ฮาวเวอร์หน้ามึนไปขณะหนึ่งก่อนจะมองไปที่ลิลลี่ เธอหันหน้ามามองฮาวเวอร์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ถ้าอยู่ในร่างหมาป่าก็คงส่ายหางกระดิกแล้ว
'คงอยากเล่นเต็มที่แล้วสินะ'
ฮาวเวอร์พยักหน้าให้ทีนึง ลิลลี่ก็กระโดดไปที่ลานกว้างทันที แอดดี้เดินไปหยิบเก้าอี้มาให้ฮาวเวอร์นั่งดูการต่อสู้ครั้งนี้ ทุกคนในลานกว้างถูกเกณฑ์ออกไปอยู่ขอบนอก เว้นตรงกลางให้คนทั้งสองได้ต่อสู้กัน
"ข้ามีนามว่า โคซู เป็นอมนุษย์แมวป่า เผ่าคูเกา แล้วเจ้า… คงไม่ต้องแนะนำล่ะมั้ง เพราะยังไงเจ้าก็ไม่มีชื่อให้เรียกขานกันอยู่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า"
"ข้ามีนามว่าลิลลี่ เป็นอสูรเวทย์หมื่นดารา ผู้รับใช้นายท่านฮาวเวอร์"
โคซูได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไป เดิมที่อสูรเวทย์มักไม่มีชื่อเรียกเพราะชอบอาศัยเพียงลำพัง แต่อสูรตรงหน้ากลับมีชื่อ แถมยังแสดงตัวว่าเป็นผู้รับใช้อีก เป็นไปได้ว่า อสูรตนนี้ต้องจุติเป็นมารแล้วมีร่างภาชนะปีศาจตนนั้นคอยควบคุม ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง ก็คงซวยแล้วที่หาเรื่องใส่ตัว
"การต่อสู้ครั้งนี้ต้องเล่นตามกติกาข้า" โคซูร่ายเวทย์วงแหวน แล้วกางเป็นอาณาเขตขนาดกว้างพอให้คนทั้งคู่ได้ต่อสู้กัน "อาณาเขตที่เจ้าเห็นอยู่นี้ เป็นอาณาเขตไร้เวทย์ มันจะจำกัดการต่อสู้ให้ใช้เฉพาะพละกำลังเท่านั้น ห้ามร่ายเวทย์คาถา ถ้าเจ้ากลัว จะขอยอมแพ้ไปตอนนี้เลยก็ได้นะ"
"ไม่มีทางหรอก หากเจ้าสู้กับข้าแล้วยังหายใจได้อยู่ ก็ต้องไปขอบคุณนายของข้าซะ ที่สงสารสิ่งมีชีวิตต่ำต้อยเช่นเจ้าด้วยการให้ข้าออมมือให้!"
ทั้งคู่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป ลิลลี่กระโดดไปด้านหน้าพร้อมเล็งหมัดไปที่หัวของโคซู เขาหลบได้ทันก่อนที่หมัดนั้นจะกระทบดินจนแตกกระจายเป็นวงกว้างด้วยแรงมหาศาล เดิมที่อสูรตนนี้พึ่งแค่พละกำลังก็มีชีวิตในป่าอาถรรพ์ได้แล้ว แต่เพราะลูกเล่ห์ลูกกลของเหยื่อที่นางล่าเริ่มแพรวพราวมากขึ้น อสูรตนนี้จึงวิวัฒนาการเป็นอสูรเวทย์
โคซูกระโดดหลบได้แต่ก็ไม่พ้นโดนลูกหลงจากแรงกระแทกซัดเข้าปลิวไปถูกบาเรีย เขาอึ้งในทันทีที่เห็นบาเรียขนาดใหญ่ครอบวงเวทย์เอาไว้ และกันคนภายในไม่ให้ออก เขากะว่าจะสู้สักระยะหนึ่งพอให้รู้ความสามารถแล้วก็จะใช้ความวุ่นวายหนีหายไปในกลีบเมฆ แต่ตอนนี้หนีไม่ได้ รวมถึงโดนขังให้ถูกอัดจนตายอีก
"จะหนีไปไหน!!"
ลิลลี่ไม่รอให้คิดได้ก็ปล่อยหมัดชกโคซู เขาบล็อกการโจมตีนั้นด้วยแขนแต่เพราะแรงมหาศาลทำแรงกระแทกเข้ามาแม้แต่แขนก็เอาไม่อยู่ ตัวเขาปลิวไถลไปตามบาเรียใหญ่ก่อนจะล้มลงไป แม้จะไม่ได้หมดสติแต่เรี่ยวแรงจะสู้ต่อก็ไม่เหลือแล้ว ลิลลี่ตั้งท่าจะไปซัดหน้าเขาต่อแต่ก็ต้องหยุดกลางคัน
"พอได้แล้ว!!"
