เมื่อพระนางมุจลินท์อุ้มกูณฑ์เข้าไปในเขตพระราชฐาน บุปผา หัวหน้านางกำนัลเอามือทาบอก ทูลถามว่า
"ข้าแต่พระองค์ มนุษย์ผู้นี้เป็นใครเพคะ"
พระนางมุจลินท์ทรงอึกอัก พระองค์ทรงทราบดีว่ามิควรจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ผู้นี้ให้ใครรู้จึงตรัสแต่เพียงว่า
"มนุษย์ผู้นี้หลงมาเมืองบาดาลของเรา เราจึงช่วยไว้เพื่อเอากุศล จงรีบไปเตรียมห้องเสียเถิด"
นางกำนัลหรี่ตา "พระองค์ทรงทราบใช่ไหมเพคะ ว่ามนุษย์ปกติมิอาจอยู่ในเมืองบาดาลได้นาน พวกเขาอาจจะต้องตายด้วยละอองพิษของเราที่สะสมในอากาศ"
'แต่เขาไม่ใช่มนุษย์ปกติ' พระนางมีดำริในพระทัย แต่ก็ตรัสไปเพียงว่า "เรารู้ดี แม้ตัวเราเองก็ไม่อาจอยู่เมืองบาดาลได้นาน ด้วยเหตุว่ามิใช่มีแต่เชื้อสายพญานาคอยู่ในตัว เรามิคิดจะกักขังเขาไว้ที่นี่ดอก หากเขาฟื้นกำลังเมื่อใด เราก็ให้เขาไปเมื่อนั้น"
"โปรดทรงวางเขาลงเถอะเพคะ และเชิญเสด็จไปพักผ่อนตามพระราชอัธยาศัย อย่าได้ทรงวิตกอีกเลย"
พระนางมุจลินท์ทรงนิรมิตเตียงดอกไม้ ก่อนจะวางกูณฑ์ลงอย่างเบาพระหัตถ์
"เรายังมีกิจต้องไปทำ" พระนางมุจลินท์ตรัส
"หม่อมฉันบังอาจทูลถาม พระองค์ทรงมีราชกิจอะไรหรือเพคะ"
"ตอนนี้ยังมิควรเปิดเผย"
ตรัสจบ พระองค์ก็ทรงเรียกหัวหน้าราชองครักษ์ที่ไว้พระทัยได้ให้ติดตามไปด้วย
ครั้นมาถึงที่พิษธรอยู่ พระนางก็ตรัสว่า "พิษธร ท่านจงไปตามกัจฉปานันท์มาเถิด เรามีเรื่องจะคุยกับพวกท่านทั้งสอง"
"พระเจ้าค่ะ" พิษธรก้มศีรษะรับคำ ก่อนที่จะรีบเลื้อยออกไปทันที
"วิกรม" พระนางมุจลินท์ตรัสกับหัวหน้าองครักษ์ "ท่านจงแปลงเป็นแมลงวันติดตามพิษธรไปเถิด เรามีลางสังหรณ์ว่ามันกับกัจฉปานันท์คงไม่กลับมาหาเราโดยความสมัครใจอีกแล้ว แล้วท่านก็จงนำสิ่งนี้ไปด้วย"
พระนางทรงมอบนาคบาศให้ วิกรมรับไว้ด้วยความยินดี นาคบาศนี้เป็นอาวุธที่วิเศษนัก ผู้ใดโดนมันคล้องแล้ว ไม่มีทางจะดิ้นหลุดได้เลย เหมาะสำหรับการจับเหยื่ออย่างละมุนละม่อม มิให้เป็นอันตรายถึงชีวิต
"รับพระบัญชา" วิกรมว่า ก่อนจะแปลงเป็นแมลงวันทอง บินตามพิษธรไป
พิษธรเลื้อยมาหาสหายของมันที่ยังหดหัวและขาทั้งสี่เข้าในกระดองอยู่
"กัจฉปานันท์" พิษธรกระซิบอย่างเร่งร้อน "กัจฉปานันท์"
"มีอะไรเหรอ" กัจฉปานันท์ถาม
"เราต้องรีบหนีกันได้แล้ว" พิษธรว่า มันมองไปรอบ ๆ อย่างระแวง
ในที่สุด กัจฉปานันท์ก็โผล่หัวออกมา "หนีไปไหน"
"ไปไหนก็ช่าง เราต้องรีบไป"
"พวกเจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น" วิกรมกลับคืนร่างเดิม ยืนอยู่ต่อหน้านักโทษทั้งสอง
"ท่านวิกรม เรามิได้คิดจะหนีเลย เพียงแต่.." พิษธรเริ่ม
