ชั้นรักหัวหินตรงที่ชายหาดมันอยู่ทางทิศตะวันออกนี่ล่ะ การได้ฝึกโยคะบนหาดทรายเนียนนุ่มพร้อมกับชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าอย่างนี้คงเป็นความฝันของผู้รักโยคะหลายๆคน และโดยเฉพาะการฝึกโยคะกับหลานสาวคนสวย ความสดใสของวัยรุ่น ความช่างพูดช่างคุยของลิสาทำให้ชั้นอารมณ์แจ่มใสจิตใจสดชื่นแต่เช้า
ลิสาเป็นเด็กช่างสังเกตก็เลยมีเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าให้พวกเราฟังอยู่บ่อยๆ ชั้นและยัยลินไม่ได้มีเวลามาคอยนั่งตามติดชีวิตหลาน สิ่งที่เราทำได้ก็คือรอให้หลานมาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังด้วยตัวเอง ชั้นแทบไม่เคยจะบังคับอะไรยัยลิสา ชั้นคิดว่าเราควรจะแฟร์กับเด็กๆ ถ้าเราไม่อยากให้เขาทำอะไร เราก็ต้องไม่ทำสิ่งนั้น หรือถ้าหากเราอยากให้เขาทำอะไร เราก็ควรจะทำด้วย
อย่างเช่นการฝึกโยคะนี้อย่างไร ยัยลิสาเขาเห็นชั้นฝึกทุกวัน เขาก็มาร่วมด้วยเองโดยที่ชั้นไม่ต้องบังคับ
"คุณยายดูลิสาทำท่าท่านักรบนะคะ เป็นไงคะ นี่ขนาดพื้นทรายไม่แข็งนะคะ ลิสายังปักหลักได้สบายเลยค่ะคุณยาย" หลานสาวเธออวด หลังจากทรงตัวบนพื้นทรายได้อย่างแข็งแรง
มันน่าภูมิใจใช่ไหมล่ะ ที่เด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนนี้ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาเล่นโยคะเป็นเพื่อนยาย ส่วนลลินลูกสาวตัวดีของชั้นน่ะหรือ ก็ตามเคย ยังไม่ตื่นหรอก รายนั้นเค้าตื่นสาย และเมื่อคืนกว่าจะกลับมาจากงานเลี้ยงก็ดึกเชียว ชั้นงัวเงียลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำพอดีตอนลูกไขกุญแจห้องพักเข้ามา เหลือบตาดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงก็เห็นเที่ยงคืนแล้ว และท่ามกลางไฟสลัวของบริเวณทางเข้าห้องพักนั้น ชั้นสังเกตลูกดูท่าทางหน้าตามีความสุขแปลกๆ ซึ่งนอกเหนือไปจากอาการกรึ่มเพราะแอลกอฮอล์ อันเรื่องความกรึ่มนี้น่ะมันมีมาคู่ยัยลินแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีงานไหนที่ยัยลินไม่ดื่ม
"ลิสาดูยายนะ ยายจะทำท่าต้นไม้ แล้วยายก็จะทำที่ตรงนี้ เพราะพื้นทรายมันนุ่มกว่าตรงที่ลิสาอีกนะ ลิสาก็จะเห็นว่ายายทรงตัวได้ดีมากเหมือนกัน"
ชั้นเริ่มนึกสนุกในการทำท่าโยคะท่าต่างๆกับหลาน
"อูย คุณยายคะ ตรงนั้นทรายมันนุ่มเกินไปหรือเปล่าคะ เดี๋ยวคุณยายจะล้มเอานะคะ ลิสาว่าคุณยายเปลี่ยนที่ดีกว่าไหมคะ"
"เอาน่า คอยดูยายก็แล้วกัน แล้วยายก็จะยืนด้วยขาซ้ายด้วยนะ การยืนด้วยขาข้างที่ไม่ถนัดนี่นับว่าเป็นโยคะที่สูงไปอีกขั้นนึงเลยนะลูก"
ชั้นต้องแสดงให้หลานสาวเห็นว่าถึงจะแก่แต่ชั้นก็ยังแข็งแรง หลานจะได้สบายใจว่าเขาไม่ต้องคอยมาเป็นห่วง ชั้นไม่เคยคิดอยากให้ลูกหลานมาดูแล พวกเขาควรมีชีวิตของตัวเอง เราทำให้เขาต้องเกิดมาผจญกับโลกใบนี้ทั้งๆที่เขาไม่ได้เลือกมาเกิด แล้วพวกเขาก็ทำให้เรามีความสุข แค่นี้เราก็เป็นหนี้ลูกหลานมากพอแล้ว
