พอวาเรศกับวาสนาตื่นขึ้นมา พวกเขาก็รีบจัดการธุระส่วนตัว ก่อนจะบึ่งรถออกไปทันที วาเรศขับรถเร็วกว่าปกติเพราะความร้อนใจจนวาสนาต้องเตือน
"ขับช้า ๆ หน่อย"
วาเรศเริ่มขับช้าลง พวกเขาใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็มาถึงวัด แต่สำหรับคนร้อนใจทั้งสองแล้ว นานนับกัปนับกัลป์ทีเดียว
วาเรศรีบไปที่กุฏิของหลวงพ่อ แต่แทนที่หลวงพ่อสุกจะมาต้อนรับเขาเหมือนทุกคราว แต่กลับเป็นเด็กวัดคนหนึ่งแทน
"จะมาถวายสังฆทานเหรอครับ หลวงปู่ท่านไม่ค่อยสบาย ท่านสั่งไม่ให้ใครรบกวน"
หัวใจของวาเรศแทบจะหลุดออกมาจากอก ไม่ค่อยสบาย ไม่ให้ใครรบกวน สารพัดภาพอัปมงคลเข้ามาในภวังค์จิต เขาเต็มไปหมด หากแต่วาเรศก็กดมันเอาไว้ ไม่ให้มันแสดงอิทธิฤทธิ์ บางทีเขาอาจจะคิดมากเกินไป หลวงพ่อเองก็อายุมากแล้ว จะมีโรคมาเบียดเบียนบ้างก็พอรับได้ ก็คงเป็นพวกโรคคนแก่นั่นแหละ
"แล้วทำไมถึงไม่มีใครพาหลวงพ่อไปหาหมอ" วาเรศถาม เขาพยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้ฟังดูเป็นการว่าร้ายฝ่ายตรงข้าม
เด็กวัดยักไหล่ "ท่านบอกท่านไม่ได้เป็นอะไรมาก จำวัดสักครู่ก็หาย"
"ท่านจำวัดมานานหรือยัง" วาเรศซักต่อ
"ตั้งแต่เมื่อวานซืน ท่านยังไม่ออกมาเลย"
"เดี๋ยวก่อนนะ" วาสนาพูดขึ้นมาบ้าง "ท่านจำวัดตั้งแต่เมื่อวานซืน แล้วท่านได้ฉันอะไรบ้างหรือยัง"
"ผมก็เอาอาหารไปถวายท่าน แต่พอเข้าไปเก็บก็ยังอยู่เหมือนเดิม"
ไม่ได้การแล้ว วาเรศคิด ก่อนจะถามเด็กวัดว่า
"ท่านจำวัดอยู่ที่ไหน พาฉันไปเดี๋ยวนี้" เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
เด็กวัดมีท่าทีอึดอัด แต่ในสุดเขาก็พยักหน้าและชี้ทางให้
วาเรศกับวาสนาเดินไปตามทางที่เด็กวัดบอก เมื่อมาถึงวาเรศก็เปิดประตูเข้าไป
ไม่ว่าเขาจะจินตนาการภาพการพบเจอครั้งนี้ว่าอย่างไร เขาก็ไม่คิดว่าจะเห็นหลวงพ่อของเขากำลังนั่งสมาธิอยู่ ท่านนั่งนิ่งไม่ไหวติวราวกับเป็นก้อนหิน แม้กระทั่งตอนนี้ที่ลูกชายและลูกสะใภ้เดินมาอยู่ใกล้ ๆ ท่านก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบแต่อย่างไร
วาเรศกำลังเอื้อมมือไปเขย่าตัว หากแต่วาสนาขัดเขาไว้ก่อน
"อย่าเพิ่งกวนท่าน" วาสนากระซิบ
ในที่สุดหลวงพ่อสุกก็ลืมตาขึ้นมา หนุ่มสาวทั้งสองนั่งลงในที่อันควร ก่อนจะยกมือไหว้
"มากันแล้วหรือ" หลวงพ่อถาม
"หลวงพ่อพูดเหมือนรู้ว่าพวกเราจะมา" วาสนาว่า
หลวงพ่อยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไร
"ลูกผมหายไปครับ หลวงพ่อ" วาเรศโอดครวญ
"ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรรมนะโยมนะ" หลวงพ่อยังพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"หลวงพ่อพูดอย่างนี้ได้ยังไง" เป็นครั้งแรกที่วาเรศขึ้นเสียงกับผู้เป็นบิดา "ลูกของผม หลานของหลวงพ่อหายไปทั้งคน กลับพูดจาแบบนี้ หลวงพ่อไม่ห่วงหลานบ้างหรือ"
