ปกติแทบไม่มีใครโทรเข้ามือถือป๊า แล้วหากเป็นคนรู้จักโทรมาก็เท่ากับเขาจะมีปัญหาเรื่องเสียงอ่อนวัยลง ผู้หลงวัยกำลังคร่ำเคร่งกับการเช็ดปากเด็กจนลืมคิดไปเสียสนิท คนที่รับคือหลิน กว่าจะเสียใจที่ไม่ออกไปรับเองก็สายไปแล้ว
"คุณธามเหรอป๊า เขารู้เบอร์ป๊าได้ยังไง"
คำถามของหลินควรจะเป็นทำไมถึงโทรมาหาป๊า เขารู้ตั้งแต่เมื่อไร? ดูเหมือนคำโกหกที่ให้ไปก่อนหน้านี้จะถูกจับได้เร็วกว่าที่คิด ธามขุดประวัติตอนเขาหนุ่ม ๆ ขึ้นมาเหรอ แต่เมื่อ 3-4 ทศวรรษก่อนอินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย หารูปเทียบยาก จะค้นข้อมูลใครสักคนไม่ง่ายเหมือนสมัยนี้
"อ๋อ…"
"นึกอะไรออกคะ?"
"ตรงโต๊ะยามที่ต้องเขียนชื่อ-เบอร์ลงไป"
"ป๊าาา! เขียนชื่อจริงตัวเองลงไปเนี่ยนะ!"
"ก็ตอนนั้นรีบนี่นา" ลูกโดนขังอยู่ใครจะทันได้คิด แต่นึกย้อนแล้วก็อยากหาก้านมะยมมาหวดตัวเองที่สะเพร่าสักที
"ตัดสายไปเถอะ" แด๊ดดูราวกับจะปะทุ หลังได้ยินชื่อคนที่ไม่ชอบตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า เส้นเลือดตรงหลังมือสูบฉีดอยากปะทะ ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกระทั่งทารก แต่คนหลังนี้เครียดเพราะพยายามเลียนแบบผู้ใหญ่ไม่ก็ป๊าไม่ป้อนข้าวสักทีมากกว่า
"รับก่อนค่อยว่ากัน" ป๊าเห็นต่างจากสามี
ดูจากสายตากดดันบวกอยากรู้อยากเห็นของทุกคนแล้ว การจะขอตัวออกไปคุยส่วนตัวคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อธามคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในเรื่องยุ่ง ๆ ที่เกิดกับครอบครัวนี้ ป๊าถึงต้องเปิดลำโพงแล้ววางตรงกลางโต๊ะเลย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่หูผึ่งฟัง
"ผมพูดอยู่กับคุณนาวีสินะครับ"
"ใช่"
"ลืมผมไปรึยัง"
"ไม่มีใครอยากจำมึ—" หลินพ่นถ้อยคำอาฆาตออกมาก่อนโดนตวันตักข้าวคำโตเข้าปาก ระดับความไฟลุกพอ ๆ กับผู้เป็นพ่อ แด๊ดคำรามในคอเหมือนเครื่องยนต์ที่เหยียบเบรกและเร่งเครื่องไปพร้อมกัน ดีที่ตอนนี้สายเบรกเป็นฝ่ายชนะ
"คุณหลิน? ช่วงนี้ดูจะสนใจงานการกุศลของบริษัทจังนะครับ"
ผู้ถูกเอ่ยถึงกัดฟันกรอด เป็นครั้งแรกที่ป๊าเริ่มรู้สึกถึงความโกรธจาง ๆ เมื่อฝ่ายตรงข้ามพยายามลากลูกเขาเข้ามาในวงสนทนาด้วย ถึงได้พาธามกลับเข้าเรื่องด้วยคำถามเสียงเฉียบขาด
"คุณมีธุระอะไร"
"ผมรู้วิธีช่วยพวกคุณได้"
เสียงกุกกักดังขึ้นจากในหมู่เด็กเมื่อตวันไปเอากระดาษกับปากกามาวางบนโต๊ะ หลินเขียนตัวใหญ่ ๆ ว่า 'ยังไง?' ป๊านิ่งไปหลายอึดใจก่อนเอ่ยออกมา "มั่นใจนะ?"