ลมทะเลที่สดชื่นยามเช้าผ่านเข้าปะทะหน้า ชั้นเริ่มต้นด้วยการยืนตัวตรง หน้ามองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้า ชั้นยกส้นเท้าขวาขึ้นอย่างเนิบๆมาวางชิดที่ต้นขาซ้ายด้านใน แล้วเปิดเข่าออกด้านข้าง เริ่มทำสมาธิโดยการพนมมือระหว่างอก หายใจเข้าอย่างช้าๆให้ลึกที่สุด พยายามทรงตัวโดยการค่อยๆยกมือที่พนมไว้ขึ้นเหนือหัวให้แขนเหยียดตรง และผลักแขนไปหลังใบหู แล้วก็เริ่มผ่อนลมหายใจออกให้ช้าที่สุด
อา ชั้นทรงตัวได้ดีทีเดียว…
"ลิสาเห็นไหมลูก ยายทำได้ดีใช่ไหม ยายเก่งไหม" ชั้นหันหน้าไปอวดหลานสาว ลิสากำลังยืนมองดูชั้นอยู่ไม่ไกลนักห่างออกไปสักสี่ห้าเมตร
"คุณยายระวังค่ะ เรือมันแล่นผ่าน คลื่นลูกใหญ่เลยค่ะ" หลานตะโกนตอบกลับมา พร้อมสาวเท้าก้าวเข้ามาหา
"เอ๊ะ จริงหรือลูก ทำไมเมื่อกี้ยายไม่เห็น" ชั้นหันหน้าออกไปทางทะเลอีกที ก็เห็นเรือหางยาวเพิ่งจะแล่นผ่านหน้าไป
"ว้าย!"
แล้วชั้นก็ต้องร้องเสียงหลง รู้สึกได้ถึงความแรงของกระแสน้ำที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขาข้างซ้ายที่รองรับน้ำหนักอยู่ขาเดียวเริ่มอ่อนแรงทรงตัวไม่อยู่เนื่องจากการทรุดของพื้นทรายตรงที่ยืนอยู่
"คุณยาย!"
สิ้นเสียงหลานสาวที่ร้องด้วยความตกใจ ชั้นก็ล้มก้นจ้ำเบ้าไปที่พื้นทรายชุ่มน้ำนั่น และเพราะพื้นที่อ่อนยวบนั้นทำให้ชั้นนั่งไม่อยู่เสียล้มหลักตะแคงข้างไปกับพื้นอีกที เนื้อตัวเปียกปอนเลอะทรายเต็มไปหมด
"คุณยายเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า" ลิสารีบทรุดลงประคองชั้นให้ค่อยๆเอนตัวขึ้นมานั่ง
"ไม่เป็นไรลูก ยายเจ็บแค่นิดหน่อย" ตอบหลานสาวไปก็ปัดทรายตามเนื้อตามตัวไป
"คุณยายลุกไหวไหมคะ เดี๋ยวลิสาพยุงคุณยายไปนั่งพัก"
ในใจชั้นคิดว่าไม่เป็นอะไร แต่ความเจ็บแปลบๆที่เกิดขึ้นมานั้นทำให้ชั้นต้องบอกกับหลานสาวไปตรงๆ
"ยายลุกไม่ไหวหรอกลูก ยายเจ็บหัวเข่ากับเจ็บข้อเท้า"
"งั้นคุณยายรอแป๊บนะคะ ลิสาจะขึ้นไปเอาโทรศัพท์ แล้วจะปลุกน้าลินด้วย เดี๋ยวลิสาโทรถึงรถพยาบาลให้มารับเลย" ลิสาตัดสินใจด้วยความรวดเร็ว
"โอย ไม่เอา ไม่เอา ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะแม่คุณ เดี๋ยวยายนั่งพักตรงนี้สักพักก็น่าจะหาย" คนแก่อย่างชั้นถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ค่อยอยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับหมอกับโรงพยาบาลนักหรอก เดี๋ยวมันจะเป็นลางไม่ดี
"แต่คุณยายจะนั่งแช่น้ำอยู่อย่างนี้หรือคะ ไม่ได้นะคะ" ลิสาทำท่าตำหนิ
"เสื้อผ้าของคุณยายเปียกทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างนี้ ถ้านั่งแช่น้ำนานๆแล้วอุณหภูมิของร่างกายเริ่มลดลง ลิสากลัวว่าจะไม่เป็นการดีต่อปอดนะคะ แล้วอีกอย่าง ลิสาก็ไม่แน่ใจว่าหัวเข่ากับข้อเท้าของคุณยายจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า"