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของฮาวเวอร์ แต่เป็นชายแปลกหน้ามีสีผมและใบหูแบบเดียวกับโคชู
"ขออภัยที่เสียมารยาท เด็กคนนั้นเติบโตไม่พอเรียนรู้โลก เขาอาศัยอยู่แค่ในหมู่บ้านเล็กๆ ของเราเท่านั้น ท่านอย่าได้ถือสาความโอหังของเขาเลย"
ลิลลี่หันไปมองฮาวเวอร์ เมื่อเขาปัดมือทิ้ง ทั้งบาเรียทั้งลิลลี่ก็ออกจากร่างแน่นิ่งนั้นไป คนกล่าวก้าวเข้ามาดูอาการของโคซูก่อนจะคายวงแหวนแล้วร่ายเวทย์ฟื้นฟูบนร่างของโคซู
"ไม่ทราบว่าเผ่าคูเกามีธุระอะไรกับท่านผู้ปกครองของเราหรือไม่ หรือจะมาสอดแนมความเคลื่อนไหวของเขตปกครองฝ่ายเราไปให้มารโมงุน" ลาติโนกล่าวขึ้น
"เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ท่านโมงุนหมดความสนใจในเขตนี้ไปนานแล้ว เราก็แค่มาดูว่าผู้ปกครองใหม่เป็นผู้ใด และคิดจะเข้าไปก้าวก่ายในเขตปกครองของท่านมารโมงุนหรือไม่"
"แล้วถ้าข้าบอกว่าคิดล่ะ?" ฮาวเวอร์พูดขึ้น
ทุกคนในที่นั้นต่างตื่นตระหนกกันทั่ว หากว่าฮาวเวอร์คิดจะทำสิ่งที่พูดจริง ทั้งสองเขตปกครองจะต้องก่อสงครามกัน คนในการปกครองทั้งหมดต้องออกมาร่วมรบกับสงครามนั้นและมีผู้เสียชีวิตนับพันเป็นแน่
"นายท่านคิดจะทำอย่างนั้นจริงหรือคะ" ลาติโนกล่าว
"ข้าไม่ได้คิดจะก่อสงคราม แต่ข้าต้องการเจรจา หากเจรจาไม่ได้ ก็คงเลี่ยงก่อสงครามไม่ได้"
"เจรจา? แล้วท่านมีจุดประสงค์อะไรในการเจรจาครั้งนี้กันล่ะ? หากเป็นการเจรจาโง่เง่า ข้าก็คงไม่กล้าเอาไปกล่าวกับท่านโมงุน"
"งั้นเจ้าก็เตรียมคำพูดไปกล่าวได้เลย หากว่าเขายังไม่รับรู้ ข้าอาจจะเข้าไปกระซิบข้างหูเขาแทน"
สีหน้าคนของเผ่าคูเกาดูเคร่งขรึมขึ้นทันใด ฮาวเวอร์เริ่มกล่าวต่อจากที่ค้างเอาไว้
"ข้าต้องการพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างเขตของมารโมงุนกับเขตปกครองอิสระของเผ่าคามาโด พื้นที่ตรงนี้สำคัญกับข้ามาก หากว่าเจ้าไม่สามารถแบ่งให้ข้าได้ ข้าคงต้องครอบครองพื้นที่ทั้งหมดนั่นเอง"
เผ่าคูเกาเริ่มหันหน้าไปคุยกัน ไม่นานก็กล่าวออกมา "ได้ข้าจะนำสารนี้ไปกล่าวกับท่านโมงุน หากว่ามีความคืบหน้าอะไร เราจะส่งคนมาบอกให้รับรู้ทันที"
คนของเผ่าคูเกาเดินออกไป ฮาวเวอร์เองก็เดินออกจากลานชุมนุมนั่นทันที เมื่อเข้าไปในห้องบัญชาการแล้วก็รีบเขียนจดหมายขึ้นมาก่อนจะยื่นให้แอดดี้ไป
"เอาจดหมายนี้ไปส่งให้แม่ทัพน็อล รอการตอบรับจากเขาแล้วค่อยกลับมา ลิลลี่ เจ้าเองก็เดินทางไปกับแอดดี้ คุ้มกันเขาไปแล้วกลับอย่างปลอดภัย"
"รับทราบ"
คนทั้งคู่เดินออกจากห้องบัญชาการไป เหล่าหัวหน้าเผ่าทั้งหลายก็เดินทางกลับไปยังเผ่าเพื่อเตรียมการส่งลูกหลานเข้ามายังฐานลับ ฮาวเวอร์ยังนั่งคิดหาหนทางครอบครองเขตของเผ่าโมงุน