"ออกมาคุยกันหน่อยไหมครับ ให้ผมเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อ"
"ต้องเจอกันให้ได้เลยใช่ไหม"
อีกฝ่ายหัวเราะเสียงนุ่ม ส่วนอีกฝั่งหนึ่งอยากให้เสียงหัวเราะเป็นโหยหวนเจ็บปวด สายเบรกตึงเปรี๊ยะเริ่มขาดผึงทีละเส้น
คราวนี้ตัวอักษรของลูกสาวคนโตเจือความกังวลในลายมือ ฉายความร้อนรนในอักษรตัวท้าย 'ไม่! ปฏิเสธ!' ทั้งยังร่างประโยคที่อยากให้ป๊าพูด 'ผมคงไม่สะดวกครับ พอดีอยู่ต่างจังหวัด' ที่ผู้อ่านส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
"ตกลงนะครับ? คุณนาวีชอบทานอะไรรีเควสมาเลย เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง"
"อะไรก็ได้"
อีกฝ่ายพูดชื่อร้านอาหาร สถานที่ที่อยากให้ไปรับ และเวลา นัดแนะเสร็จสรรพ คำว่าห้องอาหารส่วนตัวทำให้สามีสีหน้าดำทะมึน สายตาของผู้ฟังอยู่กับครอบครัวที่เห็นต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง หลินทิ้งเหตุผลแล้วเน้นแต่ตัวอักษรพิเศษ 'ป๊าาา T T'
ในที่สุดก็มีคนไม่สนแผนล้วงความลับหรืออะไรทั้งสิ้น แด๊ดฉวยมือถือขึ้นไปคุยเอง กระแทกเสียงโกรธ ๆ ใส่ปลายสาย น้ำเสียงหาเรื่องเต็มที่
"เอ็งต้องการอะไร ทำไมต้องเป็นนาวี"
"เพราะป๊าคุยกับเขาตอนแรกละมั้ง" ไม่หรอก ธามอยากให้ป๊าไปคนเดียว จากการจองห้องส่วนตัวก็พอเดาได้ว่าไม่อยากให้ใครเข้ามาแทรกแซง เช่นเดียวกับป๊าที่ไม่อยากให้ครอบครัวไปใกล้ ๆ คนอันตรายแบบนี้เช่นกัน
"คุณฉัตรฟังอยู่ด้วยสินะครับเนี่ย"
ป๊าเกร็งมือโดยไม่รู้ตัว ลังเลระหว่างแย่งมือถือคืนมาจากสามีหรือตะคอกใส่คนปลายสายดี ซึ่งในวินาทีต่อมาธามตัดสินใจให้ด้วยการล่อเท้าเข้าหาตัวเอง
"ผมแค่อยากแลกเปลี่ยนข้อมูลด้วย ไม่ได้อยากวางมวย บอกตามตรงคุณไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเลย"
แด๊ดกัดฟันกรอด พยายามจะส่งจิตอาฆาตผ่านสัญญาณโทรศัพท์ไป ไม่ก็พยายามจะเผาปลายสายด้วยสายตา
"นาวีไม่ไปไหนทั้งนั้น เอ็งไม่ต้องโทรมาอีก" เขาดุเสร็จก็กดตัดสายท่ามกลางความเห็นด้วยของทุกคน ปนสะใจสุด ๆ ของลูกสาวคนโต
หลังวางสายแล้วทั้งห้องครัวปะทุเดือดด้วยเสียงตะโกนปนเป เก้าในสิบมาจากสามีกับลูกสาวคนโต ถ้านับเสียงไม่พอใจของทารกกับสายตาเป็นห่วงเงียบ ๆ ของตวันเป็นการโวยวายได้
"ตกลงกับเขาได้ไงอะป๊า!"
"บักหอยเอ๊ยย!"
"ตานี่ต้องการอะไรเราก็ไม่รู้!"
สาเหตุที่เขาตกลงก็เป็นสาเหตุเดียวกับที่พึ่งพูดออกมานั่นแหละ
"แต่ก็เป็นคนเดียวที่แก้ปัญหาให้หลินได้ไม่ใช่รึ"
"ช่างหัวงานหนูเถอะ! ป๊ากำลังเอาตัวเองไปเสี่ยงกับไอ้-ไอ้ผีที่เกือบจะหักคอคนได้นะ จะให้หนูโอเคเหรอ"
ป๊าตวัดสายตาไปทางโรมเพียงเสี้ยววินาทีเดียว แน่นอนล่ะโรมไม่มีเหตุผลอะไรให้ปิดบัง แม้จะเป็นการทำให้ลูกเขาเครียดเปล่า ๆ ก็ตามที
"ไอ้คุณธามแม่งตอแหล!"
