายเอ่ยทัก
"ผู้หญิงคนนั้น ตาบอดสินะ? ข้ารู้ว่านางมองไม่เห็น ต่อให้พยายามทำเหมือนปกติแค่ไหน ยังไงแววตาที่ว่างเปล่านั่นก็โกหกข้าไม่ได้ และข้าก็เข้าใจ ว่าทั้งนางและท่านไม่ใช่สหายกัน"
"เจ้าต้องการอะไรจากข้า?"
อิโระถามเสียงเบาบางอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะไม่อยากให้จูโนได้ยิน
"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่รู้ว่าท่านเป็นใคร และต้องการอะไร ถึงได้มาเยือนในย่านนี้ที่ไม่มีอะไรให้เธอคนนั้นได้พอใจ"
"หยุดเล่นลิ้นแล้วพูดความจริงออกมาซะ หมอยา"
"ก็ได้ ข้ามีเรื่องราวที่คิดว่าท่านน่าจะฟังแล้วได้ประโยชน์ ท่านจะฟังไหม?"
"เป็นประโยชน์ไหม ข้าจะฟังแล้วตัดสินเอง"
คาโต้ยกถ้วยชาขึ้นจิบพักใหญ่ให้สบายใจ จนในที่สุดเขาก็วางลง เตรียมเล่าเรื่องราวตามต้องการ
"ที่เมืองนี้มีธรรมเนียมหนึ่งเกิดขึ้นทุกคืน ที่เรียกกันว่าราตรีล่าเหยื่อ เป็นเหตุการณ์รำลึกถึงวันแรกที่เหล่ากองทหารพยัคฆ์รัตนบุกย่านวังบุริมชิมสุข ทหารทุกนายจะออกอาละวาด ไล่ล่า ทำลาย ช่วงชิงทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการ เหมือนกับที่พวกเขาเคยทำเมื่อมาเยือนเมืองนี่หลายปีก่อน เป็นแบบนี้ตลอดมา จนถึงวันนี้"
เจ้าของร้านจิบชาอีกครั้ง ก่อนเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยกว่าก่อนหน้า
"ธรรมเนียมที่ว่าคร่าชีวิตผู้คนในเมืองไปเกือบหมด สินทรัพย์จำนวนมากถูกช่วงชิง หลายสถานที่ถูกทำลาย จนย่านนี้กลายเป็นเมืองร้าง และไม่มีคนนอกไหนกล้าเข้ามาในย่านนี้อีกต่อไป ไม่แม้แต่ชีวิตเดียว กระทั่งเจ้ากับแม่หญิงนางนั่นเข้ามา"
ครานี้คาโต้เริ่มเผยรอยยิ้มออกมา ดังว่ามีอะไรดีเก็บไว้ในใจ
"ใจกลางย่านวังบุริมชิมสุข คือคฤหาสน์สีสะอาดแห่งกองทหารพยัคฆ์รัตน ที่มั่นของพวกมันอันหนาแน่นเหนืออะไร เต็มไปด้วยทหารลาดตระเวนตลอดเช้าค่ำ ไม่เคยมีใครฟันทะลวงผ่านเข้าไป ด้วยในนั้นคือที่ประทับของเจเนซีจอมช่วงชิง ผู้นำกองทหารบุก และช่วงชิงทุกสิ่งอย่างไปจากในย่านวังบุริมชิมสุข รวมถึงชีวิตทุกคน"
ไม่นานหมอยาก็หยิบม้วนกระดาษที่เก็บไว้ออกมากาง เป็นแผนที่ระบุตำแหน่งของสถานที่กับสิ่งล้อมรอบ ซึ่งถูกเขียนระบุชื่อไว้แน่ชัด ว่าเป็นคฤหาสน์สีสะอาดตามเขาบอกไว้
"นี่คือแผนที่ย่านวังบุริมชิมสุข คฤหาสน์สีสะอาดชี้เอาไว้ตรงจุดนี้ เก็บไว้ซะ ถ้าไปตามทางเขียนไว้ ยังไงก็ไปถึงแน่"
เมื่อได้ยินดังนั้น อิโระก็เก็บม้วนกระดาษตามคู่สนทนาขอ แต่ความแคลงใจเขายังไม่หายไป แต่กลับมากขึ้นคูณทวี
"หมอยา เจ้าต้องการอะไรกันแน่?"