ในที่นั่งด้านหลังซึ่งมีไข่ทารกนับร้อยคอยการฟัก เอวานั่งมองมือข้างขวาของฮาวเวอร์พลางสงสัยในการกระทำนั้น ฮาวเวอร์ขโมยลูกแก้วกระจายพลังของเขาไป เขารับรู้ได้จากสัญญาณในจิต มันจะส่งออกมาเมื่อมีลูกแก้วอยู่ใกล้ๆ เมื่อดูจากการกระทำของเขาแล้ว เขาไม่ได้ตั้งใจจะเอามันไปใช้ในทางที่ไม่ดี แถมไอเวทย์น่าอึดอัดก่อนหน้านี้ก็หายไป เอวาคิดว่าฮาวเวอร์คงยืมไปใช้โดยไม่บอกชั่วคราว เมื่อไม่ต้องการแล้วก็คงนำมาคืน
"ฮาวเวอร์ ข้าเห็นเจ้าไม่ได้พักเลยตั้งแต่เช้า ให้ข้าปรุงอาหารให้เจ้าทานไหม? "
เอวาเดินเข้าไปเกาะโต๊ะและนั่งลงไม่ห่าง ไม่รู้ทำไม พอเขาเข้าไปคุยกับฮาวเวอร์ทีไร ฮาวเวอร์มักหนีไปอยู่ใต้จิตสำนึกแล้วให้อีคอนขึ้นมาควบคุมร่างแทน
"ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ข้าไม่ทานอะไรก็ไม่หิว"
นี่ไม่ใช่คุณสมบัติของการเป็นอมตะ หากว่าผู้ใดครอบครองลูกแก้วของเทพธรณีแล้วล่ะก็ ร่างกายจะตายลงทันที แต่ยังไม่ทิ้งความหิวกระหายอยากได้พลัง เพราะงั้นคนที่ครอบครองลูกแก้วนี้มักจะหิวอยู่ตลอดเวลา เพราะลูกแก้วจะเป็นตัวดูดพลังเข้าไปกักเก็บเอาไว้เพื่อควบคุมการปลดปล่อยพลังให้แม่นยำและกว้างไกลมากขึ้น ฮาวเวอร์หรืออีคอนไม่มีลักษณะของการเป็นอมตะเลยสักนิด แต่มีคุณสมบัติคล้ายเทพมากกว่า
"ข้าก็ไม่หิวเหมือนกัน แต่ว่าข้าไม่ได้ทานอะไรมาหลายล้านปีจนรู้สึกว่าลิ้นจะด้านชาเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีใครไปเป็นเพื่อนได้รึเปล่า"
อีคอนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วออกไปเปิดผ้าม่านเป็นการชักชวน
"งั้นข้าจะไปทานเป็นเพื่อนให้ท่านเอง"
แอดดี้และลิลลี่เดินทางไปถึงค่ายกองกำลังปฏิวัติในเย็นวันนั้น ตอนแรกทุกคนแตกตื่นที่เห็นเพียงแค่สองคนนี้กลับมา แม่ทัพน็อลรีบออกมาดูทั้งสองคนก่อนแอดดี้จะยื่นจดหมายมาให้ เนื้อความในจดหมายกล่าวเอาไว้ว่า
'ตอนนี้ข้าได้เดินทางมาถึงเศษเสี้ยวของแผนที่วางไว้แล้ว เขตการปกครองจากชายแดนระหว่างอาณาจักรริลกลิมไปจนถึงเมืองหลวงของอาณาจักรโพราเท็สในป่าอาถรรพ์ถูกข้ายึดครองไว้หมดแล้ว แต่ยึดครองได้แค่เขตชั้นนอกเพียงเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปลึกถึงภายใน
ข้าแจ้งข่าวมาในที่นี้ก็เพื่อต้องการให้เจ้าส่งทหาร หนึ่งพันนายติดตามข้าเข้าไปในเขตปกครองใหม่ ข้าต้องการผู้มีความรู้ อ่านออกเขียนได้ คนมีฝีมือทั้งเรื่องสร้างอาคารและอาวุธ และคนมีความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ โดยยังเหลือกลุ่มคนมีความรู้ไว้ในค่ายเพื่อสานต่องานที่ข้าสั่งไว้ให้จบ'
น็อลนั่งในเต็นท์บัญชาการแล้วกล่าวเนื้อความทั้งหมดให้ฟัง หัวหน้าหน่วยหลายคนอาสาที่จะเข้าไปติดตามท่านฮาวเวอร์ แต่น็อลต้องห้ามทัพไว้ก่อนแล้วเลือกคนที่มีความสามารถจริงๆ เข้าไป
