พัฒน์อยู่ที่ร้านสั่งทำโล่รางวัล
พนักงานยื่นกล่องใส่โล่คริสตัล ให้ พัฒน์แกะกล่องนั้นในมือคือโล่รางวัลคริสทัลนั้น พัฒน์ถามพลางตรวจสอบคำที่เขียนอยู่บนโล่รางวัล หยิบขึ้นมาพลิกดูตามจุดต่าง ๆ "เท่าไหร่ครับ"
พนักงาน " 2,500 บาทครับ น้องแน่ใจนะว่านั้นเขียนถูก"
'รางวัลแม่ทำลายชีวิตลูกดีเด่น อันดับหนึ่งดีเด่น'
พัฒน์จ่ายยื่นเงินให้ 4,000 บาท เขาตอบ "ใช่ ขอบคุณครับ ไม่ต้องทอน เอาไว้เลี้ยงลูก" พัฒน์มองดูลูกวัยสองขวบด้านในร้านเขาเดินออกมาและกลับไปโรงพยาบาล
พัฒน์หยิบเอาโล่จากกระเป๋าออกมาถ่ายรูปคู่กับแม่โดยให้เบนเป็นคนถ่ายใช้กล้องโพลารอยด์ แชะ!! ปฏิกิริยาทางเคมีบันทึกช่วงเวลานั้นลงบนกระดาษโพลารอยด์ พวกเราได้รูปถ่ายมอบโล่รางวัลให้แม่ หนึ่งวินาทีของชัตเตอร์ กลายเป็นรูปภาพบนกระดาษที่อยู่ยาวนาน
พัฒน์ตัดสินใจกลับไปค้นหาต้นเหตุเรื่องราวของตัวเองการเอาแต่อดทนนั้นทำให้เขาโกรธมากขึ้น การดิ้นรนทางใจมีความละเอียดอ่อนในการเข้าถึงด้านที่เปราะบางของตัวพัฒน์ เขากระโดดลงไปในความลึกของชีวิต พัฒน์ตัดสินใจขับรถมากับเบนอีกครั้ง เขาจ้ำเท้าเดินไปเคาะประตูหน้าบ้านสีขาว ริมทะเลหลังนั้น หลังที่เป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมดพัฒน์ยืนอยู่หน้าประตู ตะโกนบอก
"พวกคุณ พวกคุณทำลายครอบครัวผม! แม่ผมเป็นชู้กับผู้ชายบ้านคุณ!" เสียงเท้าคู่หนึ่งเดินตรงจากทางเดินในบ้าน มาเปิดประตู ประตูบ้านหลังนั้นเปิดเป็นผู้หญิงอยู่ด้วยกันสองคนอุ้มเด็กวัยเตาะแตะ
อร แม่ม้ายอายุ 37 ปี ลูกหนึ่งอาศัยอยู่กับธิดาน้องสาว 25 บ้านหลังมีผู้ชายคนเดียว มาเกินสี่ปีแล้ว คืออัลวัยห้าขวบในอ้อมแขนของอร
"ฉันว่าลูกชายฉันไม่น่าทำถึงขนาดนั้น" อรพูด พัฒน์เข้าใจ เขาพูดคุยนิดหน่อยแล้วรีบเดินกลับมาขึ้นมาบนรถ
เบน "เกิดอะไรขึ้นวะ ต่อยไปแล้วเหรอ"
พัฒน์เอานามบัตรโยนเข้ามาในรถ เบนหยิบมาดู พัฒน์เข้ามานั่งในตัวรถ ปกรน่าจะย้ายแล้วขายบ้านนี้ไปแล้ว อรให้นามบัตรปกรมา พัฒน์หยิบมือถือมากดเบอร์จากนามบัตรกดโทรไป
เบอร์นั้น ปลายสายรับสาย
พัฒน์ "ครับ ใช่ครับสนใจซื้อผ่านคุณปกรครับ"
"ที่ไหนครับพอดีผมจะไปที่นั่นสุดสัปดาห์พอดี"
พัฒน์จดที่อยู่ จากปลายสายบอกด้านหลังนามบัตร"ครับ ขอบคุณครับ" เบนหยิบนามบัตรมาดู พัฒน์สตาร์ทรถ เริ่มขับรถออกไป มองไปด้านหน้า หันมาบอกเบน "บาหลี"
ตอนซื้อตั๋วที่สนามบิน เบนถาม "มันไม่มากไปหน่อยเหรอวะ" ดูดน้ำจากร้านฟาสฟู้ดที่ซื้อในสนามบิน
"ไมล์ โช ทำคนเดียวได้ เอกสารที่เหลือส่งเมลวิธีการให้ไมล์ทำ" พัฒน์ตอบไม่ตรงคำถามเบนถอนหายใจและยื่นพาสปอร์ต ดูดน้ำและทิ้งแก้วพลาสติก ก่อนขึ้นเครื่องบินพัฒน์ฟังเพลงด้วยหูฟังไร้สาย