วิกรมมิฟังคำแก้ตัวของปีศาจงูให้เสียเวลา หากแต่ใช้นาคบาศจับพิษธรและกัจฉปานันท์ไว้ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งรัดแน่นเข้าจนมันรู้สึกเจ็บ
"ทำไมถึงทำกับเราอย่างนี้ เราไม่ได้ทำอะไรผิด" พวกมันโอดครวญ
พิษธรไม่ฟังเสียง หากแต่ฉุดกระชากลากถูพวกมันมาโยนไว้เบื้องพระพักตร์จอมนาง
"ขอบน้ำใจท่านมาก" พระนางมุจลินท์ตรัส
"เป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้วพระเจ้าค่ะ"
"พระองค์ทรงทำกับพวกเราอย่างนี้ได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ พวกเราจงรักภักดีต่อพระองค์ แม้ชีวิตก็ยังถวายให้ได้" พิษธรโวยวาย ขณะที่กัจฉปานันท์หวาดกลัวจนตัวสั่น ตามวิสัยของเต่าหดหัว
มุจลินท์ทรงนำพระดัชนีลูบพระโอษฐ์ ก่อนตรัสว่า
"หากท่านจงรักภักดีต่อเราจริง เหตุใดจึงขัดคำสั่งเรา เราต้องการให้ท่านไปตามกัจฉปานันท์มา แต่ท่านกลับวางแผนจะหนี มิเท่ากับคิดเอาใจออกหากเรากระนั้นหรือ"
"พระองค์เข้าพระทัยผิด" พิษธรโวยวาย "กระหม่อมมิได้คิดจะหนีเลย หากแต่กัจฉปานันท์หวาดหวั่นพระอาญา กระหม่อมจึงต้องเสียเวลาเกลี้ยกล่อม แต่ยังไม่ทันเกลี้ยกล่อมสำเร็จ ท่านวิกรมก็มาจับเราเสียก่อน"
"จริงหรือ กัจฉปานันท์" พระนางมุจลินท์ตรัสถาม
"พระเจ้าค่ะ" กัจฉปานันท์ว่า แต่ไหนแต่ไรมา มันก็มักโอนอ่อนผ่อนตามพิษธรอยู่ตลอด เนื่องด้วยมันเป็นปีศาจที่วิวัฒนาการมาจากเต่าจึงมักแพ้ทางพิษธรที่วิวัฒนาการมาจากงู ครั้งนี้ก็เช่นกัน
"โกหก" วิกรมตะโกนทะลุกลางปล้องออกมา ทำให้ทั้งเจ้าเหนือหัวและนักโทษหันมามองเขาเป็นตาเดียว
"ขอพระราชทานอภัยโทษพระเจ้าค่ะ" วิกรมกล่าวอย่างเก้อเขิน "แต่เรื่องราวหาได้เป็นไปตามที่พวกปีศาจชั้นต่ำพวกนี้กราบทูลไม่"
"แล้วเรื่องราวเป็นอย่างไร ท่านจงเล่าไปให้ละเอียด"
"พระเจ้าค่ะ" วิกรมรับคำ ก่อนจะเล่าว่าพิษธรไปเกลี้ยกล่อมให้กัจฉปานันท์หนีไปด้วยกันอย่างไรบ้าง
"จริงหรือ กัจฉปานันท์" พระนางตรัสถาม
กัจฉปานันท์กลืนน้ำลาย มันมองหัวหน้าองครักษ์ที มองหน้าสหายที มิรู้จะตัดสินใจอย่างไรถูก เมื่อธิดาพญานาคตรัสถามอีกครั้งหนึ่ง ก็ตอบไปว่า
"พระเจ้าค่ะ"
พระนางมุจลินท์เลิกพระขนง
"กัจฉปานันท์ ตอนแรกเราถามท่านว่าท่านคิดจะหนีแล้วพิษธรเกลี้ยกล่อมท่านจริงหรือ ท่านก็รับคำว่าจริง ครั้นตอนนี้เราถามท่านว่าพิษธรเกลี้ยกล่อมให้ท่านหนีหรือ ท่านก็ว่าจริงอีก ท่านทราบหรือไม่ว่าทั้งสองอย่างมิอาจเป็นจริงพร้อม ๆ กันได้ หากมีอย่างหนึ่งจริง อย่างหนึ่งก็ต้องเท็จ"
กัจฉปานันท์สับสน มิอาจกล่าวสิ่งใดถูก กล่าวได้แต่เพียงว่า
"ที่พระองค์ตรัสก็จริงพระเจ้าค่ะ"
พระนางมุจลินท์มิตรัสถามอะไรต่อ หากแต่สั่งวิกรมให้พานักโทษทั้งสองไปคุมขัง กัจฉปานันท์ยอมไปแต่โดยดี หากแต่พิษธรไม่ยอม
