ผ่านไปแล้วสามวันแล้วสำหรับชีวิตใหม่ในร่างอันปวกเปียกนี้
แม้เขาจะช็อกในวันแรกที่ฟื้น แต่พอผ่านไปวันสองวันก็เริ่มทำใจรับสภาพได้กับความอ่อนแอของร่างกาย อย่างน้อยแค่เอาสายขับปัสสาวะอันเจ็บปวดทรมานเป็นบ้าออกหลังจบวันแรก นั่นก็ทำให้ชีวิตใหม่ในร่างนี้ดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว
พยาบาลสาวบอกเขาว่า เขาต้องลองขับถ่ายเองเพื่อให้ระบบของร่างกายกลับมาเป็นปกติ
พอได้ยินชายหนุ่มคนป่วยก็กัดริมฝีปากล่าง ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะทำให้ได้อย่างที่พยาบาลสาวแนะนำ เพราะคงกระอักกระอ่วนเหลือเกินหากต้องทำกิจวัตรพวกนี้บนเตียง ด้วยเหตุนี้เขาจึงขอให้ช่วยหารถเข็นมาไว้ที่นี่ เผื่อต่อไปถ้าขยับตัวได้มากขึ้น อย่างน้อยเขาจะได้เข้าไปทำธุระในห้องน้ำโดยลำพังได้
พยาบาลสาวที่ชื่อนิดย้ำเตือนว่า
"คุณต้องระวังเวลาเคลื่อนไหวนะคะ ถึงคุณจะยังหนุ่มแต่ก็นอนโคม่าไปนานมาก ร่างกายต้องการเวลาในการฟื้นตัว ถ้าคุณลุกไม่ไหวให้รีบเรียกพี่นิดนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ"
ชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้นได้แต่พยักหน้า
"ต่อไปถ้าพี่นิดไม่อยู่ นิวจะคอยดูแลคุณแทน" เธอหมายถึงพยาบาลหนุ่มที่เป็นพนักงานของลาโฮม ที่อยู่ประจำที่แท่นนี้ "เขาจะดูแลคุณต่อ แต่พี่คิดว่าอีกไม่นาน คุณก็คงแข็งแรงแล้ว คงไม่ต้องให้ใครดูแลก็ได้"
ชายหนุ่มคิดว่ามันแปลกดีที่พยาบาลสาววัยสามสิบเรียกตัวเองว่าพี่กับเขา แต่ก็นึกได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในร่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง เลยถามกลับไปว่า
"พี่นิดจะไม่อยู่นี่แล้วเหรอ-จะไปไหนครับ" เขาตามน้ำเรียกเธอว่าพี่ไปด้วย
"กลับไปทำงานบนฝั่งเหมือนเดิมค่ะ ลาโฮมจ้างพี่มาเป็นพยาบาลพิเศษคอยดูแลคุณช่วงโคม่าเท่านั้น แล้วนี่คุณก็ฟื้นแล้ว"
"อ้อครับ" เขารับคำแต่จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้
"วันนี้-วันที่เท่าไรครับ"
"30 มี.ค. ค่ะ"
"แล้วปีพ.ศ.ไหนครับ"
"2565 ค่ะ" พยาบาลนิดทำหน้าสงสัยนิดหน่อยกับคำถามของเขา
"แล้วพี่นิดดูแลผม-มาตั้งแต่แรกเลย-รึเปล่า"
พี่นิดพยาบาลตอบว่าใช่
"แล้วดูแลมา-นานแค่ไหน"
เธอทำท่านึกครู่หนึ่ง "อืม เกือบปีแล้วนะคะ"
ที่ชายหนุ่มถาม เพราะความทรงจำของเขาเริ่มกลับมาช้า ๆ ทีละอย่างสองอย่าง หนึ่งในความจำนั้นเกี่ยวข้องกับร่างใหม่ที่เขามาพักพิง
เขารู้สึกคุ้นว่า ในชีวิตเดิม ครั้งแรกที่เห็นร่างนี้นอนโคม่าอยู่บนเตียง มันตั้งแต่เดือน...