เบนกับพัฒน์มาถึงทะเลที่บาหลี ประเทศอินโดเนเซีย ทั้งสองคนถือกระเป๋า ทางสนามบินตอนเอากระเป๋าลง ระหว่างรอกระเป๋าพวกเขาเจอโทนี่ตอนลงจากเครื่อง บ้านโทนี่ทำอสังหาที่ไทยกับอินโดเนเซีย เขาบินไปกลับไทยบ่อย เป็นเรื่องบังเอิญที่ดี
โน๊ตเรื่องคนในคิปป์ทีม
ทุกกลุ่มจะมีคนที่พูดมากที่สุด โทนี่ ยามาซากิ แหละที่หนึ่งในคิปป์ทีม ส่วนคนอันดับหนึ่งในการพูดน้อยคือพัฒน์ ทุกคนต่างเป็นอันดับหนึ่งบางอย่างในวัยเด็ก ตอนนี้เขายังพูดเยอะอยู่ ตอนเด็ก ๆ ที่เราอยู่กับเขาบางช่วงเราก็อึดอัดบ้าง แต่อย่างว่าช่วงสามเดือนที่โทนี่มาอยู่ในคิปป์ทีม ของในการทำวิจัยช่วงนั้นเราไม่ต้องขโมย เขาขายเก่งนั่นแหละคืออุปนิสัยของความมั่งคั่งโทนี่เคยเล่าเรื่องนี้
"ผมได้ข่าวว่าพวกนายทำชมรมกัน" โทนี่ถาม
"ใช่ ๆ ชมรมเหมือนชมรมอ่านหนังสือ" พัฒน์ตอบ
"แม่เป็นไง? ยังขายที่ดินอยู่ไหม บอกได้นะ" โทนี่บอก
เขาตอบให้จบ ๆ ไป "ใช่เธอโอเค" ไม่ใช่ทุกคนในคิปป์ทีมจะเข้ากับคนเก่ง
"จะไปไหน กุต้าหรือเดนปาซ่า" โทนี่คะยั้นคะยอถาม เขารู้เกี่ยวกับบาหลีเยอะกว่า
พัฒน์ตอบ "เพนิด้า"
"มาดิเดี๋ยวผมไปส่ง" โทนี่ชวน
"จริงเหรอ?" พัฒน์หันไปหาเบน ทั้งเบน พัฒน์ขึ้นรถไปที่ท่าเรือต่อ รถขับข้างภูเขาผ่านเมือง กำลังจะไปท่าเรือ ทิวทัศน์ของเขาและทะเล พวกเราขึ้นบนเรือและออกเรือจากท่า
"โทนี่จอดแป๊บ ผมอยากเห็นทะเล" พัฒน์เอ่ยทัก
"ทำไมเหรอ ตรงอื่นสวยออก" โทนี่ตอบ
"ยังมีเวลาเหลือป่ะ" พัฒน์ถาม
"มีเวลาเหลือเฟือเลยวะ" โทนี่ตอบอย่างสบายใจ
ทั้งสามคนขึ้นเรือเฟอร์รี่ของโทนี่ เบนคุยกับโทนี่ตรงที่นั่งคนขับข้างหน้า พัฒน์นั่งท้ายเรือ เสียงคลื่นกับมอเตอร์ เสียงลมจะบาดหู ทั้งหมดจะเป็นออเคสต้าของธรรมชาติ ตัวละครจะทยอยออกมาความพิเศษของการนั่งด้านหลังเรือคือ คลื่นน้ำที่กระเซ็นสู้เรือ จะเป็นเม็ดเล็ก ๆ เหมือนฝนย่อม ๆ กระจายออกด้านข้างเรือเมื่อองศาที่สี่สิบถึงสี่สิบสองและมุมถูกที่ สีของแสงจะนำพาตัวละครลับออกมาจากม่านของอากาศ นั้นคือ 'สายรุ้ง' กำลังร่ายรำท่ามกลางท้องทะเล การมองสายรุ้งเป็นชั่วโมงเยียวยาจิตใจเขามากกว่าที่คิด
ที่หาดในเกาะเพนิด้า บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
โทนี่ถามเบน "ทำไมนายไม่อยากให้น้องเรียนแพทย์"
เบนตอบ "ฉันก็ไม่รู้ คงไม่อยากให้เป็นแบบแกมั้ง" โทนี่หัวเราะกับเบนที่ขำในลำคอ
โทนี่ถามกลับ "รัฐศาสตร์ จะทำอะไรได้? ประเทศแบบนั้น"
พัฒน์เดินมาพอดี จากการไปถามโรงแรมแต่ละโรงแรมแถว ๆ เพนิด้า เบนถาม "ได้เรื่องมั้ย?"