หลานคนนี้เขามีบุคลิกและความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ชั้นคิดว่ามันมาจากการที่ร้านตัดเสื้อของเราอยู่ในบริเวณบ้าน ลิสาเขาเลยคุ้นเคยกับการไปมาของผู้ใหญ่ เหมือนว่าบางทีหลานคนนี้เค้าจะเป็นคนคอยดูแลพวกเรามากกว่าที่ชั้นกับยัยลินต้องคอยดูแลเค้า
"แหม ยายรู้ตัวดีน่า ว่าไม่เป็นอะไรมาก ขอยายนั่งพักนิดหน่อยก็พอลูก"
"คุณยายนี่ดื้อจริงๆเลยค่ะ โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวพักกันแป๊บนึงนะคะ"
แต่หลังจากที่เรานั่งกันเงียบๆผ่านไปห้านาที ลิสาเขาก็อดรนทนไม่ได้
"คุณยายเป็นไงบ้างคะ ลองขึ้นขี่หลังลิสาไหมคะ ลิสาไม่อยากให้คุณยายนั่งในน้ำนานเกินไป" ว่าแล้วหลานสาวก็ย่อตัวลงแล้วหันหลังมาให้
"เอ้า ไปก็ไป แหม ช่างตื๊อยายจริงๆ"
ชั้นเอื้อมมือไปเกาะแขนลิสาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง พยายามจะยกตัวขึ้นเพื่อเอามืออีกข้างไปเกาะไหล่อีกข้างของหลาน แต่ความพยายามของชั้นไม่เป็นผล ชั้นทรงตัวไม่อยู่ กลับเป็นการดึงตัวหลานสาวให้ล้มลงสู่พื้นทรายด้วยกันซะอย่างนั้น
"คุณยายโอเคมั้ยคะ ตรงนี้มันเป็นพื้นทรายคงจะลุกยากน่ะค่ะ" หลานรีบหันมาช่วยพยุงชั้นและช่วยปัดทรายตามเนื้อตามตัวชั้นอีกรอบ
"ยายคงยังลุกไม่ไหวน่ะลูก" ชั้นคงจะแก่แล้วจริงๆ ล้มแค่นี้ถึงกับลุกไม่ขึ้น
"งั้นลิสาคงต้องไปตามน้าลินมาช่วยกันอุ้มคุณยายแล้วล่ะค่ะ คุณยายรอตรงนี้นะคะ" ขณะที่หลานสาวกำลังละล้าละลังนั้น เราก็ได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อดังมาจากทางด้านหลังของลิสา
"ลิสา!"
"เรน!" หลานสาวชั้นหันขวับไปทางต้นเสียงทันที
ชั้นชะเง้อมองตาม ก็เห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งวิ่งปราดเข้ามาหาเราสองยายหลานที่กำลังทุลักทุเลกันอยู่ในน้ำทะเล
"เกิดอะไรขึ้นเหรอเนี่ย" เสียงหนุ่มที่น่าจะวัยเดียวกับลิสาถามอย่างตกใจ
"คุณยายล้มน่ะ ลุกไม่ไหว เราอยากจะพาคุณยายกลับไปที่โรงแรม แต่คุณยายก็ขึ้นขี่หลังไม่ไหว"
"มา งั้นเดี๋ยวเราอุ้มคุณยายไปเอง เราอุ้มคุณยายได้สบายมาก คุณยายตัวเล็กนิดเดียว" หนุ่มวัยรุ่นคนนั้นรีบอาสาอย่างแข็งขัน
ชั้นมองพ่อหนุ่มแล้วก็ระแวงเล็กน้อย ผมสีฟ้าแปร๋นน่ากลัวเชียว ลูกเต้าเหล่าใครกันนี่ เพื่อนยัยลิสางั้นหรือ แล้วรู้จักกันได้อย่างไร แล้วรูปร่างผอมบางสะโอดสะองขนาดนี้จะอุ้มชั้นไหวแน่รึ
"นี่เรน เพื่อนที่โรงเรียนของลิสาค่ะคุณยาย" แต่หลานสาวชั้นเค้าก็ไม่ลืมที่จะแนะนำ
"สวัสดีครับคุณยาย" แหม ท่าทางนอบน้อมเชียว
"ไหว้พระเถอะจ้ะพ่อคุณ" จะว่าไปหนุ่มน้อยนี่ก็หน้าตาหล่อเหลาดีนะ ดูมีน้ำใจดีด้วย แต่ทำไมพ่อแม่เขาถึงปล่อยให้ไว้ทรงผมที่รุงรังอย่างนี้
และเมื่อชั้นเห็นผู้ชายที่รีบเดินตามมาข้างหลัง ชั้นก็ต้องตกใจ
"ราเชนทร์!"