"ความพินาศ ของกองทหารพยัคฆ์รัตน นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการเหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ข้ารู้ดีว่าตรานั่นคืออะไร ไม่มีเหตุผลอื่นใดให้เจ้าออกเดินทางในดินแดนนี้หรอก ใช่ไหม?"
"ท่านคาโต้ ข้าได้ของที่ต้องการแล้ว"
เสียงทักของจูโนทำการสนทนาระหว่างอัศวินกับหมอยาชะงัก ก่อนพากันหันมองสาวเจ้า ผู้มาพร้อมขวดแก้วใส่ผงสีเหลืองเข้ม ที่กำลังนั่งลงเก้าอี้พร้อมยื่นของให้หมอยาพิจารณา
"ช่วยดูราคาให้ข้าที ท่านคาโต้"
"ผงขมิ้น จะทำยาบำรุงไม่ก็อาหารสินะ? ราคาสามสิบออรัม"
"ได้เลย ท่านหมอยา"
แล้วทั้งสองก็แลกเปลี่ยนของกับเงินตราอีกครั้ง ก่อนนักวาดจะเอ่ยถามอีกฝ่ายต่อ
"ก่อนหน้านี้ท่านคุยกับสหายข้าว่าอะไรบ้างหรือ? ข้าสงสัยน่ะ"
"เล่าเรื่องราวเก่า ๆ ของสถานที่สำคัญในย่านนี้น่ะ มีคฤหาสน์ใหญ่สีขาวสวยงามกลางย่านนี้ แรกเริ่มข้าคิดว่าพวกท่านน่าจะอยากไป แต่คิดดูแล้วแถวนั้นคงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่"
"จริงสิ ท่านคาโต้ อาคารในเมืองนี้ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพเลวร้ายหรือพังทลายทั้งนั้นเลย ทำไมมีร้านน้ำชาของท่านที่สวยเด่นเป็นสง่าในบริเวณนี้ที่เดียวล่ะ?"
"จะ ว่ายังไงดี เดิมทีกองทหารพยัคฆ์รัตนก็อยากทำกับร้านน้ำชานี่แบบที่อื่นในย่านนี้ แต่ว่าถ้าไม่มีร้านข้า ยาสมุนไพรอะไรที่ข้าหาได้ก็จะไม่มีวันมาถึงย่านนี้อีก และไม่มีวันมาถึงมือของพวกนั้น ก็เลยปล่อยร้านข้าไว้นี่แหละ"
"กลัวว่าจะไม่มียารักษาสินะ แบบนี้นี่้เอง"
"ตัวข้าในฐานะหมอยาเลยปลอดภัยจากอันตรายโดยปริยาย เพราะข้าปรุงน้ำยาพิเศษให้พวกนั้นด้วยน่ะ"
"น้ำยาพิเศษหรือ? บอกข้าได้ไหมว่ามันคืออะไร? ข้าเองก็สนใจในการปรุงยาน่ะ"
คาโต้แสดงท่าทีเก้กังไม่มั่นใจออกมา กระนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็ยอมพูดออกไป