หลวงพ่อสุกไม่ได้ถือคำลูกชาย ท่านยังมีรอยยิ้มเมตตาประดับอยู่บนใบหน้า รอยยิ้มที่ทำให้วาเรศยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่ หลวงพ่อไม่มีสิทธิ์ยิ้มอย่างสงบ ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาร้อนรุ้มไปด้วยไฟของการห่วงหาอาทร
"ทุกอย่างต้องใช้สติเป็นตัวตั้ง พระพุทธองค์สอนให้เรามีสติ ไม่ประมาท"
"ก็แหงล่ะสิ หนีลูกเมียไปบวชนี่ ชาติก่อนก็ยกลูกยกเมียให้คนอื่น จะมาเข้าใจหัวอกอะไร คนเป็นพ่อล่ะ" วาเรศประชด ปกติเขาเป็นคนที่ศรัทธาในศาสนา หากแต่วันนี้เขาพาลได้กระทั่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์
"วาเรศ" หลวงพ่อพูดเตือน "โยมยังเข้าใจพระพุทธองค์ผิดอยู่มาก ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะผนวชก็ใช่ว่าเป็นการหนีไปโดยไม่มีใครรู้ ทุกคนในวังรับรู้กันทั้งนั้น หากแต่ไม่สามารถต้านปณิธานอันแรงกล้าของพระองค์ไว้ได้ แล้วที่พระองค์เสด็จไปก็ไม่ใช่ว่าไม่รักลูกรักเมีย หากแต่เพราะรักจึงต้องทิ้งไป"
"ถ้ารักกันจริง ทำไมถึงทิ้งกันล่ะ ยังไงผมก็ไม่วันทิ้งลูกของผมหรอก" วาเรศว่า ใช่ เขาไม่มีวันทิ้งกูณฑ์เด็ดขาด แต่ตอนนี้ลูกของเขากลับทิ้งเขาไปเสียแล้ว น้ำตาเริ่มเออล้นในดวงตาอีกครั้ง
"โยมว่าถ้าผู้ชายมีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง เพิ่มเงินเดือน แต่ต้องย้ายไปประเทศที่ทุรกันดารมาก.ๆ ชนิดที่ว่าไม่มีระบบโอนเงินข้ามประเทศ แล้วต้องไปอยู่ที่นั่นเป็นปี ๆ เขาไม่สามารถพาลูกเมียไปด้วยได้ หากแต่ลูกเมียก็ยังอยู่บ้านพ่อแม่เขา มีคนรับใช้คอยดูแลอย่างดี พอกลับมาอีกครั้งก็มีเงินพอจะซื้อสมบัติให้ลูกเมียมากมาย ผู้ชายคนนั้นที่ตัดสินใจไป หลายปีผ่านไปก็กลับมาพร้อมอบสมบัติล้ำค่าให้ลูกเมีย อย่างนี้นับว่าเป็นการทิ้งลูกทิ้งเมียหรือเปล่า"
"เขาไปเพื่ออนาคตอันสดใสของลูกเมีย จะถือว่าเป็นการทิ้งลูกทิ้งเมียได้ยังไง"
"ก็นั่นแหละ เจ้าชายสิทธัตถะทรงเชื่อแน่ว่าพระชายาและโอรสของพระองค์อยู่ดีมีสุขในราชวัง พระองค์ไม่สามารถพาพระชายาและโอรสไปลำบากด้วยกันในป่าได้ แต่ในสุดพระองค์ก็กลับมา พร้อมมอบอริยทรัพย์ให้แก่พระชายาและพระโอรส อริยทรัพย์ที่แม้สมบัติในคลังของพระองค์ก็ยังซื้อไม่ได้"
พอหลวงพ่อพูดขึ้นมาแบบนี้ก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่เหมือนกัน
"แล้วที่ท่านยกลูกเมียให้คนอื่นล่ะ" วาเรศถาม
"ตอนนั้นยังท่านยังไม่ได้เป็นพระพุทธองค์ ท่านก็เป็นปุถุชนเหมือนเรานี่แหละ บางอย่างท่านก็ทำผิดพลาดบ้าง อีกประการหนึ่งพระเวสสันดรหนีไปอยู่ในเขาวงกต ทางเดินสลับซับซ้อน มีปราการด่านชั้น แต่ชูชกกลับเข้ามาได้โดยไม่มีรอยขีดข่วน พระเวสสันดรเกิดในยุคที่เคารพนับถือพราหมณ์ ไม่แปลกอะไรที่ท่านจะพิจารณาเห็นว่าพราหมณ์คนนี้ไม่ธรรมดา หากไม่ยอมยกให้อาจจะเกิดเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้ก็ได้"