"ลลนา!"
...
ในที่สุดทั้งลูกสาวและหลานสาวของชั้นเค้าก็บังคับให้ชั้นไปตรวจที่โรงพยาบาลจนได้ และหลังจากตรวจเอกซเรย์เสร็จเรียบร้อยพบว่าทุกอย่างเป็นปกติดี จะมีก็เแค่อาการเคล็ดขัดยอกเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากออกจากโรงพยาบาล เราก็มาแวะทานอาหารเช้าที่บ้านของราเชนทร์กัน
ชั้นเองเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องของพรหมลิขิต ชั้นเองนี่ล่ะที่เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองไม่ใช่สวรรค์ที่ไหน แต่เรื่องของราเชนทร์ทำเอาชั้นต้องยอมรับ ว่าบางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกกับชีวิตของคนเรา
'ผมเรียนอยู่ห้องเดียวกับลิสาฮะ บ้านเราอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ปู่เขาชวนผมเดินเล่นมาทางนี้ตั้งแต่เช้าแล้วฮะ'
ชั้นได้คุยกับพ่อหัวฟ้าเล็กๆน้อยๆระหว่างทางเดินกลับห้องพัก เราไม่ได้คุยอะไรกันมากนักที่ชายหาด เพราะยัยลิสารีบเร่งให้พ่อหนุ่มอุ้มชั้นไปส่งที่ห้องพักก่อน เห็นตัวบางๆหน้าหล่อๆอย่างนี้ แต่พ่อหนุ่มน้อยหัวสีฟ้าเค้าแข็งแรงมาก ในตอนแรกก็อุ้มชั้นจากหาดทรายเดินช้าๆอย่างมั่นคงตรงไปที่ห้องพักของชั้นในโรงแรม และหลังจากรอชั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย พ่อหนุ่มก็อุ้มชั้นอีกทีเพื่อไปส่งขึ้นรถที่ยัยลินขับมาจอดรอเพื่อจะได้ไปโรงพยาบาลกัน ตลอดเวลานั้นราเชนทร์แทบจะไม่ได้ปริปากพูดเลย
แต่หลังจากที่ส่งพวกเราขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ราเชนทร์ถึงได้เอ่ยปากชวนพวกเราให้มาที่บ้านของเค้าหลังนี้ เค้าบอกว่ามีรถเข็นให้ชั้นหยิบยืม มะพร้าวพ่อบ้านของครอบครัวนี้เขารอบคอบเสมอ เขาให้เหตุผลว่าต้องเอารถเข็นติดรถมาด้วยเผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วราเชนทร์ต้องการใช้
ลลินลูกสาวของชั้นเขาก็ตกปากรับคำเชิญของราเชนทร์อย่างเต็มใจ เพราะเขาเองก็คิดไว้ว่าจะมาสวัสดีเจ้านายเก่าของเขาอยู่แล้ว...
"ต้องขอโทษจริงๆค่ะที่ทำให้คุณราเชนทร์ต้องรอทานข้าวพร้อมพวกเรา นี่ลินยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ ว่าวัยรุ่นหัวฟ้าคนนี้จะคือหลานชายของคุณราเชนทร์จริงๆ"
เสียงยัยลินคุยกับราเชนทร์เจื้อยแจ้วไม่หยุด ทันทีที่เรามาถึงบ้านพักตากอากาศริมทะเลหลังนี้ อาหารเช้าซึ่งเป็นข้าวต้มกุ้งฝีมือของพ่อบ้านถูกจัดเตรียมพร้อมรอไว้แล้ว และถูกนำมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็วเมื่อเราพากันเข้านั่งที่โต๊ะอาหาร
"ชั้นต้องขอชื่นชมราเชนทร์ด้วยที่มีหลานชายมีน้ำใจดี ชอบช่วยเหลือคนแก่คนเฒ่า เรน ยายขอบใจอีกทีนะลูกนะ นี่ยายนึกไม่ถึงเลยว่าลูกจะแข็งแรงอุ้มยายไปมาได้ขนาดนี้"
ชั้นเอ่ยขึ้นเมื่อสบโอกาสเหมาะ หลังจากที่เราได้เริ่มต้นกับอาหารมื้อเช้าอันแสนอร่อยกันไปบ้างแล้ว
"ครับ" คำตอบอันแสนสั้นของราเชนทร์ไม่ทำให้ชั้นแปลกใจ เค้าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว
วูบหนึ่งที่ชั้นรู้สึกอิจฉาแววตาความภาคภูมิใจของราเชนทร์ที่กำลังส่งไปที่หลานชาย แต่แล้วชั้นก็ต้องตักเตือนตัวเอง ราเชนทร์เขามีครอบครัวที่ดีแล้ว ชั้นควรจะยินดีกับเขาถึงจะถูก
"เรนเค้าต้องแข็งแรงสิคะคุณยาย เค้าเป็นนักกีฬาสเกต..."