แต่พอพยายามนึกมาก ๆ เขากลับนึกไม่ออก แถมปวดหัวตุบ ๆ ด้วย ถ้าได้ล้างหน้าล้างตัวสักหน่อยอาจทำให้รู้สึกดีขึ้น อีกอย่างเหตุผลหนึ่งก็คือเขาอยากเห็นรูปร่างหน้าตาของร่างใหม่นี้ชัด ๆ เลยอ้าปากเพื่อจะร้องขอพยาบาลสาวผู้อารี แต่เธอกลับถามแซงขึ้นมาว่า
"ว่าแต่พี่เห็นคุณเกาตรงแขนมาสักพักแล้ว เป็นอะไรรึเปล่า"
"เอ้อ-เปล่าครับ ขอบแขนเสื้อ-มันลุ่ยออกมา ถูกตัวเลยคัน" เขาใช้นิ้วเกี่ยวเล่นไปมาตรงนั้น
"อ๋อค่ะ"
แล้วชายหนุ่มก็ร้องขออย่างที่คิดไว้
"พี่นิดครับ ผมอยากใช้ห้องน้ำ ช่วยพยุงผมหน่อย"
+++++
ตอนนี้ชายหนุ่มนั่งรถเข็นอยู่หน้าอ่างล้างหน้า เขาบอกพี่นิดไปเมื่อกี้ว่า ถ้าให้ยืนแค่ไม่นานอยู่ไม่ห่างรถเข็น เขาทำได้ไม่มีปัญหา พี่นิดเลยขอให้เขาเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้เผื่อมีเหตุไม่คาดฝัน ชายหนุ่มตอบตกลง แล้วพยาบาลนิดก็ออกจากห้องไป
ขณะอยู่บนรถเขาเอื้อมมือไปอุดสะดืออ่าง จากนั้นก็เปิดน้ำให้แรงสุดจนกระทั่งน้ำท่วมขึ้นมาถึงระดับที่พอใจ ลำดับต่อมาคือเขากลั้นใจลุกขึ้น มือยันที่ผนังห้องน้ำแล้วขยับสองก้าวออกจากรถเข็นมายังอ่างล้างหน้า รู้สึกว่าแข้งขาอ่อนปวกเปียกราวกับยางยืดทีเดียว ต้องอาศัยกำลังแขนจับราวสเตนเลสที่ติดไว้ที่ผนัง เป็นการรับประกันว่าจู่ ๆ หากเขาเกิดหมดแรงล้ม ก็คงไม่ลงไปหัวฟาดพื้น
พอยืนสำเร็จ คนป่วยก็ใช้ข้างลำตัวพิงกำแพงไว้ มือข้างหนึ่งยังจับที่ราวจับสเตนเลส ส่วนอีกข้างวักน้ำเย็นรดใบหน้า นั่นเลยทำให้เสื้อคนป่วยบาง ๆ ที่ใส่อยู่เปียกโชกไปเกือบถึงหน้าท้อง แต่เขาไม่ใส่ใจ
เฮ้อ ค่อยสดชื่นขึ้นหน่อย
ชายหนุ่มถอยตัวแล้วทรุดลงไปนั่งบนรถเข็นอีกรอบ เพราะแข้งขาเริ่มทรงตัวไม่ไหวแล้ว เขาดึงสะดืออ่างให้น้ำระบายออก
เขาหยิบผ้าขนหนูที่วางบนรถซับหยดน้ำบนใบหน้า แล้วมองเข้าไปในกระจก ดวงตาที่มองกลับมาที่ตาขาวมีเส้นเลือดฝอย ที่ดูเหมือนกิ่งก้านหงิกงอของต้นไม้สีแดงวิ่งพาดผ่าน ให้ตายเถอะ เขาไม่คุ้นกับใบหน้านี้เลย
แสงไฟสีขาวในห้องน้ำส่องให้เห็นเงาในกระจกชัดเจน คือภาพหนุ่มน้อยหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง เงาในกระจกเอามือขยี้เส้นผมซอยสั้นแนบติดกะโหลกศีรษะทุยสวย ทรงผมออกจะดูแหว่งวิ่นเล็กน้อยเพราะการินเห็นว่าเส้นผมของร่างนี้ค่อนข้างยาว เลยขอให้คนที่แท่นนี้ช่วยตัดออกไปเมื่อวานนี้เอง
ชายหนุ่มคนป่วยเอาวางมือลงกับขอบอ่าง มองกรอบใบหน้าค่อนข้างเล็ก ดวงตากลมโตกับริมฝีปากอิ่มหยักโค้งมองตอบมาจากกระจก ผิวหน้าและผิวที่ลำคอของคนในกระจกขาวซีดจนแทบเรืองแสงได้ในความสว่างของห้องน้ำ