"โทมัส เจ้าเป็นคนคุมนายทหารหนึ่งพันนายเข้าไปสมทบกับท่านฮาวเวอร์ คนอ่านออกเขียนได้นำไปแค่ห้าสิบนาย คนสร้างอาคารและอาวุธหนึ่งร้อยนาย คนมีความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ก็คงต้องเป็นไปตามจำนวนที่เหลือ ให้เหล่าทหารเตรียมการออกเดินในพรุ่งนี้เช้า และเจ้าก็นำจดหมายนี้ส่งให้ท่านฮาวเวอร์ด้วยมือตัวเองด้วย ดูท่าเรื่องราวภายในอาณาจักรจะจัดการยากขึ้นตั้งแต่เราเดินทัพออกมา"
ในวันต่อมา ณ ฐานลับฮาวเวอร์ เหล่าเด็กตัวเล็กตัวน้อยไปจนถึงเติบใหญ่ได้เรียงแถวเข้ามายังฐานลับแห่งนี้ด้วยสีหน้าหวาดกลัว ที่ตรงนี้เคยกล่าวขานกันในหมู่บ้านของหลายเผ่าว่า เป็นที่สังเวยเด็กให้เหล่ามารผู้ปกครอง หากใครก้าวเข้ามาแล้วจะไม่ได้กลับไปอีกเลย
เผ่าสาไลลี่ เป็นอมนุษย์ผีเสื้อ ลักษณะมีหนวดโครงม้วนบนศีรษะอย่างผีเสื้อ ด้านหลังมีปีกพับเรียบด้านหลังสีสันสดใส ดูน่ารักน่าเอ็นดูเมื่ออยู่ใกล้กับมวนดอกไม้ พวกเขามีหน้าที่ควบคุมจับแยกเด็กๆ ออกจากกันตามอายุอย่างที่ฮาวเวอร์สั่ง หากมองเพียงด้านหลังคงไม่อาจจินตนาการได้ถึงความน่ารักของคนในเผ่านี้ได้เป็นแน่
"ท่านฮาวเวอร์ ข้าจัดการแยกเด็กๆ ออกตามอายุแล้วขอรับ"
"เออ"
เสียงสั้นห้วนของฮาวเวอร์เอ่ยออกมา ลักษณะน่ารักน่าเอ็นดูนั้นขัดกับความล่ำหนาของร่างคนตรงหน้า ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ล้วนมีร่างกายกำยำล่ำสันที่พร้อมจะต่อยคนตาแตกได้ในหมัดเดียว แม้แต่เด็กในเผ่าก็ไม่เว้น
"ท่านจะให้ข้าทำยังไงกับเด็กร้องไห้ดีขอรับ" เผ่าสาไลลี่
"ขู่ให้กลัว แล้วแยกเขี้ยวใส่" ฮาวเวอร์
"แต่ข้าไม่มีเขี้ยว…"
"ทำอย่างนั้นไม่ได้นะฮาวเวอร์" เอวา "เจ้าต้องอ่อนโยนกับเด็กๆ และพูดคุยกับเขาด้วยเหตุผลนะ"
"เข้าใจแล้วขอรับ"
ชายคนนั้นเดินจากไปแล้วเข้าควบคุมแถวเด็กวัย 5 ขวบที่กำลังเริ่มแข่งกันร้องไห้ ฮาวเวอร์หนีเข้าไปในจิตใต้สำนึกแล้วให้อีคอนก่อนออกมาควบคุมแทน
"เมื่อกี้เขาแค่พูดเล่นนะครับ"
"เป็นอย่างนั้นเองหรือ ค่อยยังชั่ว"
หลังจากที่จัดการแยกตามอายุแล้วก็เริ่มนับจำนวน รวมแล้วทั้งหมดมีราวสองพันสามร้อยคน เด็กอายุน้อยในที่นี้เป็นบรรดาเด็กจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ในการปกครอง ยังไม่รวมเด็กที่จะเข้าร่วมการปกครองที่จะมาในวันพรุ่งนี้อีก
"ท่านฮาวเวอร์…" เผ่ามางามู "มีทหารหลายร้อยนายเดินทางเข้ายังเขตปกครองของเราทางทิศใต้ขอรับ"
"ปล่อยพวกเขามายังฐานลับแห่งนี้"
"ขอรับ"
"ท่านฮาวเวอร์ เผ่าคูเกาส่งคนเข้ามาทางทิศเหนือของเขตปกครองขอรับ"
"เปิดทางให้พวกมันเข้ามา หากมีอันตรายอะไรก็ให้ตอบโต้ทันที ไม่ต้องรอคำสั่ง"
"ขอรับ"