พอหลวงพ่อพูดแบบนี้ วาเรศก็อึ้งไปเพราะเถียงไม่ออก
"ขอโทษนะคะ" วาสนาว่า "เราค่อยมาถกปัญหาธรรมกันทีหลังเถอะค่ะ ตอนนี้หนูร้อนใจ บอกไม่ถูก"
"ความห่วงเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ อาตมาบอกได้เพียงว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรรม"
"หลวงพ่อบอกให้ละเอียดกว่านี้ได้ไหมคะ อย่างน้อย ๆ ก็ให้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็ยังดี" วาสนาอ้อนวอน
หลวงพ่อมีท่าทีอึดอัด
"อาตมาบอกได้แค่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เขาคงยังไม่ได้กลับมาเร็ว ๆ นี้ อาตมาช่วยเต็มที่ แต่ขึ้นอยู่กับกรรมของกูณฑ์ด้วย"
"แล้วเขาอยู่ที่ไหนล่ะคะ" วาสนาว่า "ท่านบอกมาตรง ๆ เลยไม่ได้หรือ"
"บอกไป โยมจะเชื่อเหรอ"
"บอกมาเถอะค่ะ" วาสนาอ้อนวอน
"อยู่ในแดนบาดาลของนางพญามุจลินท์"
วาเรศกับวาสนามองหน้ากัน วาสนาหัวเราะแห้ง ๆ
"ตลกดีนะคะ"
"หลวงพ่ออย่าล้อเล่นสิครับ บอกมาเถอะว่าลูกผมอยู่ไหน ถ้าผมเจอลูก ผมจะเอาปัจจัยมาถวายเลย"
"อาตมาไม่รับลาภสักการะ อย่ายุให้อาตมาทำผิดพระวินัยเลย"
วาสนากับวาเรศพยายามอ้อนวอนอีกหลายคำ แต่หลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก พวกเขาจึงได้แต่ลากลับ
"มาที่นี่ไม่เห็นได้อะไร" วาเรศพูดอย่างผิดหวัง บางทีเขาอาจจะจริงจังกับความฝันมากเกินไป จนถึงขนาดขับรถมาที่นี่
"ท่านบอกว่าลูกเราอยู่เมืองบาดาล หรือว่าเขาจมน้ำตายไปแล้ว" วาสนาว่า
"คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เรากลับกันเถอะ" วาเรศชวน พวกเขาต่างพากันขับรถกลับบ้านโดยไม่พูดอะไรกันเลย ต่างคนต่างคิดถึงลูกชายที่หายสาบสูญ
ระหว่างที่วาเรศกับวาสนาตามหากูณฑ์ เด็กหนุ่มผมไฟกำลังเฝ้าภูตของตัวเองอยู่ เคียวหลับตาพริ้ม มีหนังสือแหล่งพลังวางไว้ที่อก
"อีกนานไหมครับ กว่าเขาจะฟื้น" กูณฑ์ถาม เขาต้องดูเคียวสลบมานานแล้ว ตอนที่พระนางกลับมาพร้อมทหารอีกสองคนที่ช่วยกันแบกเคียวเข้ามา พร้อมหนังสือหน้าตาคุ้นตา กูณฑ์รีบจะเข้าไปทำการปฐมพยาบาลให้ แต่พระนางตรัสห้ามไว้ พร้อมรับสั่งให้วางเคียวลง และเอาหนังสือวางไว้บนอกของเขา
"ไม่นานดอก" มุจลินท์ตรัสตอบ "เจ้าไม่ต้องเฝ้าเขาก็ได้ ไปพักผ่อนเถิด"
"ไม่ครับ" กูณฑ์ปฏิเสธอย่างหนักแน่น แววตาเป็นประกายกล้า เคียวไม่ทิ้งเขา เขาก็จะไม่ทิ้งเคียวเช่นกัน
เมื่อนางพญาทรงได้ยินดังนั้น ก็ได้แต่แย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ แล้วก็ไม่ได้ตรัสอะไรอีก
"พระนางครับ" กูณฑ์เรียก
"มีอะไรหรือ"
"ผมจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ครับ" กูณฑ์ถาม เขาจำไม่ได้ว่าเขามาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว พระอาทิตย์ไม่ได้ส่องแสงลงมาเลย พวกชาวบาดาลอาศัยดวงแก้วเป็นที่ให้แสงสว่าง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นกลางวันหรือกลางคืน