"จะว่ายังไงดี ข้าเองก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร เป็นน้ำยาโบราณที่ข้าบังเอิญมีตำราปรุง ที่กองทหารพยัคฆ์รัตนให้ข้าปรุงแล้วส่งให้เรื่อย ข้าแค่ทำตาม"
"อย่างน้อยที่สุด ท่านบอกข้าหน่อยได้ไหมว่ามันทำอย่างไร? เผื่อข้าใช้ประโยชน์ได้"
"ได้ ตามข้ามา"
คาโต้เดินนำเข้าไปในร้าน ซึ่งมีตะเกียงไร้ไฟแขวนไว้ตามผนังข้างทาง ทว่าระหว่างทั้งสามเดินผ่าน เปลวเพลิงก็ลุกโชนแก่ตะเกียงน้ำมัน เป็นแสงสว่างให้พวกเขาเกิดสงสัย กระนั้นก็พากันเดินต่อไปไม่รีรอ จนเจอโต๊ะพร้อมขวดแก้ว เตาไฟขนาดเล็ก และถุงเก็บของจำนวนหนึ่งตั้งไว้ หมอยาจึงหยิบขวดแก้วใส่ของเหลวสีฟ้าขึ้นมา
"ตามตำรามันถูกเรียกว่าน้ำยาสมาธิ ส่วนประสมแรกคือหยาดชีวิต เป็นของที่หาไม่ได้ทั่วไป จะเจอได้แค่ในดินแดนที่อากาศเย็นยะเยือกมากพอ ให้เกิดหยาดที่พร้อมแช่แข็งทุกสิ่งที่สัมผัส"
เมื่อสองลูกค้าได้พิจารณาหยาดชีวิตแล้ว หมอยาก็หยิบถ้วยใส่ผงสีขาวออกเหลืองมาบ้าง
"ส่วนประสมต่อไป กระดูกมนุษย์ ต้องเป็นกระดูกมนุษย์เท่านั้น ห้ามใช้ของสัตว์ ไม่อย่างนั้นจะไร้ผล"
ในที่สุด เจ้าของร้านก็หยิบดอกไม้สีน้ำเงินม่วงทรงหุบอันแห้งกรอบออกมา ด้วยสีหน้ากังวลแลระแวดระวังกว่าเดิม
"อย่างสุดท้าย ดอกหมวกสงฆ์ อันตรายที่สุดในสามส่วนประสม แค่พิษหยดเดียวก็ทำให้หายใจลำบาก หัวใจเต้นช้าลง หากมากพอก็สามารถตายได้ในทันที"
"เจ้ามั่นใจนะว่าอ่านตำราไม่พลาด?"
อิโระทักถามตามสงสัยในตำรายาเต็มแก่
"ท่านรู้สึกอย่างไร ตอนข้าได้อ่านตำราก็ไม่ต่างกัน เพราะอย่างนั้น รอดูผลด้วยกันเถอะ"
คาโต้หย่อนดอกหมวกสงฆ์ลงครกหินบนโต๊ะ บดจนนานพอให้กลายเป็นผง ก่อนเทลงขวดแก้วเหนือเตาไฟ ตามด้วยผงกระดูกมนุษย์ในถ้วย เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเท่าไร เขาก็เทหยาดชีวิตทั้งขวดลงไปแล้วปิดฝาไว้ จนในที่สุดก็ได้ขวดน้ำยาสีฟ้าน้ำทะเล ซึ่งมีไอเย็นระเหยรอบขวดเรื่อย ขณะตัวขวดมีคราบน้ำแข็งเกาะทั่ว
"เอาละ เราได้แล้ว น้ำยาสมาธิ น้ำยาพิเศษที่กองทหารพยัคฆ์รัตนให้ข้าทำไว้เรื่อย"
"ท่านหมอยา ข้าสงสัย น้ำยานี่ดื่มได้จริงหรือ?"