"ลิสา!" เสียงของหนุ่มน้อยดังขึ้นกลบก่อนที่หลานสาวของชั้นจะพูดจบ ชั้นหันไปก็เห็นหลานชายหัวฟ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองทางยัยลิสา
"คือเรนเป็นนักกีฬาโรงเรียนน่ะค่ะคุณยาย เค้าเล่นกีฬาเก่ง" ยัยลิสารีบพูดต่อโดยเร็วด้วยเสียงอ่อยๆ ชั้นแปลกใจกับท่าทีแปลกๆอย่างนั้นของหลานสาว ปกติลิสาไม่ใช่คนที่จะทำเสียงแบบนั้น
"อ้อ เหรอ ไม่เห็นเรนเล่าให้ปู่ฟังบ้างเลยลูก" คนเป็นปู่ดูท่าทางแปลกใจ เหมือนเพิ่งจะรู้ว่าหลานตัวเองเล่นกีฬาเก่ง
"ก็แค่นักกีฬาโรงเรียนน่ะฮะปู่ ไม่ได้พิเศษอะไร" แต่คนเป็นหลานกลับทำท่าทางเฉยๆ
"โอ้โห หล่อแล้วยังเป็นนักกีฬาอีกด้วย เท่สุดๆไปเลยจ้า" เสียงลูกสาวของชั้นดังขึ้นมาบ้าง
"หน้าตาน้องเรนหล่อเหมือนคุณปู่เลยนะคะ โชคดีมากที่น้องเรนไม่ได้หน้าตาของคุณพ่อมา" แล้วยัยลินเขาก็หันไปทำหน้าตาน่าหมั่นไส้ใส่คุณเซนซึ่งเป็นเจ้านายคนปัจจุบันของเขา
"นั่นหัวหน้าของแกนะยัยลิน จะล้อเล่นก็ยั้งๆไว้บ้าง ชั้นต้องขอโทษด้วยนะคะคุณเซน"
ชั้นต้องคอยปรามๆลูกสาว เพราะเท่าที่รู้มาจากยัยลิน เหมือนว่าหัวหน้าคนนี้เค้าจะไม่ค่อยปลื้มลูกน้องคนนี้เท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นจะพูดจะจาอะไรก็ต้องระมัดระวังคำพูด แม้คุณเซนเขาจะอายุน้อยกว่าก็ตามที
ทว่าคำตอบอารมณ์ดีกึ่งประชดและแววตายิ้มๆของลูกชายราเชนทร์ก็ทำเอาชั้นแปลกใจ
"ไม่เป็นไรครับคุณป้า ผมชินแล้วครับ คุณลินเธอเป็นคนตรงไปตรงมาน่ะครับ"
"ผมว่าก็จริงของคุณน้าลินฮะ ผมคงหล่อเหมือนปู่นั่นล่ะฮะคุณยาย ถ้าหน้าเหมือนพ่อก็คงแย่เลยฮะ" และเสียงของหลานชายที่สนับสนุนขึ้นมาก็ทำเอาชั้นแปลกใจเข้าไปอีก บ้านนี้เขาพูดแซวเล่นกันอย่างนี้หรือนี่
แวบหนึ่งที่ชั้นหันไปมองราเชนทร์ ก็พบว่าเค้ากำลังมองมาที่ชั้นอยู่แล้ว แต่ชั้นก็ตีความหมายของสายตานั่นไม่ออกจริงๆ
"เรนเค้าหน้าตาดีที่สุดในโรงเรียนเลยค่ะ มีเพื่อนผู้หญิงชอบเค้าเยอะแยะไปหมด" หลานสาวของชั้นเค้ายังไม่จบเรื่องของหน้าตา ยัยลิสานี่ก็อีกคน เฮ้อ เรื่องการพูดตรงแบบไม่เหนียมอายนี่ ยัยลิสาเขาถอดแบบมาจากน้าสาวเลยทีเดียว
ชั้นอดที่จะแอบทำตาเขียวใส่หลานสาวไม่ได้ เราเริ่มจะเป็นสาวเป็นแส้แล้ว จะไปชมผู้ชายซึ่งๆหน้าได้อย่างไรกัน
"โอ้โห นี่พ่อไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าเรนป๊อปปูล่าร์ขนาดนั้น คงจะได้พ่อมาแหละนะ ดูออก" เสียงของคุณเซนแทรกขึ้นมาอีก