พูดตรง ๆ ก็คือรูปลักษณ์ของร่างกายจัดว่าค่อนข้างดูดีทีเดียว ใบหน้ารูปไข่ ตากลมโต คิ้วเรียวเข้ม ริมฝีปากอิ่ม ดูแล้วหน้าออกจะอ่อนหวานเกินบุรุษเพศไปด้วยซ้ำ ขนตาหนาและค่อนข้างงอนกะพริบช้า ๆ เปลือกตาดูอ่อนล้านิดหน่อย แต่โดยรวมใบหน้านี้ก็ยังมีเสน่ห์น่ามองอยู่ดี
แต่ที่ไม่น่ามองคือความหมองคล้ำใต้ดวงตา กับแก้มตอบดูซูบซีดอิดโรย ชายหนุ่มลูบไปตามหน้าท้องกับแขนของตัวเอง หนุ่มน้อยคนนี้ผอมเหลือเกิน อาจเพราะรับแต่อาหารเหลวมาเป็นปีได้ก็ได้
+++++
ความสดชื่นจากสายน้ำคงช่วยได้จริง ตอนออกจากห้องน้ำ กลับมานอนพักต่อที่เตียง เขารู้สึกสบายตัวขึ้น
ก่อนออกจากห้องน้ำ เขาถอดเสื้อผ้าตัวเดิมที่เปียกโชกทั้งเสื้อและกางเกงโดยที่ยังนั่งอยู่ในรถ จากนั้นก็โยนมันลงในตะกร้าผ้าใช้แล้ว เขาเข็นตัวเองในสภาพเปลือยเปล่ามาหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ที่พยาบาลวางเตรียมไว้ที่ปลายเตียง
การินมากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ขณะมัดเชือกที่ใช้ต่างกระดุมบนเสื้อทีละจุดอย่างช้า ๆ และเงอะงะ เพราะยังใช้นิ้วได้ไม่คล่องเท่าใดนัก ในตอนนั้นเองอยู่ ๆ เขาก็นึกออกว่า เหตุการณ์ในวันที่เขาได้เห็นร่างนี้เป็นครั้งแรกเกิดขึ้นอย่างไร
ความทรงจำเก่าเริ่มผุดออกมา ก่อนหน้านี้ในชีวิตที่แล้ว เขายังเป็นการิน หัวหน้าห้องแล็บฟีโรโมน เขาคือหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบห้าปีที่ชีวิตนี้ไม่เหลือเป้าหมายอะไรอีก ได้แต่ตื่นไปทำงานแล้วก็ดื่มเหล้าเมามายหลังเลิกงานไปวัน ๆ จนเริ่มส่งผลเสียต่อสุขภาพและการงานอยู่บ้างในบางคราวเหมือนกัน
แต่แม้ในสภาพซังกะตายแบบนั้น ในวันที่เขาเห็นร่างของหนุ่มน้อยที่นอนโคม่าที่แท่นแห่งนี้ นั่นคือเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว เขากลับรู้สึกประหลาดบางอย่างและจำเหตุการณ์ได้แม่นยำ
การินมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแล็บฟีโรโมน นับว่าค่อนข้างอาวุโสสำหรับพนักงานคนอื่นของแท่นอัญชันแห่งนี้ ทำให้เขารู้มาว่า คนที่กรุงเทพฯ ขอฝากผู้ป่วยโคม่ามานอนพักรักษาตัวที่นี่คนหนึ่ง
ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจอยากรู้เหตุผลว่า ทำไมถึงส่งคนป่วยมาพักในสถานที่อันห่างไกลอย่างแท่นขุดเจาะแห่งนี้ ที่การเดินทางมาถึงมีแค่วิธีเดียวคือนั่งเฮลิคอปเตอร์จากแผ่นดินใหญ่มาประมาณยี่สิบนาที