จูโนถามตามคิดในใจ
"ดูจากที่พวกนั้นให้ทำเรื่อยไม่น่าใช่ยาพิษ ไม่ลองไม่รู้"
หมอยาตัดสินใจกระดกขวดน้ำยาประหลาดขึ้นดื่มทั้งหมดในครั้งเดียว ทำให้อัศวินกับนักวาดตั้งตารอดูอาการหมอลองยา กระนั้นเขาก็ไม่แสดงอาการผิดสำแดงใดออกมา
"รสเย็นเหมือนยาแก้ไอ ไม่เห็นปัญหาอะไรนะ"
ทว่าหลังคาโต้ตอบได้ไม่นาน เขาก็ล้มทั้งยืนลงไปพร้อมขวดแก้วในมือ สร้างความประหลาดใจให้สองลูกค้า อิโระจึงนั่งลงพร้อมวางนิ้วแตะหาชีพจรหมอยา ก่อนหันหานักวาดผู้มาด้วยกัน พลันตอบด้วยท่าทีนิ่งเฉย
"เขาตายแล้วจูโน"
"ตายจริง เราจะทำอย่างไรดีล่ะ?"
"เอาของที่ใช้ประโยชน์ได้เก็บไว้ ยังไงคนตายก็ไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้ว"
เมื่อตอบตามตรง อิโระก็ลงมือค้นของที่หมอยาเก็บไว้ในทันใด
"เอ๋? แบบนี้จะดีเหรอท่านอิโระ?"
"อย่างน้อยที่สุด ได้ตำราทำน้ำยาพิเศษก็ยังดี ท่านมีทักษะปรุงยานี่นา"
"นั่นสินะ ข้าแค่คิดว่ามันอาจไม่ใช่เรื่องถูกเท่าไรนักน่ะ"
ในที่สุดอัศวินหนุ่มก็ค้นเจอม้วนกระดาษสลักอักขระกับภาพ ที่เขาอ่านแล้วไม่ได้เข้าใจอะไรมากเท่าไรนัก ด้วยไม่ใช่ภาษาใดที่เคยเห็นในสายตา นำพาความฉงนสงสัยมาให้ กระทั่งนักวาดตาบอดข้างกายเอ่ยทักอย่างสนอกสนใจ
"ท่านอิโระ ให้ข้าอ่านม้วนกระดาษนั่นได้ไหม?"
"ท่านมองไม่เห็น ท่านจะอ่านอย่างไรล่ะ?"
"ข้ามีวิธี เชื่อใจข้าเถอะ อัศวินของข้า"
แม้จะยังไม่เข้าใจ นักดาบก็ยื่นม้วนตำราแก่นักวาดไป ให้เธอคลี่พิจารณาด้วยดวงตาอันว่างเปล่าอย่างเงียบงัน ทันใดนั้นเธอก็เริ่มเอื้อนเอ่ยเนื้อหาตามเขียนไว้
"หยาดชีวิตหนึ่งขวดเล็ก ผงกระดูกมนุษย์หนึ่งถ้วยเล็ก ดอกหมวกสงฆ์หนึ่งกลีบ คือส่วนประสมทำน้ำยาสมาธิ กระบวนการที่ท่านหมอยาทำนั้นถูกแล้ว ทว่ากลับใช้ดอกหมวกสงฆ์ทั้งดอกแทน อาจเป็นเหตุว่าทำไมยาให้ผลเป็นพิษ"
"ท่านอ่านม้วนตำราได้ยังไง?"
"อาจเป็นเพราะญาณที่ข้ามี ท่านอิโระอย่ากังวลเลย"
จูโนเผยยิ้มเบาบางพลางม้วนเก็บตำรา อิโระจึงลุกขึ้นเมื่อเห็นว่าได้สิ่งที่ต้องการเพียงพอแล้ว
"ท่านพอรู้ไหมว่ามันมีผลอะไร?"