"ข้าไม่ได้คิดจะกักตัวเจ้าไว้ดอก พวกเจ้าหายดีเมื่อใด ก็ไปได้ทันที เพียงแต่.." พระนางหยุดตรัสกลางคัน เรื่องแบบนี้จะอธิบายให้มนุษย์ผู้นี้เข้าใจได้อย่างไรหนอ
"แต่ อะไรครับ" กูณฑ์ถาม ความกังวลเริ่มคืบคลานเข้ามา วังบาดาลนี่คงไม่ได้เหมือนวังบาดาลมังกรของอูราชิมะ ทาโรที่เขาเคยอ่านตอนเด็ก ๆ หรอกนะ ที่เด็กหนุ่มญี่ปุ่นคนหนึ่งไปวังบาดาลเพียงสามวัน แต่พอกลับมาเวลาบนโลกมนุษย์ก็ผ่านไปถึงสามร้อยปี คนรู้จักก็ตายไปหมด
"ประตูที่เชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับแดนหิมพานต์นั้นมันไม่ค่อยแน่นอน" มุจลินท์ตรัส "ข้าไม่คิดว่าตอนพวกเจ้าฟื้น ทางที่พวกเจ้าใช้ลงมาจะยังอยู่ดอกนะ"
"แต่มันเปิดใหม่ได้ใช่ไหมครับ" กูณฑ์ถาม
"พวกมีฤทธิ์มาก ๆ คงเปิดได้ แต่ข้าไม่ได้มีฤทธิ์มากขนาดนั้น" มุจลินท์สารภาพ
"ท่านเป็นถึงพญานาคจะไม่มีฤทธิ์ได้ยังไงครับ" กูณฑ์พูดอย่างหงุดหงิด เขาโตมากับความเชื่อว่ทพญานาคมีฤทธิ์โน่นนี่ สามารถดลบันดาลอะไรได้สารพัด มีฤทธิ์ไม่ต่างจากเทวดา พอมาเจอพญานาคีระดับหัวหน้าบอกว่าไม่สามารถส่งเขากลับบ้านได้ ก็ทำให้หงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
"มากเกินไปแล้วนะ มนุษย์" บุปผาว่า "ไม่รู้จักบุญคุณ"
พระนางโบกพระหัตถ์ห้าม "เขายังเยาว์และสับสน ข้าไม่ตำหนิดอก" พระนางทรงหันกลับมาทางกูณฑ์พลางตรัสด้วยพระสุรเสียงปรานีประดุจมารดาพูดกับบุตรอย่างไรก็อย่างนั้น
"ถึงข้าจะถือกำเนิดเป็นนาคก็จริงอยู่ แต่มารดาข้าเป็นกินรี ฤทธิ์จึงไม่ได้มีเท่านาคทั่วไป อีกประการหนึ่งข้าเองก็ไม่ได้เรียนรู้สรรพวิชาอะไรพวกนี้มากนัก ข้าอาศัยในถ้ำทองแต่เล็ก พอเติบใหญ่ก็ไปเป็นมเหสีของมนุษย์ ต้องคอยช่วยเหลือสวามี ข้ามิได้ศึกษาเรื่องพวกนี้เลย เพราะเหตุด้วยไม่เคยคิดอยากไปโลกอารยธรรมของมนุษย์"
เมื่อพระนางตรัสดังนั้น กูณฑ์ก็ยกมือไหว้
"ต้องขอโทษด้วยครับ ผมแค่เป็นห่วงพ่อกับแม่"
"ความกตัญญูจะเป็นเกราะป้องกันภัยให้แก่เจ้า แล้วถึงแม้ข้าจะไม่สามารถเปิดประตูมิติให้เจ้าได้ แต่ข้ารู้จักฤๅษีอยู่ตนหนึ่ง ท่านเป็นผู้มีเมตตาและเคยเป็นอาจารย์ของสวามีข้ามาก่อน อาศรมของท่านอยู่ไม่ไกล พอพวกเจ้าแข็งแรงดีแล้ว ข้าจะให้บริวารไปส่งเจ้าที่นั่น จากนั้นเจ้าก็ถามทางจากท่านเถิด"
พอได้ฟังดังนั้นกูณฑ์ก็ค่อยสบายใจ ถึงเขาจะอ่านหนังสือวรรณคดีมาไม่มาก แต่ทุกเรื่องที่อ่านฤๅษีก็ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งนั้น หวังว่าเรื่องนี้ก็คงไม่ต่างกัน
"อย่า!" เสียงกรีดร้องของเคียวทำให้กูณฑ์สะดุ้งออกจากภวังค์และรีบหันมาดูเพื่อนรักทันที
ใบหน้าของเคียวบิดเบี้ยว เขาพยายามดิ้นรนไปมา ราวกับถูกรัดด้วยเชือกที่มองไม่เห็น
กูณฑ์เขย่าตัวเคียว
"ตื่นสิ นายก็แค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง ตื่นขึ้นมาสิ ฉันอยู่นี่" กูณฑ์ปลอบ
แต่ไม่ว่าเขาจะปลอบและปลุกอย่างไร เคียวก็ไม่ตื่น