ทางด้านฝั่งของหัวหน้าหน่วยโทมัสเริ่มเคลื่อนพลตั้งแต่เช้ามืด เดินทางมาถึงที่แห่งนี้ในเวลาบ่ายกว่าโดยไม่หยุดพัก ระหว่างเดินทางก็พบเรื่องประหลาดอย่างต้นไม้เคลื่อนที่ ทำเอาเหล่าทหารตามหลังเกือบหลง แต่ดีที่ทุกคนผูกเชือกเชื่อมกันไม่ให้หลงทาง ลิลลี่และแอดดี้เดินนำทาง แม้ลิลลี่จะบ่นว่าหิวตลอดทางแต่พอให้อาหารก็เดินหน้าต่อไม่หยุดพักเช่นกัน
พอมาถึงหน้าทางเข้าของฐานลับก็ประจวบเหมาะกับเผ่าคูเกาเดินทางมาพบฮาวเวอร์ทันที
"ท่านโทมัส…"
"เผ่าคูเกา? "
"พวกเจ้ารู้จักกันมาก่อนแล้วงั้นรึ? แต่ช่างเถอะ พวกเจ้ารีบเข้าไปก่อน ป่านนี้ฮาวเวอร์คงรู้แล้วว่าพวกเจ้าเดินทางมาถึงนี่"
หัวหน้าหน่วยโทมัสเดินเข้าไปในฐานลับพร้อมทหารนับพันก่อนจะพบเข้ากับเด็กน้อยจำนวนมากเรียงเป็นแถวโดยมีอมนุษย์ผีเสื้อค่อยควบคุมดูแล
'นี่มันอะไรกันเนี่ย'
เขาเดินเข้าไปด้านในโดยสั่งให้ทหารตั้งแถวคอยอีกฝั่ง เผ่าคูเกาเข้ามาทีหลังก็เดินตามโทมัสไปยังห้องบัญชาการของฮาวเวอร์ พอเปิดม่านผืนบางออก ภายในพบกองไข่จำนวนมากกับโต๊ะไม้ยาวหนึ่งโต๊ะอยู่ตรงกลาง ที่แห่งนี้ดูกันดารไร้เครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ
เมื่อเขาเข้ามาฮาวเวอร์ก็ให้นั่งลงฝั่งขวาของตน ส่วนเผ่าคูเกาที่เพิ่งเข้ามาก็ให้นั่งฝังซ้าย ไม่รู้ใครจะพูดก่อนฮาวเวอร์ก็เริ่มพูดในทันที
"โทมัส นับจากนี้ทหารกลุ่มที่นำมาจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นคนมีความรู้ ให้ไปสอนเด็กที่ยืนอยู่นอกค่าย ส่วนคนที่มีพละกำลัง ก็ให้เสริมแนวป้องกันและเป็นคู่ฝึกซ้อมให้เหล่าทหารคุ้มกันของฝั่งอมนุษย์"
"ขอรับ แล้วที่พักและอาหาร เราต้องจัดหาเองไหมขอรับ"
"ไม่จำเป็น อมนุษย์ในการปกครองของเราจะเป็นฝ่ายสร้างที่พักและส่งเสบียงเข้ามาให้ พวกเจ้าแค่ทำงานตามที่บอกก็พอ"
โทมัสหมดข้อสงสัยก็หันไปทางฝั่งเผ่าคูเกา ทางนั้นเมื่อเห็นโอกาสพูดก็เริ่มเจรจา
"จากที่เราได้คุยกันมาบ้างเมื่อวานนี้ มารโมงุนไม่ขัดข้องหากท่านจะขอยืมพื้นที่ชายเขตคาบเกี่ยวกับเขตปกครองฝั่งเผ่าคามาโด แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่ใช้เส้นทางตัดผ่านฐานทัพของมารโมงุน แต่เลือกใช้เส้นทางขอบนอกป่าอาถรรพ์ หรือใช้เส้นทางป่าอาถรรพ์ลึกเท่านั้น"
"เป็นไปไม่ได้หรอก หากเราเดินทัพไปนอกเขตป่าอาถรรพ์ ทางฝั่งริลกลิมต้องสังเกตเห็นเราแน่ๆ แต่ถ้าผ่านทางป่าอาถรรพ์ชั้นในก็จะอันตรายและต้องอ้อมไปไกลอีก ทหารของเราหลายนายยังมีพลังเวทย์ให้คุ้มกันตัวเองไม่มากพอ หากเลือกเส้นทางนั้นจะเสี่ยงต่อฝั่งเรานะขอรับ" โทมัสกล่าว
ฮาวเวอร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่ออ้อมนอกไม่ได้ อ้อมในก็เสี่ยง หากเป็นในยุคสมัยใหม่การก้าวข้ามอาณาเขตไม่ว่าบนฟ้าหรือใต้ดินก็ถือว่าผิดกฎหมายทั้งนั้น แต่ว่านี่มันยุคก่อนคริสตกาล จะบนฟ้าหรือใต้ดิน ถ้าไม่เห็นว่าเดินผ่านก็ถือว่าไม่ผิด