"เนื้อหาที่เขียนถึงส่วนนั้นขาดหายไป ข้าเองก็ไม่รู้มากเท่าไรนัก อาจต้องหาคนอื่นลองดื่มน้ำยาที่ข้าปรุงเอง"
"ยังไงซะ เก็บไว้ก่อนคงไม่เสียหายอะไร"
เมื่อจัดเก็บของจำเป็นเรียบร้อย อิโระก็สังเกตเห็น ว่านักวาดตาบอดทำท่าเสมือนกำลังจับจ้องไปยังโต๊ะปรุงยา ด้วยสีหน้าพิจารณาและทีท่าสนใจ จนไม่หันเหหาสิ่งใดที่อยู่ใกล้ ด้วยใคร่รู้ในความสงสัยของสาวเจ้า จึงยื่นมือยกขึ้นไปแตะไหล่เธอให้หันมา ด้วยความแปลกใจที่สะท้อนในแววตาออกมาไม่ปิดบัง
"หืม? มีอะไรหรือท่านอิโระ"
"ท่านจับจ้องโต๊ะปรุงยามาพักใหญ่แล้ว ท่านคิดอะไรอยู่?"
"ข้ากำลังคิด ว่าข้าน่าจะใช้โต๊ะนั่นทำน้ำยาที่จำเป็นเก็บไว้บ้างน่ะ ทว่าข้าไม่พบส่วนประสมที่ต้องใช้ในร้านนี้เลย อาจเพราะดวงตาข้ามองไม่เห็น ท่านช่วยข้าตามหาได้ไหม?"
"ได้สิ ไม่เป็นปัญหาเลย"
"ฮิฮิ ท่านอิโระนี่ใจดีจังเลยนะ หากไม่ได้ท่าน ข้าคงแย่เป็นแน่"
จูโนยิ้มเบาบางพลางหัวเราะเสมือนชอบใจ พอให้คู่สนทนาได้เห็นในสายตาว่าตนรู้สึกดี
"แล้ว ท่านต้องการอะไรบ้างล่ะ?"
"หางกิ้งก่าเพลิง กับน้ำผลเบอร์รี่หยาบ กิ้งก่าเพลิงมีผิวสีดำกับลายวงกลมสีส้ม ส่วนน้ำผลเบอร์รี่หยาบมีสีแดงเข้ม กับกลิ่นหวานอมเปรี้ยว และกลิ่นหอมรัญจวนใจ หากท่านสงสัยว่าสิ่งที่เจอคือสิ่งที่ข้าตามหาไหม ท่านนำมาให้ข้าดูก่อนได้นะ"
"ตกลง ข้าจะช่วยท่านตามหาให้"
อัศวินสีหม่นเดินกลับมาสู่จุดวางของขายประจำร้านน้ำชาอีกครา แล้วเริ่มกวาดสายตาหาบริเวณที่ตั้งของชิ้นส่วนร่างกายสิ่งมีชีวิต จึงเห็นชั้นไม้ที่วางขวดแก้วใส่ของไม่พึงเห็นหลายอย่างวางไว้ ซึ่งล้วนปิดแน่นสนิท ไม่มีกลิ่นใดลอยออกมาให้รับรู้ จึงเข้าใจว่าไฉนนักวาดจึงตามหาของตามปรารถนาไม่เจอ แม้ภาพตรงหน้าจะพาความรู้สึกดำดิ่งยิ่งกว่าอะไร
ฟันเขี้ยว คอเต่า ตับสัตว์ ขาไก่ มดลูกหมึก ตะขาบหัวแดง นิ้วมนุษย์ เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในบรรดาสิ่งที่ทำให้อิโระรู้สึกแขยง จนต้องกลืนน้ำลายให้สติคงอยู่ไม่ไปไหน แม้คราบเลือดและบาดแผลจะผ่านตาในการสู้มามาก แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความสยองขวัญอันจัดแสดงในสายตา พาเขารีบเร่งหาสิ่งต้องการ ด้วยหวังให้ภาพอันไม่น่าโปรดปรานสิ้นสุดโดยไว