"พระองค์ทำอย่างนี้ได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ" พิศธรโวยวายและดิ้น "กระหม่อมจงรักภักดีต่อพระองค์ขนาดนี้"
วิกรมพยายามลากพิษธรไป ไม่ให้เขาพูดอะไรให้ระคายพระกรรณพระนางมุจลินท์อีก แต่พระนางโบกพระหัตถ์ห้ามไว้
"ว่าอย่างไร ท่านพิษธร" พระนางมุจลินท์ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันอ่อนหวาน แต่ส่อเค้าอันตราย ประดุจน้ำผึ้งที่เคลือบไปด้วยยาพิษฉันนั้น
"พระองค์อาจจะพิโรธที่กระหม่อมล่วงเกินเทพแห่งไฟ แต่กระหม่อมจะทราบได้อย่างไรเล่าพระเจ้าค่ะ ว่าเทพอัคนีจะเสด็จมาโดยไม่บอกล่วงหน้า มิฉะนั้นกระหม่อมก็คงต้อนรับอย่างดีแล้ว กระหม่อมเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์มานาน พระองค์จะไม่คิดถึงคุณความดีหนหลัง ทรงพระเมตตากระหม่อมบ้างเทียวหรือ"
วิกรมทำท่าเหมือนจะอาเจียน เขาไม่พอใจอยู่ตั้งแต่แรกที่ให้งูอรหันตนนี้มารับใช้ใกล้ชิด ถึงจะเป็นเผ่าพันธุ์งูเหมือนกัน แต่พญานาคมีศักดิ์ศรีมากกว่างูอรหันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
"ความเมตตากระนั้นหรือ" พระนางมุจลินท์ตรัสเยาะ "แล้วที่เราขอให้ท่านมีความเมตตากับเหล่ามนุษย์เล่า ท่านเคยทำตามที่เราขอหรือไม่"
"มนุษย์ผู้นั้นบังอาจล่วงล้ำเขตเมืองบาดาล กระหม่อมเพียงต้องการ.." พิษธรแก้ตัว
พระนางมุจลินท์เม้มพระโอษฐ์ เลิกพระขนง "ต้องการกินเขา ใช่หรือไม่"
"กระหม่อมมิเคยคิดจะกินมนุษย์เลย" พิษธรว่า "กระหม่อมเพียงจับมันมาให้พระองค์ลงพระอาญาเท่านั้น"
"โกหก" พระนางมุจลินทร์ตรัสอย่างเฉียบขาด หรี่พระเนตรลง "ท่านคิดว่าเรารู้ไม่ทันท่านหรือ นี่มิใช่ครั้งแรกที่ท่านไปจับมนุษย์มากิน ท่านคิดว่า เมื่อเราทิ้งเมืองไป เราจะมิมีใครมาสอดส่องดูแลหรือ"
"ข้าแต่พระองค์" พิษธรโอดครวญ "พระองค์เป็นพญานาคผู้ประเสริฐ เสวยทิพยอาหารและทิพยสมบัติ แต่กระหม่อมเป็นแค่ปีศาจงูชั้นต่ำ จะนิรมิตอาหารอะไรมาก็มิได้ เป็นความผิดของกระหม่อมหรือพระเจ้าค่ะที่จะเสาะหาอาหารใส่ท้อง อีกประการหนึ่งอายุของมนุษย์เมื่อเทียบกับเราแล้วก็เหมือนเศษธุลีดินเท่านั้นเอง"
"ท่านพูดเอาแต่ได้" พระนางมุจลินท์ตรัส "ท่านบอกว่าท่านมิสามารถนิรมิตอาหารได้ หากแต่ในวังเมืองบาดาลก็มีอาหารเลิศรสให้ท่านเลือกรับประทานมากมาย หากท่านไม่ชอบอยากจับกุ้งจับปลากิน เราก็ไม่เคยหวงห้าม เหตุใดจึงต้องไปจับมนุษย์ แถมท่านยังไปจับมนุษย์ที่.." ตรัสจบพระองค์ก็ส่ายพระพักตร์ นึกในพระทัยว่า หากเทพอัคนีกริ้วจนสาปขึ้นมา สระมุจลินท์แห่งนี้คงเหลือแต่ตำนานเล่าขานเท่านั้น
"กระหม่อมมิได้ตั้งใจ เป็นความสัตย์จริง" พิษธรว่า "อีกประการหนึ่ง กระหม่อมก็เคยทำความดีมามาก ขอพระองค์โปรด.."