"ได้สิ ถ้ามารโมงุนต้องการอย่างนั้น ข้าขอแค่พื้นที่คาบเกี่ยวตรงนั้นสักระยะหนึ่งก็พอ แล้วไม่มีข้อแลกเปลี่ยนอะไรเพิ่มเติมอีกหรือ"
"ไม่มีขอรับ ทางเราไม่ได้ขัดสนอะไรมากมายจึงไม่ต้องการเอารัดเอาเปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่า" พูดไปก็มองถ้ำแห่งนี้ไป
"ถ้าหมดธุระแล้วก็เชิญ" ฮาวเวอร์ไล่
"แต่ข้ามีสงสัยต้องการถามเป็นการส่วนตัว"
"ว่ามา"
"ท่านมีความเกี่ยวข้องอะไรกับทหารของริลกลิมหรือขอรับ"
ฮาวเวอร์มองไปทางโทมัสก่อนจะที่เขาจะกล่าวให้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวกับเป็นการยืนยัน
"ท่านผู้นี้คือรัชทายาทของอาณาจักรริลกลิม เจ้าชายฮาวเวอร์"
คนฟังถึงกับตะลึง ที่ผ่านมาเขาเสียมารยาทกับฮาวเวอร์ไว้มาก พอรู้ว่าเป็นเจ้าชายจากอาณาจักรริลกลิมที่ตนสวามิภักดิ์ด้วยก็รีบคุกเข่าลงอย่างเสียไม่ได้
"ข้าขออภัยนายท่านฮาวเวอร์ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านเป็นเจ้าชายของอาณาจักรที่เราขอเข้าร่วมสวามิภักดิ์"
"ไม่รู้ถือว่าไม่ผิด แต่ข้าสงสัย ทั้งที่เจ้าสวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรเรา แต่ทำไมยังไปรับใช้มารอยู่อีก"
"เรียนนายท่าน มารโมงุนเองก็เป็นคนของเผ่าคูเกา พวกเขามาสวามิภักดิ์ต่อเราเพราะต้องการแลกเปลี่ยนความรู้และวัตถุดิบที่หาได้เฉพาะของกันและกัน
"เพราะอย่างนั้นถึงเข้าร่วมสินะ แล้วเวลานี้พวกเจ้ายังเข้าสวามิภักดิ์อยู่รึเปล่าในเมื่อตอนนี้อาณาจักรถูกเปลี่ยนการปกครองไปแล้ว"
"เรื่องนั้นข้าไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่หลายปีก่อนเราส่งคนเข้าไปเจรจาแต่ถูกปฏิเสธการเข้าเฝ้า ราวกับว่าเราถูกตัดความสัมพันธ์กันแล้ว จนตอนนี้ได้มาพบท่านโทมัสและเจ้าชายของอาณาจักรในที่แห่งนี้…"
ฮาวเวอร์เข้าใจที่ไคอาจะสื่อ สภาพของเขาตอนนี้หากบอกปากเปล่าว่าตัวเองเป็นเจ้าชายคงไม่มีใครเชื่อ ต้องให้ทหารของริลกลิมช่วยยืนยันอีกเสียงว่าเขาไม่ได้โกหก ถึงแม้จะมีหนังสือรับรองอยู่แล้ว แต่เมื่อไม่รู้สถานการณ์ภายในเผ่าก็เสี่ยงที่จะเปิดเผยตัวตน
"หากข้ารู้ว่าท่านเป็นเจ้าชายของเรา เราคงไม่แสดงท่าทีแข็งกระด้างต่อท่าน อีกทั้งเรื่องที่จะให้อ้อมฐานไปนั้น ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็นแล้ว"
"แต่ข้าคิดว่าจำเป็น ที่เจ้ายอมให้เราเข้าเขตปกครองไปง่ายๆ คงเพราะความขัดแย้งระหว่างเขตคามาโดคงเริ่มรุนแรงขึ้นจนไม่อาจควบคุมได้ ทางฝั่งเจ้าเองไม่อาจสู้อย่างตรงไปตรงมาได้ รวมถึงการสนับสนุนจากอาณาจักรก็ขาดหายทำให้ขาดแคลนทรัพยากรและเริ่มอดอยาก"
"ท่านรู้ราวกับตาเห็น"