นักดาบหนุ่มแสวงหาของตามปรารถนาด้วยท่าทีรีบเร่ง กระนั้นเขาก็รับรู้ได้ว่าสิ่งใดที่ผ่านตาเป็นอะไร ในที่สุดเขาก็เจอขวดใส่หางสัตว์สีดำลายส้มจำนวนหนึ่งตั้งอยู่ต่อหน้า จึงรีบหยิบมาแล้วก้าวเท้า พาให้สายตาตนพ้นจากอะไรที่อยู่ใกล้ในทันใด
อิโระมองหาสิ่งถัดไปที่นักวาดต้องการ คือน้ำผลไม้สีแดงเข้ม ทำให้ไล่หาชั้นวางขวดของเหลวสีแดง และเจอของอย่างต้องการในเวลาไม่นาน ทว่ากลับมีขวดสองชุดที่มีสีแดงเข้มเหมือนกัน พลันหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมาเปิดฝา ให้รู้ว่ากลิ่นเป็นอย่างไร ด้วยเป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้แยกได้
กลิ่นของเหลวจากขวดที่แตะจมูก เป็นกลิ่นหวานของผลไม้ประสมความเปรี้ยว กับความหอมอย่างดอกไม้ชวนให้ผ่อนคลาย ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือน้ำผลเบอร์รี่หยาบที่ตามหา กระนั้นความสงสัยในของเหลวอีกขวดก็ยังไม่หายไป จึงเปิดฝาขวดของเหลวสีแดงเข้มอีกหลอดขึ้นมาเปิดฝา ให้รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่
กลิ่นใหม่ที่เขาได้รับรู้ เป็นกลิ่นโลหะที่เขาคุ้นชินยิ่งกว่าสิ่งใด กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงสิ่งเดียวที่เขาจดจำได้ในชีวิต ชีวิตที่มีเพียงการฆ่าฟัน อันตราย ความตาย และซากศพ กลิ่นของเหลวเพียงหนึ่งเดียวที่เพียงเล็กน้อยเขาก็รับรู้ได้ในทันที กลิ่นเลือดที่หลั่งไหลจากสิ่งใดที่ตายลงไป ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น
อัศวินสลัดความคิดในหัวให้มลายลงไป วางขวดเลือดคืนจุดเดิมที่หยิบออกมา แล้วก้าวฝีเท้าพาตนกลับไปหานักวาดในเงามืดของร้านน้ำชา ผู้กำลังตั้งตายืนรอด้วยท่าทีสงสัย ในสิ่งที่ตนจะได้รับจากคนหน้าตน
"เป็นอย่างไรบ้างท่านอิโระ? มีอะไรที่ท่านจะบอกข้าไหม?"
"หางกิ้งก่าไฟ กับน้ำผลเบอร์รี่หยาบ ให้ท่าน"
อิโระยื่นขวดใส่ของทั้งสองให้ด้วยทีท่าเรียบราบอย่างทุกที จูโนจึงรับของทั้งสองไว้ด้วยความใส่ใจ เปิดขวดสัมผัสหางกิ้งก่าไฟ กับดมกลิ่นรัญจวนใจของน้ำผลไม้ เมื่อได้รู้ว่าเป็นสิ่งปรารถนาจึงเผยยิ้มออกมา แล้วแหงนหน้าก้มลงหาหนุ่มหน้าตน
"ขอบคุณนะ ท่านอิโระ ข้าจะใช้ของพวกนี้ปรุงน้ำยาให้ท่านเอง"
"น้ำยาอะไรเหรอ?"