นั่นเพราะเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องของคนอื่นเท่าใดนัก เขาเป็นคนแบบนี้มานานแล้ว ใครจะทำอะไรก็ทำไป เขาแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ
พนักงานที่แท่นอัญชันเกือบทุกคนรวมถึงเขา ไม่มีใครรู้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่ไหน แต่ด้วยความบังเอิญ วันนั้นคุณชิน พี่ชายต่างมารดาของคุณชนะผู้ก่อตั้งบริษัทลาโฮมที่ล่วงลับไปนานแล้ว แวะมาที่แท่นอัญชัน ตอนคุณชินลงจากเฮลิคอปเตอร์บังเอิญพบกับการินที่เป็นพนักงานเก่าแก่ พอหัวหน้าห้องแล็บเห็นคุณชินเข้าเลยเข้าไปทักทายตามมารยาท อีกฝ่ายเลยชวนเขาคุย
ขณะทบทวนความจำเขาก็นึกถึงหน้าคุณชินไปด้วย คุณชินเป็นชายวัยประมาณหกสิบกว่า ๆ ที่ดูภูมิฐาน รูปร่างของคนนั้นค่อนข้างสูงเพรียว เส้นผมหงอกขาวที่ยังดกหนามักจัดทรงไว้เรียบแปล้ ในความทรงจำของเขา คุณชินคือชายสูงวัยสวมแว่นกรอบสีเงินดูหรูหรา หน้าตาใจดี
คุณชินอยู่ที่ลาโฮมกรุปในฐานะผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง การินจำได้ดีว่า เมื่อประมาณสิบปีที่แล้วตอนที่คุณชนะเสียชีวิต คุณชินในฐานะลุงต่างมารดาของคุณเดวิส เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่พอจะดำเนินธุรกิจต่อจากน้องชายต่างมารดาได้ เพราะคุณเดวิสที่เป็นผู้สืบทอดลาโฮมกรุปโดยตรง เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา คุณชินก็กลายเป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้ลาโฮมกรุปเจริญรุดหน้ามาได้ถึงทุกวันนี้
ในความทรงจำของการิน เขาจำได้ว่าชายสูงวัยพูดเปรย ๆ ถึงเหตุผลที่ต้องบินมาถึงที่นี่
"เดี๋ยวฉันต้องไปดูคนป่วยสักหน่อย" คนสูงวัยกว่าขยับแว่นที่เลนส์เคลือบสารป้องกันยูวีที่เปลี่ยนเป็นสีเข้มเนื่องจากตรงที่ทั้งคู่ยืนอยู่มีแสงค่อนข้างจ้า
"หมายถึงคนป่วยโคม่าที่ถูกนำมาพักที่นี่หรือครับ" สิ่งที่การินรู้มีแค่นั้น
ฝ่ายนั้นพยักหน้า
"ฉันไม่เคยเห็นคนป่วยมาก่อนเลยนะ วันนี้แวะมาธุระที่นี่เลยขอดูสักหน่อย"
"ผมเองก็ไม่เคยเห็นคนป่วยที่ว่าเลยเหมือนกันครับ"
"อยากเห็นไหมล่ะ ไปดูด้วยกันสิ"
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเขา แถมลุงของเจ้าของบริษัทก็พูดเสียขนาดนี้ การินก็ไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาปฏิเสธ
ที่หมายของพวกเขาคือเลเวลทรีของแท่นขุดเจาะ ซึ่งเรียกง่าย ๆ ก็คือชั้นสามนั่นเอง ทั้งคู่เดินข้ามวอล์กเวย์จากตรงจุดที่ฮ.ลง มายังแท่นหลัก ขึ้นไปชั้นสาม เดินไปตามโถงทางเดินอีกไม่นานก็ถึงประตูบานเลื่อน หลังประตูบานเลื่อนคือบรรดาห้องพักพิเศษต่าง ๆ สำหรับแขกวีไอพี ซึ่งหมายถึงแขกที่เป็นคนในตระกูลหงษทัศน์พิพัฒน์ หรือบรรดาคนรู้จักของเจ้าของถึงมีสิทธิ์มาพักที่นี่
คุณชินแตะบัตรที่เซนเซอร์แล้วประตูก็เลื่อนเปิดออกทันที
พอเดินไปตามโถงในส่วนวีไอพีอีกแค่นิดเดียว หนึ่งในประตูบานสีครีมก็ปรากฏตรงหน้า คุณชินที่เดินนำมาหยุดลงตรงนี้
การินก้าวตามไป ห้องนี้คือหนึ่งในห้องพักรับรองวีไอพีที่มีขนาดใหญ่พอสมควร พื้นที่ห้องอาจถึงห้าสิบตารางเมตรเห็นจะได้
ทั้งคู่เดินผ่านห้องน้ำ แพนทรีครัว ส่วนรับแขก จากนั้นก็มาถึงห้องนอนที่ตอนนี้ถูกดัดแปลงมาเป็นห้องพักผู้ป่วย เขาเห็นแผงมอนิเตอร์เครื่องวัดสัญญาณชีพ เห็นสายระโยงระยางอยู่ข้างตัวคนที่นอนสงบนิ่งบนเตียง
เสียงของคนข้าง ๆ เอ่ยขึ้นในทำนองบ่นประธานบริษัทหนุ่ม "คนที่ยืนกรานจะเอาคนป่วยนี้มาอยู่นี่คือเดวิส คนอื่นทัดทานก็ไม่ยอมฟัง"
แวบแรกการินรู้สึกเหมือนเคยเห็นคนป่วยคนนี้ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นจากที่ไหน แต่ก็ไม่กล้าถามตรง ๆ กับคุณชิน เลยเลือกถามคำถามอ้อม ๆ แทน
"แล้วคนนี้สำคัญยังไงกับคุณเดวิสหรือครับ"
คุณชินหันหน้ามามองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง แล้วค่อยหันกลับไป การินมองไม่เห็นหน้าของชายสูงวัย แต่คิดว่าเขายิ้มบาง ๆ
อาจเป็นรอยยิ้มอันเศร้าหมองให้กับหนุ่มน้อยคนที่นอนป่วยอยู่ก็ได้
"ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คงเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของเขาล่ะ ถึงอยากเอามาดูแลเป็นพิเศษที่นี่"
คงเป็นเพื่อนรักหรือเพื่อนรุ่นน้องของเขากระมัง การินคิดในใจ แต่เขาก็ยังเดาไม่ออกอยู่ดีว่า เหตุใดจึงต้องพาคนสำคัญมาเก็บไว้ในที่ที่การดูแลทางแพทย์ค่อนข้างยากจะมาถึง เหตุผลเข้าท่าที่นึกได้ประการเดียวคือคุณเดวิส อาจอยากซ่อนคนคนนี้ไว้จากโลกภายนอก
ถ้างั้นท่านประธานของลาโฮมจะทำแบบนั้นทำไม
การินลองเลียบเคียงถามคุณชินต่อ
"แล้วคุณเดวิสจะทำยังไงกับหนุ่มคนนี้ต่อไปเหรอครับ"
"คงรอให้ฟื้นแล้วค่อยว่ากันอีกทีละมั้ง" เป็นคำตอบปัดให้พ้นตัวของอีกฝ่าย ดูเหมือนผู้สูงวัยก็ไม่อาจหยั่งรู้แน่ชัดถึงเจตนาของหลานที่เป็นประธานบริษัท
การินนึก แต่ไม่ได้เอ่ยถามออกไปว่า 'แล้วถ้าเขาไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกเลยล่ะ' แต่ก็สลัดความคิดนั้นทิ้งจากหัว มันโหดร้ายเกินไปที่จะคิดแบบนั้น