"อยู่ต่อหน้าน้องพูดให้สุภาพกว่านี้หน่อย"
"น้องหนูไม่ใช่เด็กอมมืออย่างที่ป๊าคิดนะ" เสียงมั่นใจ แต่หม่อนที่กำลังโบกขวดนมเล่นเหมือนซ้อมเข้าสงครามทำให้เชื่อได้ยาก น่าแปลกใจที่หลินถามน้องทั้งสองต่อโดยไม่ย่อท้อ "ตวันอยากให้ป๊าไปป่าว"
"อยากให้ป๊าอยู่บ้าน"
ตวันเกาะอยู่กับแด๊ด ชายหนุ่มที่เงียบมาตั้งแต่ปล่อยคำสบถลงล่าสุด ตอนนี้ก้มหน้าเงียบไม่พูดไม่จา ให้ความสนใจกับการปลอบลูกแต่ตาเฉยเมยไม่รู้คิดอะไรอยู่ เห็นแล้วชวนอึดอัด นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาอ่านอารมณ์สามีไม่ออก
"หม่อนล่ะ"
"ดาบูวว"
"เห็นไหม หม่อนก็ปฏิเสธ"
"แค่ไปเจอกันเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว แล้วในร้านอาหารก็มีคนอยู่ตั้งเยอะแยะ"
"เขาพึ่งพูดว่าจะจองห้องไพรเวท"
เฮ้อ…มีลูกสาวเถียงเก่งนี่น่าเหนื่อยหน่ายที่สุด
"ไปไม่ได้เด็ดขาด" แด๊ดเข้าร่วมทัพด้วยเสียงนิ่ง ๆ เย็น ๆ ที่ตวันทำหน้าบึ้งเลียนแบบ หม่อนตามสนับสนุนด้วย ป๊าหันไปสบตาเขาโดยตรง
"อยากรู้เรื่องปาฏิหาริย์ไม่ใช่เหรอ" ป๊าบุ้ยใบ้สายตาเรียงไปทางเด็กน้อยบนตักเขา ลูกสาวที่นั่งบนเก้าอี้สูง และเด็กหญิงผู้กำมืออดกลั้นไม่ให้ตัวเองระเบิดคำเถียงออกมาเป็นชุด "ลูก ๆ คงไม่อยากอยู่แบบนี้ไปตลอดหรอก"
"แต่ถ้าป๊าต้องเสี่ยง…"
"เราไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ปล่อยไว้เฉย ๆ สิจะยิ่งอันตราย" ป๊ารู้ว่าตัวเองมีเหตุผลยากจะปฏิเสธ แม้บางทีอยากหยุดปากลงเมื่อสบกับแววตาเว้าวอนชวนให้เจ็บปวดหลายคู่ "ป๊าเอาความปลอดภัยของตัวเองอยู่เหนือทุกคนไม่ได้หรอกนะ"
ทั้งห้องเงียบเป็นเวลาเกือบนาที จนโรมทำลายความเงียบด้วยการยกมือขึ้นมาพร้อมเสียงไม่มั่นใจ "ผมออกความเห็นได้ไหม" แด๊ดพยักหน้าอนุญาตก่อนเลิกคิ้วสงสัยว่าทำไมต้องขออนุญาต จนเห็นสีหน้ามองแรงอยากให้หุบปากของป๊า
รู้ว่าโรมหวังดี โรมอยากช่วย แต่เขาไม่รู้เลยว่ากำลังทำให้ทุกอย่างมันยากขึ้น
"ปัญหาคือการไปคนเดียวไม่ใช่เหรอครับ"
"เออน่ะสิ ไอ้ลูกค้าตอแหล" หลินขบเคี้ยวไฟโกรธในปากและคำผรุสวาท "หนูว่ามันไม่ได้มีปัญหาไรกะแด๊ดหรอก ป๊าดูยอมคนไง ธามมองว่าป๊าเป็นเป้าหมายที่ง่ายสุดแล้ว" เธอมองไปทางเด็กตัวเล็กตัวน้อย "พวกนี้สืบถามไรไปก็ไม่รู้เรื่อง"
"อย่าดุน้อง"
ตวันที่นั่งฟังเงียบ ๆ มานานตกเป็นสนามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว ส่วนหม่อนใช้ตาแป๋วดูคนคนนั้นคนนี้ที พยายามพูดตามเสียงอ้อแอ้ฟังไม่รู้เรื่อง
"นั่นแหละป๊า ธามก็อยากสืบเรื่องของเรามากพอ ๆ กับที่เราอยากรู้เรื่องเขา แบบนี้มันต่อรองกันได้นะ ยังไงเราก็มีแต้มต่อมากกว่าอยู่แล้ว"
"หลินอยากให้โทรไปอีกรอบเหรอ"
"จริง ๆ ไปจองห้องติดกันก็ได้นะครับ ผมพอจะรู้จักเจ้าของร้านอยู่" โรมโพล่งออกมา
เกิดความเงียบกริบขึ้น โรมลดมือลงอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้สงครามน้ำลายโยนไปโยนมาตั้งนานกว่าจะเสนอทางออก
"แต่เราจะไม่เห็นป๊าเลยนะ แต่—" เด็กหญิงลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิด ก่อนตัดสินใจด้วยแววตาเฉียบขาด "มันก็พอแทนกันได้ ต้องไปดูที่โรงรถ"
หลังพอมีหนทาง หลินก็สามารถต่อยอดวิธีล้วงข้อมูลของตนได้เรื่อย ๆ ตั้งแต่ไปเตรียมตัวก่อนการนัด เปิดดูรูปสถานที่จริงและไล่ซื้อของจำเป็นที่มีแต่ศัพท์เฉพาะฟังลำบาก ผู้เป็นศูนย์กลางนิ่งให้คนอื่นคิดแทน ป๊าพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมทั้งลูกและธามถึงคิดว่าเข้าหาเขาง่ายสุด การเผชิญหน้าตรง ๆ ไม่ใช่นิสัยเขาเลย
____