"เรามีเมตตาต่อท่านแล้ว ถึงมิประหารท่านเสีย นี่หากเทพอัคนีมิได้ทรงสั่งให้เราขังท่านกับกัจฉปานันท์ไว้ เราคงมีคำสั่งให้สังหารท่านเสียแล้ว"
"งั้นกระหม่อมควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของเทพแห่งไฟกระนั้นหรือพระเจ้าค่ะ" พิษธรพูดอย่างประชดประชัน
"ถูกแล้ว" พระนางมุจลินท์ตรัส
"พระองค์ทรงทราบได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ ว่านั่นมิใช่กลอุบายของเทพผู้ทรงแรดเป็นพาหนะ"
พระพระนางมุจลินท์หรี่พระเนตร "ท่านพูดอย่างนี้ หมายความว่าอย่างไร"
"เมืองบาดาลของพระองค์ ใครมาเยือนก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่างดงามไม่แพ้ดาวดึงส์ หากเทพอัคนีประสงค์ จะมิมายึดเมืองเราหรือ มิฉะนั้นจะปลอมองค์เป็นมนุษย์มาด้วยเหตุอันใด หากมิใช่ต้องการสืบ และยกพลมายึดเมืองเราทีหลัง"
"บังอาจ" วิกรมตวาด จับบ่วงนาคบาศให้รัดแน่นขึ้น "เจ้ากล้าใส่ร้ายเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทียวหรือ"
พิษธรไปเผชิญหน้ากับวิกรม "เหตุใดข้าจะพูดมิได้ เทพอัคนีเป็นเทพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็จริง หากแต่มิได้มีวิมานอยู่ในเขตเขาพระสุเมรุ แต่ล่องลอยราวกับไร้ถิ่นฐานอยู่ระหว่างมณฑลสุริยวิถีกับจันทรวิถี"
วิกรมสุดจะอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาตบปากที่พูดจาไม่รู้ความของพิษธรเต็มแรง
"เจ้าสัตว์ชั้นต่ำ" วิกรมบริภาษ "เทพอัคนีทรงเป็นอากาศเทวดา ธรรมชาติของพระองค์ย่อมทรงอาศัยอยู่พื้นที่ว่างเป็นปกติ และด้วยบุญบารมีของพระองค์ แม้กระทั่งวิมานที่งดงามที่สุดของเมืองบาดาลเราก็ยังเทียบวิมานของพระองค์มิได้"
"ท่านทราบได้อย่างไรว่าสู้มิได้ เมืองบาดาลของเราก็งามมิแพ้กันดอก"
"เราเคยมีโอกาสติดตามท้าววิรูปักษ์ในฐานะตัวแทนบิดาของเราไปเฝ้าท้าวสักกะครั้งหนึ่ง เชื่อเถิดว่าเมืองบาดาลของเราเทียบกับดาวดึงส์มิได้แม้เพียงเศษเสี้ยว ผู้ที่บอกว่างดงามมิแพ้กัน เชื่อเถิดว่ามิเคยไปเยือนดาวดึงส์มาก่อน เมื่อมีวิมานอันงดงามถึงเพียงนั้นแล้ว เทพอัคนีมิได้มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องมายึดเมืองของเราเลย" พระนางมุจลินท์ตรัส
"แต่เทพอัคนีก็เป็นบริวารของท้าวสักกะมิใช่หรือพระเจ้าค่ะ" พิษธรถาม
"เป็นจริงดังนั้น แล้วมันเกี่ยวกระไรกับเรื่องนี้เล่า"
"พระองค์อาจจะเกิดไม่ทันกระมัง" พิษธรพูดอย่างดูถูก "แต่ท้าวสักกะนี้ก็หาได้เป็นเทวดาที่หมดสิ้นแล้วซึ่งกิเลส เมื่อท้าวมัฆวานได้จุติสู่ดาวดึงส์ ที่นั่นก็หาได้เป็นอากาศว่างเปล่า หากแต่มีบุรพเทพอาศัยอยู่ก่อนแล้ว แทนที่ท้าวมัฆวานจะอ่อนน้อม ประพฤติตนสมกับเป็นผู้มาใหม่ แบ่งสรรปันส่วนทิพยสมบัติกันอย่างยุติธรรม กลับใช้กลอุบายผลักบุรพเทพจนเทพตกสวรรค์เหล่านั้นต้องมาสร้างเมืองใหม่ที่อสูรนคร ตัวหัวหน้ายังเป็นถึงเพียงนี้ พระองค์ทรงทราบได้กระไรพระเจ้าค่ะว่าเทพอัคนีจะมิประสงค์ยึดเมืองเราเสีย"