พัฒน์ตอบ "ไม่ได้เรื่องเลย พอถามที่สำนักงานเขาอีกที เขาเช่าบ้านในเพนิด้าแน่นอน ผมว่าเราไปเดินเล่นกันเถอะ" พัฒน์บอกเบนและโบกมือลาโทนี่ "ขอบใจมากโทนี่ เจอกัน"
"มีปัญหาอะไรโทรมา" โทนี่บอกก่อนจากลา
เบนหยิบน้ำปั่น "ไปดิ" พร้อมกับหยิบแพ็กเกจดำน้ำดูปลากระเบนมาให้พัฒน์ดู พัฒน์ปัดทิ้ง
"พวกเราไม่มาที่นี่เพื่อทำอะไรแบบนั้น"
เบนพยายามเปลี่ยนเรื่องเครียดของพัฒน์ถามเรื่องที่ต้องจัดการอื่น ๆ "เป็นยังไงบ้าง พินัยกรรมจัดการหมดแล้ว ทุกครอบครัวก็มีปัญหาของตัวเองอ่ะ แค่ของนายมันแบบ… มากกว่านิดหน่อย" เบนเบะปากทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
พัฒน์พยักหน้ายอมรับเรื่องนั้น "เราจะเติบโตเป็นแบบพ่อแม่มั้ย"
เบนตอบ "ฉันก็ไม่รู้ รู้แค่เราวิ่งหนีอดีตไม่ได้ แม่ฉันเรียกไม้กวาดว่าไม้ฝาดนะ"
"แม่ผมนอกใจพ่อนะ" พัฒน์พูด ทั้งสองคนขำเจื่อน ๆ พร้อมถอนหายใจ
"ปู่ฉันเคยเล่าว่าตอนไปหาฟิล์มให้นิตยสารที่ไอซ์แลน เขาต่อยกับฉลาม" เบนเล่า
พัฒน์ "จริงปะ โคตรเจ๋ง"
ทั้งเบนและพัฒน์แยกย้ายเข้าบ้านพักบังกะโลริมทะเล
พัฒน์นอนไม่หลับ เดินออกมาข้างนอกริมหาด เห็นเบนสูบบุหรี่ข้างนอกริมทะเล พัฒน์เดินเข้าไป เขานึกว่าเบนเลิกสูบบุหรี่แล้ว "นี่คือบุหรี่ของความสำเร็จ" เบนเคยปณิธานกับตัวเองว่าจะสูบบุหรี่แต่ประเทศละมวน
"พี่อยากเป็นลูกค้าเหรอ ปอดหรือตับดี ราคาคนในองค์กร"
"ราคาพิเศษ" ทั้งสองคนพูดพร้อมกัน พวกเขาต่างหัวเราะ
แสงจันทร์โบกมือลาทั้งสองคน
เช้าวันถัดมา อีกสองสัปดาห์ พัฒน์จะผ่าตัด
พัฒน์ออกมาวิ่งริมทะเลตอนเช้า เจอปกรวิ่งอยู่ริมหาด ปกรโบกมือทักทายคนแปลกหน้าเป็นปกติ เสียงทรายกับทะเลกลบเสียงการวิ่งตามของพัฒน์ ปกรเข้าบ้านริมทะเลไป พัฒน์แอบดูจากหน้าบ้าน บ้านบังกะโลหลังใหญ่ มีชานบ้าน มีโต๊ะไม้หน้าบ้าน เขาเห็นภรรยาปกรและลูกชายอีกสองคน
พัฒน์ใส่เสื้อเชิ้ตลายดอกแขนสั้นนั่งบนเก้าอี้พับ นั่งกับเบน อยู่หน้าบ้านบังกะโลที่ปกรอยู่ ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวตั้งแต่เช้า เขาชายตาไปทางด้านหลังบ่อย ๆ แฟนปกร หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากหน้าบ้าน พัฒน์มองด้วยหางตากลัวเธอรู้ตัว เด็กสองคนเดินตรงลงไปเล่นน้ำทะเลที่หาด เธอยืนเหยียบบนทรายชายฝั่ง
เฝ้ามองลูก ๆ ของเธอมีความสุขกับน้ำทะเล "อยู่ในพื้นที่ตื่นนะ ใช้ห่วงยางตลอดนะลูก" เธอตะโกนบอกเด็กสองคนที่ลงไปเล่นน้ำ
พัฒน์มองทั้งสามคน หันไปบอกเบน "แป๊บหนึ่งเดี๋ยวผมมา"
เบนลุกหันมาจากอาบแดดหันหน้า ถอดแว่นกันแดดออกมาหันไปมอง พัฒน์เดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น พัฒน์ไปยืนข้าง ๆ แฟนปกร เขาเดินเข้าไปถามมีท่าทีเกร็ง ๆ เขามองไปทางเดียวกับเธอ คือทะเลข้างหน้า
"สวัสดีครับ พี่เลี้ยงลูกยุ่งเลยมั้ยครับ"
เธอตอบ "ใช่ค่ะ พวกเขาซนไม่หยุดเลย แต่อยู่ในวัยเล่นสนุกก็เลยปล่อย" เธอเข้าใจในการคุยกับนักท่องเที่ยว สายตาเธอมองเด็ก ๆ หันกลับมามองพัฒน์บ้างสังเกตพัฒน์ เธอรู้ดีว่าคนบางประเภทก็อันตราย เท่าที่ดูพัฒน์ไม่น่าเป็นแบบนั้น เธอประเมิน
พัฒน์พยักหน้าเข้าใจ "พวกเขาอายุเท่าไหร่เหรอครับ"
"หกขวบ กับ สิบขวบค่ะ"
พัฒน์ "จริง ๆ ผมก็จะมีพี่ แต่ช่วงนั้นแม่ทำงานหนัก" เขาหยีตากับแดดพร้อมกับยักไหล่ พัฒน์พูดเรื่องการสูญเสียพี่สาวในครรภ์ของแม่
เธอเข้าใจเรื่องการสูญเสีย "เสียใจด้วยนะคะ น้องอยู่ที่นี่เหรอ?"