"ไม่ช้า ข้าจะทำให้ท่านคลายสงสัยเอง"
สาวใหญ่ในชุดคลุมยิ้มหวานให้เพื่อนร่วมทาง ก่อนหันหาโตะปรุงยาแล้วตระเตรียมส่วนประสมบนโต๊ะ พร้อมของอีกชิ้นที่หยิบออกมาจากใต้เสื้อ คือตลับผงศิลาเพลิงสีทองคำ ทำให้นักดาบหนุ่มมองตามว่าเธอตรงหน้ากำลังทำอะไร
จูโนลงมีดสับหางกิ้งก่าไฟเป็นชิ้นเนื้อละเอียด เทลงขวดน้ำเบอร์รี่หยาบที่เปิดฝาขวดไว้ ตามด้วยผงศิลาเพลิงที่เก็บไว้ เกิดเป็นเปลวไฟพวยพุ่งจากปากขวด จนอิโระที่ตกใจเข้าไปหลบหลังสาวเจ้าในทันใด แต่ในที่สุดเปลวไฟนั้นก็มอดลงไป
ผลลัพธ์ที่ได้จากการปรุงน้ำยา คือขวดใส่ของเหลวสีส้มอย่างเปลวไฟ ที่มีไอร้อนระเหยออกมารอบขวดเรื่อย กระนั้นก็ไม่มากจนเกินสัมผัสมนุษย์รับไหว นักวาดสาวจึงปิดฝาขวดแล้วหยิบขึ้นมา ให้อัศวินเห็นว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร
"น้ำยาเปลวไฟเหรอ?"
อิโระถามด้วยความไม่มั่นใจ ในเปลวไฟที่พวยพุ่งจากขวดก่อนหน้านี้
"ผิดแล้ว เป็นน้ำยารักษา ช่วยฟื้นฟูร่างกายชีวิตใดให้คืนสภาพได้ในเวลาอันสั้น"
ระหว่างนักดาบผมขาวสดังฟังคำที่นักวาดพูดอย่างตั้งใจ ก็นึกได้ว่าตนเคยเห็นน้ำยารักษาที่คู่สนทนาเคยทำมาก่อน ทว่าสีของมันกลับเป็นแดงอย่างผลไม้ ไม่ใช่ส้มอย่างเปลวไฟที่เห็นในปัจจุบัน จึงเกิดความสงสัยในใจในทันใด
"น้ำยารักษาของท่าน ที่ข้าเคยเห็นไม่ได้มีสีเพลิงแบบนี้ อย่างน้อยก็ที่ท่านให้ทหารพยัคฆ์รัตนนั่นในทางวิถีเงาสีเงิน"
สิ้นคำพูดอัศวินสีหม่น นักวาดตาบอดก็ทำท่าเสมือนกลั้นหัวเราะเอาไว้ แต่ในที่สุดก็เก็บไว้ไม่ไหว จนต้องปล่อยเสียงหัวเราะอันเบาบางออกมา พานักดาบที่เห็นท่าทางเธอเกิดระแวงในใจ กระนั้นก็ไม่ทำอะไรต่อไป แล้วในที่สุดเธอก็เอ่ยถามบ้าง
"ท่านอิโระระแวงข้าสินะ?"
"ไม่ แค่สงสัย"
จูโนยื่นมือขวาหาใบหน้าของอัศวิน เขาจึงยืนนิ่งให้นิ้วเธอสัมผัสแก้มตน แล้วลูบบริเวณแผลไฟไหม้ที่ไม่เลวร้ายเท่าไร จนรู้สึกถึงไออุ่นและความนุ่มละมุนของนิ้วสาวเจ้า กระนั้นที่ดึงดูดความสนใจเหนืออื่นใด กลับเป็นแววตาสีแดงเพลิงอันว่างเปล่าที่เสมือนจ้องเข้ามา กับรอยยิ้มอันจริงใจบนใบหน้า เสมือนพยายามให้รับรู้ถึงอะไรที่เก็บไว้ในใจ
"แม้รอยแผลสะเก็ดไฟ ข้ายังไม่อยากให้ท่านมีติดตัวไว้ แล้วใยข้าจะกล้าทำอะไรท่านได้เล่า? โปรดอย่าสงสัยข้าเลย"
เมื่อพิจารณาทุกสิ่งตรงหน้า ก็เห็นถึงความน่ากลัวที่สาวเจ้าแผ่ออกมา แม้อีกฝ่ายจะพยายามแสดงความเป็นมิตรมากเพียงใด มันก็ไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะแสดงให้เห็น กระนั้นเขาก็ยอมรับว่านั่นคือสิ่งที่เธอเป็น แล้วพูดออกไปอย่างเย็นใจ
"บางครั้งท่านก็ทำข้ากลัวโดยไม่รู้ตัวนะ แต่เอาเถอะ ข้าเชื่อใจท่าน"
เมื่อได้ยินดังนั้น จูโนก็ทำท่าดังว่าตกใจ จนขยับมือที่สัมผัสรอยแผลอัศวินออก ก่อนแสดงความเสียใจให้เห็นผ่านดวงตาอันว่างเปล่า ด้วยแอบรู้สึกผิดในคำพูดตน
"ข้า ทำท่านกลัวเหรอ?"