เพราะสิ่งที่เขารู้สึกในตอนนี้ คือหนุ่มน้อยคนที่นอนอยู่ช่างน่าสงสารจับใจ ร่างกายผอมซูบซีดราวกับกลีบดอกไม้บอบบาง ผิวขาวซีดจนเกือบโปร่งแสง
คนนอนบนเตียงน่าจะอายุสักยี่สิบนิด ๆ ไม่มีทางเกินยี่สิบห้าแน่
พอเห็นคนอายุน้อยที่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วทำให้การินสะท้อนใจ คนวัยขนาดนี้ควรได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใจอยาก ได้โลดแล่นไปไหนก็ได้ที่อยากไป ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ เพราะความเยาว์นั้นเปรียบเหมือนช่วงเวลาสดใสแห่งรุ่งอรุโณทัย ที่เผลอแป๊บเดียว มันก็จากไปอย่างรวดเร็ว ราวกับน้ำค้างที่ถูกแดดเผาแล้วสลายตัวไปในพริบตาทันทีเมื่อแสงแดดเริ่มสาดส่อง
หนุ่มน้อยที่นอนอยู่คนนี้ทำให้การินนึกถึงลูกของตัวเอง ลูกที่จากไปพร้อมแม่ ภรรยาของเขาเมื่อสามปีที่แล้ว
เกมส์ลูกพ่อ ถ้าลูกยังอยู่ ก็คงเด็กกว่าคนที่นอนตรงนี้ไม่กี่ปี
การินบีบมือแน่นกับราวโลหะเย็นเฉียบ เป็นราวกันตกของเตียงที่ยกสูง เผื่อหนุ่มน้อยผู้นอนไม่ได้สติคนนั้นจะตื่นขึ้นมา ในตอนนั้นเขาเวทนาหนุ่มน้อยคนนี้จับใจ เขาจำได้ด้วยว่า เขาอธิษฐานบางอย่างอยู่ในหัว
สิ่งที่ขอคือให้หนุ่มน้อยคนนี้ได้มีโอกาสฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และได้ใช้ชีวิตต่อไป อย่าให้มีจุดจบเหมือนอย่างลูกชายของเขา คนที่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุไม่คาดฝันในตอนที่อายุแค่สิบสองขวบเท่านั้น ช่างน่าเสียดายและน่าเศร้าเหลือเกิน
พอขอพรในใจเสร็จ การินก็รู้สึกกระตุกวูบที่ปลายนิ้ว เขาเลยถอนมือจากราวทันที รู้สึกเหมือนถูกกระแสไฟอ่อน ๆ ดูด อาจเพราะอากาศในห้องนี้แห้งเกินไปก็ได้
การินจดจำเหตุการณ์นี้ได้แม่นยำ นั่นคงเพราะนี่คือความทรงจำที่แตกต่างไปจากความจำเกี่ยวกับวงจรชีวิตของแต่ละวันของเขา ที่หมุนวนไปอย่างน่าเบื่อหน่าย ราวกับเหตุการณ์ที่เขาได้พบกับหนุ่มน้อยผู้นอนหลับใหล คือสีสันจุดเล็ก ๆ ที่เห็นเด่นชัดท่ามกลางผืนความทรงจำสีหม่นของชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อไร้สีสันของตัวเอง
กลับมาสู่ปัจจุบัน การินในร่างใหม่นอนลืมตาอยู่บนเตียง สักพักต่อมาก็หลับตาแล้วเข้าสู่ภวังค์ ในตอนนั้นเขายังคิดไม่ออก ว่าจะอยู่ต่ออย่างไรในร่างใหม่นี้
เขาไม่ตระหนักแม้แต่น้อยว่าจะมีเรื่องราวไม่คาดฝันรออยู่ในวันต่อมา