"ไม่อะครับ ผมอยู่ภูเก็ต ที่ไทยนั่นแหละ"
"ฉันก็เหมือนกัน โชคดีจังเลยนะที่ได้เจอ" เธอตอบ
"ผมแค่อยากมาเที่ยวกับพี่ที่ทำงานด้วยกัน เรียกว่าอะไรนะ 'ทริปบริษัท' สักสองถึงสามวัน เหมือนหาเฟรนไชน์ แม่ผมเข้าโรงพยาบาล เราแค่อยากพักหายใจบ้าง" พัฒน์อธิบาย
"แย่จัง เป็นอะไรขอถามได้มั้ย" เธอถามด้วยความเห็นใจ
"แม่ประสบอุบัติเหตุ หัวกระแทกแรงไปหน่อย" เขาตอบ
"รถ หรือเรือ"
"รถยนต์ครับกับรถบรรทุก"
เธอสังเกตเห็นจุดแดงผลจากการทำเคมีบำบัดที่คอ พัฒน์รู้ตัวว่าเธอน่าจะถาม "ใช่ครับ อันนี้ผลจากการทำเคมีบำบัดมะเร็งสมองครับ อีกสองสัปดาห์ผมก็ขึ้นเขียง"
"น่าสงสาร…"
"ไม่ ไม่ ครับ อย่าพูดคำนั้นเลยครับ"
เธอพยักหน้ายิ้มตอบ "ขอให้โชคดีนะคะ คุณกับแม่ของคุณ ขอให้รักษาหาย"
"อย่าไปไกลนะบอล" เธอตะโกนคุยกับเด็กทั้งคู่ในทะเล
พัฒน์ถามเขาใช้นิ้วโป้งชี้ไปด้านหลัง "คุณอยู่ที่นี่ บังกะโลนี้เหรอ?"
"ใช่ สามีมาทำงานที่นี่ค่ะ เราเลยมาพักร้อนซะเลย เรารู้จักเจ้าของที่นี่"
"ทาเคชิ ยามาซากิใช่มั้ย?"
"ใช่"
"เขาเป็นพ่อของเพื่อนผมที่ชื่อโทนี่"
"งั้นหนูก็อาจรู้จัก สามีชั้นปกร ศุมาลิน"
"ไม่ ผมว่าผมไม่รู้จัก" พัฒน์โกหก
"ฉันแค่คิดว่าคุณน่าจะรู้จัก"
เด็กทั้งสองขึ้นมาจากน้ำทะเลมาหาเธอ พัฒน์เลยหาทางออกจากบทสนทนา "ยินดีที่ได้คุยด้วยนะครับ"
"คุณก็ด้วย ดูแลตัวเองด้วยนะคะ"
พัฒน์กลับมาที่พักนึกหาวิธีจะเข้าไปคุย ในที่สุดพัฒน์รีบไปห้องครัวโรงแรม หยิบปลาสดมาสองตัว แล้วออกไปเบนรีบตามออกมา ไปที่หน้าบังกะโล ที่ปกรอยู่เขาไม่รู้ว่าพัฒน์จะทำอะไร พัฒน์เดินถือปลา จ้ำทรายไปที่หน้าบ้านปกร "ผมขอโทษที่พาพี่มาเกี่ยวข้องด้วย ผมควรทำคนเดียว" พัฒน์บอกเบน
"ฉันต่างหากที่ลากนายเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันเป็นคนที่รู้" เบนตอบ ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่หน้าบ้าน พัฒน์กลัวที่เผชิญความจริง ไม่กล้าเรียกเขาต้องก้าวสู่ความจริงอีกก้าวหนึ่ง เขาเห็นฐิตาอยู่หน้าบ้าน
เบนเตือนสติ "อย่าแหยดิวะ"
พัฒน์ตะโกนหาฐิตาที่ยืนอยู่หน้าบ้าน "สวัสดีครับ ผู้ชายจากหาดวันนี้ครับ"
"สวัสดีค่ะ" ฐิตาทักทายกลับ
"ผมน่าจะขี้กลัว จริง ๆ แล้วผมรู้จักพี่ปกร ศุมาลิน วันนี้ผมไปดำน้ำดูปลากระเบนมา แล้วได้ปลาสองตัว ผมว่าคุณอาจอยากได้ของฝากเลยแวะมาทักทายก่อนกลับพรุ่งนี้"
เบนหันไปทางพัฒน์ "ทักทายเหรอ?"
ฐิตาตอบ "ดีค่ะขึ้นมาเลย" ทั้งสามคนยืนอยู่ชานบ้านรับลมทะเล
พัฒน์แนะนำตัวเอง "ครับผม พัฒน์ ณ อยุธยา แล้วก็นี่เบน เบนจามิน วอลเตอร์พี่ที่ทำงานด้วยกัน" เบนโบกมือทักทาย
"ฉันฐิตา ศุมาลิน คุณน่าจะเคยลงหนังสือพิมพ์ ครอบครัวเราน่าจะใกล้ชิดกัน"
พัฒน์ตอบ "ใช่ครับ เราค่อนข้างเกี่ยวข้องกับพี่ปกรมา ใช่เราอาจเจอกันผ่าน ๆ ไม่รู้เหมือนกัน"
"พวกคุณคงตัดสินใจ สถานที่รึยัง?"
พัฒน์ถาม "เรื่อง?"
เธอตอบ "แฟรนไชส์" ทำให้พัฒน์ฉุกคิดขึ้นได้
"ใช่ครับ พวกเราเหมือนสตาร์ทอัพ (strat up) เรายังไม่ตัดสินใจกันตอนนี้ครับ"
"ขอบคุณที่เล่าให้ฟัง โปรเจคนั่นน่าจะวิเศษมาก คุณเล่าให้ฉันฟังได้มั้ย?" ฐิตาถาม
พัฒน์หันไปมองเบน เบนยักไหล่ "ขอโทษมันเป็นความลับ" พัฒน์ตอบ
"ขอโทษด้วย นั้นเป็นความลับทางธุรกิจนี่"
"ไม่เป็นไรครับ"
"คุณอยากกินกาโด้ กาโด้มั้ย?" ฐิตาถาม
"อะไรนะ? กาโด้?" เบนพยายามออกเสียงตาม
"มันเป็นสลัดแต่เป็นซอสถั่ว มีข้าวเกรียบโรย" ฐิตาอธิบาย
"น่าสนใจแต่พวกเราพึ่งกินมา" พัฒน์ตอบปฏิเสธ
"งั้นเครื่องดื่ม?"