"ไม่ขนาดนั้นหรอก ที่เจ้าสู้ไม่ได้ก็คงเป็นจำนวนประชากรสินะ เพราะเริ่มมีความคิดและวิวัฒนาการจึงเริ่มใส่ใจกับการเกิดมากขึ้น แทนที่จะเพิ่มด้วยจำนวนแต่เพิ่มที่ประสิทธิภาพมากกว่า ข้าเข้าใจดีเลยล่ะว่าการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งนั้นต้องให้ความใส่ใจมากว่าใช้กำลัง"
อ้างอิงจากชาติก่อนที่ต้องเลี้ยงดูลูกให้ดีแลนตอนที่เขาเข้าประชุมละนะ ส่วนเอวาที่นั่งฟังอยู่ด้านหลังก็อึ้งที่คำพูดนั้นออกจากปากคนที่บอก 'ขู่ให้กลัวแล้วแยกเขี้ยวใส่'
"ถ้าท่านไม่ล้มเลิกการเดินทางอ้อม แล้วท่านจะเดินทางโดยใช้เส้นทางไหนกันขอรับ ข้าคิดว่าการตัดผ่านฐานลับท่านโมงุนคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด"
"เรื่องนั้นไม่ยาก ข้าจะขุดเจาะอุโมงค์ลอดไปที่เขตปกครองฝั่งเหนือ สร้างฐานใต้ดินที่นั่น และดักจับพวกเผ่าคามาโดที่เขามารุกราน"
"แต่ระยะทางมันค่อนข้างไกลนะขอรับ"
"ไม่ต้องห่วง ข้ามีนักขุดมืออาชีพในกำมือ"
ตกเย็นเผ่าอมนุษย์สามเผ่าถูกเรียกรวมตัวกันในลานกว้าง โดยมีเด็กโตเผ่าอมนุษย์ฝึกป้องกันตัวโดยทหาร และเด็กเล็กอยู่ในอาคารเรียนหนัง เผ่าอมนุษย์แมลงสาบ เผ่าจาลิด อมนุษย์จิ้งหรีด เผ่ากายัว อมนุษย์ตะขาบ ทั้งสามเผ่าถูกมอบหมายให้รับงานขุดอุโมงค์ลอดฐานทัพมารโมงุน แน่นอนว่าการขุดอุโมงค์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ต้องลงมือทำไปก่อนเพื่อจะได้รู้ว่าระหว่างทำต้องใช้อะไรบ้าง
ตกกลางคืนหัวหน้าหน่วยโทมัสเข้าพบฮาวเวอร์ที่ยังคงทำงานอยู่ แล้วยื่นจดหมายลับจากแม่ทัพน็อลส่งมาให้ เรื่องราวภายในโทมัสรู้เรื่องหมดแล้วแต่ที่พูดออกไปตรงๆ ไม่ได้คงเพราะกลัวข่าวจะรั่วไหล ในป่าแห่งนี้แม้จะห่างไกลจากอาณาจักรริลกลิม แต่ก็ไม่อาจจะเสี่ยงให้ใครล่วงรู้ได้
เนื้อความในจดหมาย
'ถึงนายน้อยฮาวเวอร์ เรื่องราวในครั้งนี้อาจทำให้ท่านสะเทือนใจและข้ารู้ดีว่าควรจะพูดเรื่องนี้กับท่านด้วยตนเอง แต่เพราะท่านต้องเดินทางต่ออีกไกล ข้าจึงคิดว่าคงไม่อาจปล่อยเรื่องนี้มิให้ท่านรู้นานเกินไป ราชินีเกรสสันทรงสิ้นพระชนม์เมื่อ 10 ปีก่อนในวันที่ท่านเกิด ภายในราชวังจัดงานพระบรมศพไม่ยิ่งใหญ่ให้และในเวลาต่อมาราชาไมนัสก็ขึ้นครองราชย์ทันที หลังจากพระนางจากไปได้ไม่นาน แม้ประชาชนยังคงเสียใจอยู่ก็ต้องฝืนยิ้มในวันราชาภิเษก หลายคนเริ่มรับรู้แล้วว่า ราชวงศ์ของมหาราชาพาวเวอร์ได้สิ้นสุดลงที่ตรงนี้ พอคนจะออกเดินทางไปนอกอาณาจักรก็ไม่อนุญาต คนจะเข้าก็กล่าวหาว่าบุกรุก ตอนนี้ประชาชนภายในถูกกดขี่ให้ทำงานส่งเงินให้ทางราชวงศ์ใหม่จนเริ่มมีคนเจ็บป่วยล้มตายเพราะสิ้นไร้เรี่ยวแรง ส่วนเรื่องการทหารยังไม่แน่ชัดมากนัก คงต้องใช้เวลาสืบอีกระยะหนึ่ง'
ฮาวเวอร์พับกระดาษลงก่อนจะเผา เขาสลับจิตกับอีคอนทันทีเมื่อจัดการความรู้สึกภายในไม่ได้ ร่างที่อีคอนควบคุมอยู่เกิดมีน้ำใสไหลออกมาจากตา เขายกมือขึ้นกรอบกุมใบหน้าพลางร้องไห้ เอวาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็เข้าไปกอดเขาเอาไว้ในอก