อัศวินหนุ่มจับมือพันผ้าของนักวาดไว้อย่างเบาบาง ไม่ให้สาวเจ้ารู้สึกถูกดึงรั้งไว้ แล้วขยับให้ปลายนิ้วเธอแตะรอยแผลไฟไหม้บนใบหน้าเขาดังเดิมอีกครั้ง พร้อมเผยรอยยิ้มอันจริงใจให้ แม้จะดูไม่เป็นมิตรเท่าไรก็ตาม
"ใช่ แต่ถ้าท่านพอใจ ข้าก็ไม่ว่าไร"
สิ้นคำพูดอัศวินผู้เยือกเย็น นักวาดสาวก็ยืนแน่นิ่งไม่ขยับไปไหนอยู่พักใหญ่ ไม่ขยับแม้แต่ใบหน้าที่แสดงอาการตกใจ จนหนุ่มน้อยยื่นมือจับไหล่อีกฝ่ายให้รู้สึกตัว
"ท่านจูโน เป็นอะไรหรือเปล่า?"
จูโนกะพริบตาขณะร่างกระตุกชั่วครู่ เสมือนเพิ่งได้สติกลับมา แต่ก็พยายามทำให้ดูไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตน
"เอ๋? ขอโทษที ไม่มีอะไรหรอก"
"ท่านว่าอย่างนั้นข้าก็ดีใจ มีอะไรที่ท่านต้องการในร้านนี้อีกไหม?"
"ข้าได้ทุกสิ่งที่ต้องการแล้ว ไม่มีอะไรให้กังวลหรอก เพราะอย่างนั้น ออกไปจากที่นี่กันดีไหม?"
"ได้เลย ไปกันเถอะ"
อิโระผงกหัวยอมรับ พร้อมเดินนำนักวาดสู่ทางออกจากร้านน้ำชาของหมอยาอย่างไม่เร่งรีบเท่าไร พลางเบี่ยงสายตาให้พ้นจากจุดวางของที่ตนไม่โปรดปรานสักเท่าไร ก่อนหยุดลงหน้าประตูทางออกร้านน้ำชา แล้วสะกิดสาวร่างสูงผู้อยู่ข้างกัน
"ท่านจูโน ก้มลงก่อน ข้างหน้าเป็นประตูทางออก"
"ได้เลย ขอบคุณที่เตือนข้า"
อัศวินหนุ่มพาสาวเจ้าเดินผ่านประตูออกมาด้วยกัน คอยดูไม่ให้เธอเดินชนขอบประตูเหมือนเมื่อครั้งเข้ามา จนในที่สุดทั้งสองก็ออกมาได้โดยไม่เกิดเหตุอะไร จึงพากันเดินออกไป ด้วยหวังเผชิญสิ่งใหม่ในย่านเมืองหลังเวลาผ่านพ่นได้พักใหญ่ กระทั่งแสงตะวันเริ่มจางลงไป กับฟ้าสีครามอันสดใสแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นสีน้ำเงินเข้มดังห้วงทะเลลึกยิ่งกว่าสิ่งใด
ทว่าภาพที่ปรากฏแก่สายตาของทั้งสอง กลับไม่ใช่อะไรที่น่าเชยชมพิสมัยแม้แต่น้อย