"ใช่ครับพวกเราต้องการสิ่งนั้น น้ำอัดลม" เขาตอบ "เบียร์แล้วกันครับ" เบนตอบแทนพัฒน์ ปกรที่เดินอยู่ในห้องนั่งเล่นเปิดประตูออกมาทักทายพอดี
"สวัสดีครับ ผมปกร ศุมาลิน" ปกรแนะนำตัวพร้อมกับยื่นมือทักทาย
พัฒน์กล่าวทักทาย "พี่ปกร เราอาจเคยรู้ผมพัฒน์ลูกของ อารยา ณ อยุธยา ผมคิดว่าคุณอาจเคยเจอแม่เหมือนกัน"
สีหน้ายิ้มแย้มของปกรหายไปในทันที
"คนนี้พี่ผม พ่อของเขาเป็นเพื่อนของคุณ ริชาร์ด วอลเตอร์"
"ฉันจะเอาเครื่องดื่มให้พวกคุณนะ" ฐิตาเดินเข้าบ้าน ทิ้งให้ทั้งสามคนคุยกันเอง
เบนตะโกนถามฐิตาจากชานบ้าน "มีอะไรให้ช่วยมั้ย?"
"ไม่เป็นไร ฉันจัดการเอง" เสียงตะโกนมาจากด้านในบ้าน
พัฒน์เริ่มปลดปล่อยความรู้สึกตัวเอง คนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่ทำให้เกิดเรื่องทุกอย่างทั้งแม่ประสบอุบัติเหตุและต้องดูแลตัวเองพ่อเสียและขายอวัยวะ พัฒน์เลือกที่จะสรุปรวบและเข้าประเด็นทุกอย่าง "แม่ผมกำลังจะตาย" พัฒน์พูดแล้วรอยยิ้มเจื่อน ๆ บนหน้าปกรหุบลง
"อ้อ แป๊บนะ ไอ้ขวด!! แม่ผมกำลังจะตาย เราถอดเครื่องช่วยหายใจเมื่อวาน อีกไม่กี่วันเธอก็จะตาย"
เบนมองหน้าปกร เอ่ยถามพัฒน์ "คนนี้เหรอ?"
พัฒน์ตอบ "ใช่"
เบนเอาแต่จ้องหน้า "ทำไมแม่นายถึงชอบคนแบบนี้วะ"
พัฒน์ตอบ "เขายิ้มสวยกับพูดเสียงดังมั้ง"
ปกรอึ้ง "ผมเสียใจจริง ๆ ผมไม่คิดว่ามันจะลงเอยแบบนี้"
"คุณเสียใจเรื่องแม่ผมกำลังจะตาย หรือเสียใจที่ทำให้ครอบครัวผมแตก หรือเสียใจที่ทำให้ชีวิตผมพัง"
"ผมเสียใจกับทุกเรื่อง" ปกรตอบด้วยแววตาปั่นป่วน
พัฒน์อธิบายเสียงแข็ง "ฟังนะผมไม่ได้มาทำลายชีวิตคุณ ผมแค่อยากให้โอกาสคุณได้ไปโรงพยาบาล ผมไม่รู้ว่าคุณจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่ แค่ไหนแต่คุณคงหาข้ออ้างไปได้อยู่แล้วคนอย่างคุณ น่าจะอ้างได้"
ทันใดนั้น ผัวะ!! เบนต่อยปกรล้มลง
"นั้นสำหรับน้องชายฉัน" เบนพูด หันหลังวิ่งลงจากชานบ้านไปที่ชายหาด
"นั้นมันหมัดผม! ถ้าคุณไม่ไปไม่เป็นไร ได้ยินที่ผมพูดมั้ย" พัฒน์พูด ปกรลุกขึ้นมา เสียงฐิตากำลังออกจากห้องครัวเดินมาบริเวณหน้าบ้าน
"ขอผมถามสุดท้าย กับแม่นี่คุณรักหรือแค่เพศสัมพันธ์" เขาไม่อยากถามแต่ก็ต้องรู้ ปกรเอาแต่ใช้มือซ้ายคลำพื้นที่ช้ำบวมปูดบนใบหน้า อ่ำอึ้งยังไม่ยอมตอบ
"บอกมาเถอะ ถ้าผมทำลายชีวิตคุณผมทำไปนานแล้ว"
"… แค่เซ็กซ์"
พัฒน์อึ้งนิ่งกับคำตอบ ถอนหายใจครึ่งหนึ่ง "อย่างน้อยคุณควรโกหกผมเรื่องนั้น"
ผัวะ! พัฒน์ต่อยปกรล้มอีกครั้ง พัฒน์รีบวิ่งออกไป และตะโกนจากชายหาดมา "แม่ผมอยู่โรงพยาบาลภูเก็ต ผมมาบอกแค่นั้นแหละ" ฐิตาตกใจเมื่อออกมาหน้าบ้านและเห็นปกรล้มลงเขาตอบ "พวกวัยรุ่นก็งี้แหละ"
"แต่คุณรู้จักพ่อแม่เขานะ" ฐิตาตอบอย่างสงสาร
"นั่นแหละที่ทำให้ผมโดน" ปกรตอบเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่กลบเกลื่อน
วันถัดมาพัฒน์กับเบนนั่งเครื่องบินกลับมาที่ไทย อยู่ที่ห้อง 633 ตอนกลางวัน เบนกำลังคุยเรื่องวัสดุจากกรรมจากการพิมพ์ทดแทนพื้นที่กระดูกกะโหลกศีรษะของพัฒน์หลังผ่าตัด