ช่วงชีวิตเด็กอันขมขื่นนี้ยังไม่สิ้นสุด แม้ว่าความทรงจำเดิมเขาจะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ร่างที่ยังเป็นเพียงเด็กก็ใช้ความรู้สึกของเด็กมาครอบงำ อ่อนไหวง่าย สงสารง่าย โกรธง่าย และรักใครสักคนได้ง่าย อิทธิพลของร่างมีผลต่อจิตทั้งสองจนหยุดความเสียใจนี้ไม่อยู่
โทมัสเดินออกจากห้องไปทั้งเหม่อมองท้องฟ้ากว้างไกล นึกถึงครอบครัวที่ไม่ได้กลับไปพบตั้งแต่ออกเดินทางมา ไม่รู้ว่า หากเขาตายที่นี่ คนอีกฟากจะร้องไห้ปานใจจะขาดอย่างนี้ไหม แค่คิดก็หน่วงจิตใจจนยากจะระบายออก
"ท่านมอบจดหมายฉบับนั้นให้ท่านฮาวเวอร์แล้วหรือขอรับ" นายทหารในสังกัดคนหนึ่งเข้ามาพูดทัก
"อื้ม อย่าเพิ่งเข้าไปรบกวนท่านฮาวเวอร์ตอนนี้เชียว เขาต้องการการพักผ่อนมากๆ "
"เข้าใจแล้วขอรับ"
เช้าวันต่อมา กิจการงานทุกอย่างเป็นไปตามที่ฮาวเวอร์สั่ง เขาไม่อนุญาตให้ใครพบตั้งแต่เช้ายกเว้นเอวาที่คอยอยู่ด้านในอยู่แล้ว จนเวลาล่วงเลยผ่านไปสองวัน ก็ยังไม่มีใครเข้าไปกวนแม้ว่าจะพยายามเรียกแล้วแต่ก็ถูกเอวาห้ามเข้ามาเสียก่อน
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป การงานทุกอย่างดำเนินไปอย่างติดขัดเพราะไม่มีฮาวเวอร์คอยชี้แนะ ทุกคนเริ่มถามหาเขาทั้งเป็นห่วง ทั้งกลัวว่าเขาจะอดอาหารแม้ว่าจะไม่ค่อยเห็นเขาทานอะไรสักเท่าไหร่ เผ่าไร้การปกครองก็เริ่มส่งลูกหลานเข้ามาจนล้นมือผู้สอน สามเผ่าที่ให้ขุดอุโมงค์ก็เริ่มขุดดินมั่วจนไม่รู้ไปโผล่ที่ไหน มารโมงุนเองก็ต้องการพบหน้าฮาวเวอร์เพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัว แต่เพราะฮาวเวอร์ยังคงอยู่ในช่วงเสียใจจึงต้องรอต่อไป
จนเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ ทุกคนเริ่มทนไม่ไหวและแอบแง้มม่านออกส่องดูว่าเขาทำอะไรอยู่ ในถ้ำมืดสนิทไม่มีแสงไฟ แม้จะเพ่งสายตาส่องก็ยังมองไม่เห็นอะไรจนเริ่มเห็นเงาไหวไปมาและโผล่ออกมาให้เห็น เงานั้นเป็นชายสูงราวสองเมตร สวมชุดประหลาดต่างจากมนุษย์คนอื่น เขาโผล่หน้าออกมาแล้วพูดสิ่งที่คนแอบมองต้องตกใจ
"ฮาวเวอร์มันไม่อยู่แล้ว"
"หา? แล้วเขาไปไหน?"
"ไม่รู้ ไม่ต้องมากวนอีก"
พอเดินกลับเข้าไปผ้าม่านที่ถูกแง้มก็เปลี่ยนรูปทรงเป็นประตูเหล็กหนาขนาดใหญ่ปิดถ้ำเอาไว้ ไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุที่ฮาวเวอร์หายไป เรื่องนี้ถูกกระจายข่าวอย่างเงียบๆ คนภายในไม่มีใครกล้าปริปากเสียงดัง เพราะต้องอาศัยชื่อฮาวเวอร์ทำให้คนเขตอื่นกลัว ถึงแม้จะจัดการเรื่องราวบางอย่างได้บ้างแต่คำถามก็ยังผุดขึ้นในจิตใจของทุกคนในที่แห่งนี้
'ฮาวเวอร์ไปไหน?'
อ้าว~ ทำไมทำงี้อะฮาวเวอร์
หนีไปทำไม~