ฐิตาเปิดประตูเข้ามาพร้อมดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ ฐิตาเกริ่นก่อน "ฉันพึ่งจะรู้จัก ถึงแม้เราจะเริ่มกันได้ไม่ดี ครอบครัวเราคิดว่ามีควรมาหาเธอ ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกว่าฉันควรแวะมา"
เบนรู้ว่าตัวเองควรออกจากห้อง
พัฒน์ "ขอบคุณที่แวะมา ดอกไม้สวยมากครับ"
"งั้นฉันออกไปหาไรกินก่อนนะ" เบนรีบเดินออกไปจากห้อง
"ผมขอโทษเรื่องเบนด้วยครับ ตอนนั้นเขาเมา ผมไม่แน่ใจว่าคุณอยากรู้อาการของแม่ผมมั้ย แต่เธอใกล้จะตายแล้วครับ จริงๆแล้วนั้นคือเหตุผลที่เราอยู่ที่นี่" พัฒน์อธิบาย
"นั้นเป็นเหตุผลที่ฉันมา ฉันรู้ ปกรไม่ยอมมา ฉันคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ฉันคิดว่าใครสักคนควรมา"
"ปกรบอกคุณแล้วเหรอ"
"คืนนั้นหลังจาก พวกเธอกลับไปเขาก็ทำตัวแปลก ๆ ฉันรู้สึกแปลก ๆ"
"เซ้นของผู้หญิงสินะ"
ฐิตาพยักหน้า "สุดท้ายก็เค้นจากเขาได้ หลังจากที่เราทะเลาะกัน ไม่คิดเลยว่าเราจะทะเลาะต่อหน้าลูก เขาตัดสินใจที่จะไม่มา เขาคิดว่าทำถูกแล้วแต่ตอนนั้นฉันสับสนและโกรธ และเสียใจมากจริง ๆ ว่าพัฒน์ต้องเจอกับอะไร ขอฉันพูดอะไรกับเธอหน่อยได้มั้ย"
"แม่ครับนี่ฐิตา ฐิตานี่ แม่ผมอารยา ณ อยุธยา"
ฐิตาคุยกับแม่ที่หลับอยู่ "ฉันแค่อยากบอกคุณ ฉันแค่อยากบอกว่าฉันยกโทษให้คุณ ฉันอยากพูดยกโทษให้คุณที่คุณก็พยายามทำลายครอบครัวฉัน เพราะว่าฉันควรให้อภัยคุณถึงแม้ฉันจะเกลียดคุณแค่ไหนก็ตาม ทำไมฉันต้องให้อภัยคุณด้วยโดยที่คุณหลับอยู่แล้วทำเป็นไม่รู้เรื่อง ฉันแค่อยากพูดว่าฉันยกโทษให้คุณได้โดยบริสุทธิ์ใจ" เธอร้องไห้
"โอเคครับ พอล่ะครับ" พัฒน์ช่วยห้าม
"แม่เขาน่าจะให้อภัยคุณ เขาไม่ได้รักปกร"
"ใช่ ฉันรู้"
ผู้ป่วยห้อง 633 ยังคงหลับตาตอบรับเรื่องต่าง ๆ
สองวัน ถัดมางานศพ พัฒน์เป็นคนกล่าวปราศรัย เรื่องอารยา
"ผมไม่รู้ว่า แม่เป็นคนแบบไหนก่อนแม่จะเป็นแม่ อาจเป็นแม่ทั่วไป ชอบอวดลูกหรือแม่ปกติ ก่อนจะเป็นนางอารยา ณ อยุธยา แม่ทำงานหนักพิเศษเพื่อเอาเงินมาเป็นค่ารักษาโรคหัวใจของแม่เธอตั้งแต่เด็ก แม่เรียนปริญญาตรีมหาลัยไม่ได้มีชื่อเสียง เธอจบบริหารธุรกิจ มาเป็นพนักงานขายสองปี และออกมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แม่ผมทำงานหนักมาก พวกเราไม่ค่อยคุยกันเหมือนแม่ลูกคนอื่น ๆ เขาได้แค่เลี้ยงให้ผมเป็นปกติ ผมไม่เคยรู้สึกพิเศษเลยหลังจากเกิดอุบัติเหตุและช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดพาเรามาที่นี่ นี่แหละคือผู้หญิงที่เราอยากให้คุณจดจำ" งานศพจบลง แม่กลายเป็นเถ้าสีเทา พัฒน์กับเบนเอากระดูกแม่ไปโปรยที่ภูเขา
ผงเถ้าสีเทากำลังล้อกับสายลม ทุกอย่างกำลังกลับไปสู่ธรรมชาติ หลังจากนี้ตัวตนแม่จะอยู่แค่ในเรื่องราวของผมกับคนที่แม่เคยรู้จัก วันหนึ่งที่คนเหล่านั้นลืมเรื่องหรือจากไป แม่ก็จะจากไปครั้งที่สอง "ผมแค่ชอบท้องฟ้าแบบที่แม่ชอบ ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร บางทีผมมองท้องฟ้าโดยที่ผมก็ไม่รู้เลยว่าผมมองไปทำไม" หลาย ๆ ครั้งพัฒน์ก็ไม่รู้ว่าตัวเขาเองควรจะรู้สึกอะไร ได้แต่หยิบยืมความรู้สึกจากหนังสือ การแสดงออกสีหน้าตัวละครในภาพยนตร์ หรือคนอื่น ๆ เลียนแบบความรู้สึก เขามียอมรับว่าเขามีปัญหาในการแสดงอารมณ์ แค่นั้นก็น่าเศร้ากว่าเรื่องทั้งหมด เขากำพร้าความรู้สึก พัฒน์ถอนหายใจต่อให้นั้นเป็นการถอนหายใจ แต่นั่นก็เป็นการหายใจ
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ พัฒน์เข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกที่สมองส่วนหน้า พื้นที่กะโหลกพัฒน์ด้านหน้าเป็นหลุมอยู่ เพราะการผ่าตัดทำให้เนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถปิดกะโหลกได้ทันที การผ่าตัดเป็นไปด้วยความสำเร็จ พัฒน์มีลมหายใจอยู่ต่อ การอยู่อย่างทุกข์ทรมานของเขาต้องยืดออกไป
พัฒน์พักฟื้นสามวัน ทั้งหมดนี่เหมือนจะโชคดีเกินไป แต่เขารู้ความรู้ไม่มีโชค ความรู้เต็มไปด้วยเหตุและผล พัฒน์ทำตามกฎเสมอ เพราะกฎมันดูเป็นเหตุเป็นผลเสมอ แต่กฎประเทศนี้ไม่เป็นเหตุเป็นผล หากเขาอยู่ที่นี่ต่อคงเน่าตาย ที่นี่กำลังทำลายทุกอย่างคนเหล่านี้คิดว่ายังมีโอกาส พวกเขาจะคิดได้หลังมันสายเสมอ พัฒน์จะเอาประวัติการรักษาของตัวเองให้ที่อื่นดูแลต่อ
จิตใจเขาอาจรั่วซึม โครงสร้างทางใจ เป็นโครงสร้างที่อยู่อาศัย พัฒน์เอาเงินบางส่วนซื้อบ้านกลับมาจากธนาคาร ผ่าพนักงานไฟแนนซ์ นพรุธ เขาเอารูปแม่และครอบครัวกลับมาวางไว้ที่เดิม เรื่องราวของเขายังคงอยู่ในบ้านหลังนี้ เหมือนบ้านเป็นบ้านอีกครั้งก่อนที่พัฒน์เก็บกระเป๋าเดินทางไปที่สนามบิน
ในอาคารท่าอากาศยานภูเก็ต
เบนหยิบกล่องกระดาษมาจากหลังรถเดินเข้ามาหาพัฒน์ เบนพูดทวนของที่อยู่ข้างในพร้อมกับยื่นให้พัฒน์ "ไฮดรอกซีแอปาไทต์ (Hydroxyapatite)"
ในมีพัฒน์ถือสิ่งนั้น จ้องมองสิ่งที่เขียนบนกล่อง ทวนคำพูดของสิ่งที่อยู่ข้างใน "69 เปอร์เซ็นต์" มองไปทางเบน เบนพยักหน้าตอบ ในกล่องคือพื้นที่กะโหลกพัฒน์จากการพิมพ์สามมิติ
ที่เกิดหลังผลสแกนกะโหลกหน้าหลังบน ซ้าย ขวา เบนเอาแผ่นสแกนขึ้นโปรแกรมสามมิติ และกลับด้านฝั่งตรงข้ามที่มีพื้นที่ หาพื้นที่ที่แหว่งไปจากกะโหลกด้านหน้า หลังจากนั้นพิมพ์ออกมา โดยใช้หมึกชีวภาพไฮดรอกซีแอปาไทต์ เป็นสารอนินทรีย์องค์ประกอบกระดูก น้ำหนักเท่ากระดูก เบนทำสิ่งนี้เป็นชิ้นสุดท้ายจากห้องวิจัยพิมพ์อวัยวะ
"ใช่ อันนี้คือชิ้นสุดท้าย" ทั้งสองคนดูเครื่องบิน ในลานจอด "243 ชิ้น ไม่แย่เลยนี่"
"มันยังไม่ถึงเป้าหมาย แค่รับได้"
เบนพยักหน้าเข้าใจ "อันนี้คือเป้าหมายของนายจริง ๆ ใช่มั้ย ออกจากประเทศ" สำหรับพัฒน์ทุกคนอยากอยู่กับคนที่ตัวเองรัก แต่สำหรับพัฒน์ไม่มีแล้ว เรื่องราวของเขาที่นี่จบลงแล้ว
"ผมแค่ไปหาจุดที่ผมยืนบนโลกได้" พัฒน์อธิบายต่อ "ผมช่วยคนประเทศนี้ไม่ได้ จะช่วยคนให้ออกจากไฟได้ไง ถ้าพี่เองก็ยังอยู่ในไฟ" พัฒน์นิ่งคิดกับสิ่งที่ตัวเองพูด เบนตกใจกับสิ่งที่เขาบอก ทุกอย่างดูไม่จริงสำหรับผม เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันมากเกินไป
"ผมมีแค่ความรู้ จะทำอะไรได้"
เบนขำในลำคอตัวเอง หน้ากึ่งยิ้มบนใบหน้า เขานึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่พัฒน์ผ่านมา เรื่องทั้งหมดมันมากเกินกว่าจะตอบไปแค่ประโยคเดียว เบนหันหลังโบกมือให้พัฒน์เดินไปประตูทางออกสนามบิน
พัฒน์ตะโกนถามเบน "แล้วพี่จะทำอะไร?"
"ใช้เวลากับครอบครัว เท่าที่ทำได้" เบนตอบโดยไม่ได้หันหลังกลับมา พัฒน์มองหลังเบนจนกว่าเขาจะออกจากประตูสนามบิน พัฒน์ยื่นตั๋วเดินขึ้นเครื่องไป กระเป๋ากำลังถูกลากขึ้นเครื่อง เรื่องราว วิถีชีวิต ความคิด อยู่ที่กระเป๋านั้น เขาเอากระเป๋าวางไว้ข้างบนและนั่งริมหน้าต่าง ตอนนี้ตัวเขาเองชอบท้องฟ้าในแบบของตัวเอง เขาไม่รู้ว่าจะจ้องมองมันแบบไหน แค่เวลามองสีฟ้าข้างนอก ความสุข ความคิดถึง สายสัมพันธ์ เหมือนจะอยู่ในสีฟ้านั้นด้วย ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มข้างนอกหน้าต่างเครื่องบิน สีฟ้าคราม ใช้ชีวิตร่วมกับพื้นดินใหญ่ กับแนวเทือกเขาสีสำลี
พัฒน์ดูสมุดจดรายชื่อผู้รับอวัยวะทั้งหมด สิ่งที่ลงมือทำแล้วเป็นคุณค่าต่อพัฒน์ พัฒน์แค่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกชีวิตได้อยู่ร่วมกัน ทุกคนรู้ดี การใช้เวลากับคนที่เรารัก เราจะขอต่อเวลาเสมอ นั้นเป็นเหตุผลที่เราทำไป เพื่อจะอยู่ให้นานขึ้น อีกนิดก็ยังดี แม้ว่ามันจะแลกเท่าไหร่ก็ตาม มันยังคงคุ้มค่า พัฒน์กับแม่คือหนึ่งในครอบครัวนั้นด้วย ก่อนก้าวจุดเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต ก่อนที่พัฒน์จะเติบโตลงบนพื้นที่ใหม่ มีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้ถูกแกะออกในกระเป๋า คือของขวัญอายุ สิบห้าปี "ก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ (quantum jump)" ชื่อซีดีห่วย ๆ ของแม่ ที่พัฒน์เคยบอกชื่อนี้มันเนิร์ดเกินไป
เครื่องกำลังจะลง ท่าอากาศยานบอสตัน โลแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อออกจากเครื่อง เรื่องทุกอย่างจบแล้วสำหรับเขา น่าจะเปิดได้อย่างไม่มีปัญหา แม่ก็จากไปแล้วพัฒน์หยิบซีดีและเปิดกับคอมพิวเตอร์พกพา หน้าจอและคลิปถูกเปิดขึ้น เขาดับเบิลคลิ๊กปรับเสียงและเสียบหูฟัง
"เอาใหม่ สาม สอง หนึ่ง แฮปปี้เบิร์ดเดย์ค่า อีกที ๆ สุขสันต์วันเกิดนะพัฒน์ สิบห้าขวบแล้วนะลูก แม่หวังว่าหนูจะชอบวิดีโอนี้ กับกล้องวิดีโอนี้ ขอให้แข็งแรง ขอให้ลูกเป็นในสิ่งที่อยากเป็นให้ได้ ขอให้ลูกมีความสุขมาก ๆ นะ" หลังจากพูดจบ แม่พัฒน์เธอดูเศร้าลง
"แม่ขอโทษ แม่รู้ว่าแม่เป็นแม่ ที่ไม่ดี ลูกเกลียดแม่ แม่รู้ว่าเราไม่สามารถส่งลูกเรียนได้สูงมากเท่าที่ลูกต้องการ เพราะแม่ไม่เคยมีสิ่งวิเศษขนาดนี้มาก่อน แม่ไม่รู้ว่าแม่จะดีพอสำหรับลูกมั้ย ลูกวิเศษเกินไปสำหรับแม่ แม่รู้ว่าการพยายามที่แม่ปกป้องลูกจากโลกที่แย่วิธีนั้นเป็นวีธีแย่เหมือนกัน ขอให้เราได้ใช้เวลาร่วมกันเยอะ ๆ นะ"
พัฒน์ขำในลำคอ ดวงตาครอน้ำตานั้นแวววับ ใบหน้ายิ้ม เขายังมองแต่ขอบฟ้า แต่สิ่งที่พัฒน์ต้องการอยู่ตรงหน้า เขารับรู้ได้ว่าแม่ก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่พยายามทำทุกอย่างในรูปแบบของตัวเอง น้ำตารวมความรู้สึกออกมาในที่สุด พัฒน์นั่งร้องไห้อยู่ที่นั่งท้ายเครื่องริมหน้าต่าง
แม่แค่มอบความหมาย และเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาชอบท้องฟ้าต่างหาก ทุกครั้งที่มองท้องฟ้า แต่ละครั้งมีความหมายย่อยมากมาย ความสัมพันธ์ ความคิด หรือบางทีก็แค่จ้องมอง สำหรับพัฒน์แค่ขอเวลาอีกนิดที่จะอยู่ดูเรื่องราวของสีฟ้านี้ต่อไป