ชั้นลอบมองลูกชายของราเชนทร์ด้วยความพินิจพิจารณา เป็นชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาท่าทางดีทีเดียว มีเค้าโครงดูเหมือนกับราเชนทร์สมัยหนุ่มๆ ผิดแต่ว่าราเชนทร์ดูจะเงียบขรึมกว่าเยอะ เจ้านายของยัยลินคนนี้ดูท่าทางเป็นกันเองกับทุกๆคนมากกว่า โดยเฉพาะกับลูกสาวของชั้น ก็ไหนยัยลินบอกว่าไม่ถูกชะตากัน แต่เท่าที่ชั้นสังเกตเขาสองคนในวันนี้ ท่าทางพวกเค้าดูจะเป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง
"ก็เหมือนลิสาแหละนะคะ สวยได้น้าสาวมาอะเนอะ" นั่นไง ชั้นคิดยังไม่ทันขาดคำ ยัยลินก็ต่อปากต่อคำกลับไปซะแล้ว
"แล้วเราสองคนได้ความหน้าตาดีนี้มาจากใครกันคะน้าลิน คือ หนูว่าไม่น่าจะมาจากคุณยายนะคะ คงจะมาจากทางคุณตามากกว่า"
"ยัยลิสา!" ดู๊ ดู ดูหลานสาวชั้นพูด ชั้นล่ะกลุ้มใจจริงๆ
"คุณตาของหนูลิสาหน้าตาหล่อเหลามากนะลูก ลิสาหน้าตาดีเหมือนคุณตานะ ปู่ยืนยันได้"
ชั้นถึงกับหันขวับไปทางต้นเสียงที่แทรกขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน
ราเชนทร์! เธอเปลี่ยนไปนะ เมื่อก่อนเธอไม่ใช่คนที่จะมาพูดจาเล่นหัวแบบนี้ นี่ไม่เจอกันหลายสิบปี เธอเปลี่ยนไปขนาดนี้เชียวหรือ
ราเชนทร์ผู้ชายที่เป็นรักแรกของชั้น รักแรกที่ชั้นยังไม่เคยลืมแม้เวลาจะผ่านไปกว่าสี่สิบปี
ความหลังเรื่องนี้ชั้นไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ก็เพราะนิสัยยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองไม่ได้นี่ล่ะที่ชั้นเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวมาตลอด และชั้นก็รู้ว่าทางโน้นเองก็คงไม่ได้เล่าอะไรให้ลูกสาวของชั้นฟังอย่างแน่นอน ชั้นรู้จักนิสัยเค้าดี ชั้นรู้ว่าเค้าเป็นสุภาพบุรุษพอ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่เที่ยวพูดโพนทะนาไปเรื่อยเปื่อย ลลินรับรู้เพียงแค่ว่า ราเชนทร์เจ้านายของเค้าเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อ ลูกสาวเคยมาถามชั้นเรื่องนี้ตอนเข้าทำงานใหม่ๆ ชั้นก็แค่ตอบไปว่า ใช่ เค้าเป็นเพื่อนกัน แต่ไม่ได้ขยายความต่อ
ราเชนทร์เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเดียวกับชั้น หน้าตาอันหล่อเหลาและรูปร่างที่สูงใหญ่แตกต่างไปจากชายหนุ่มคนอื่นๆในสมัยนั้นทำให้เค้าเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆทั้งโรงเรียน และการที่เค้าเป็นคนเงียบๆและเป็นคนสุภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็มีบุคลิกที่เป็นผู้นำและเป็นหัวหน้าทีมฟุตบอลของโรงเรียน ก็ยิ่งเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหล
และหนุ่มรุ่นน้องเจ้าเสน่ห์คนนี้ก็ได้ครอบครองหัวใจของชั้นในที่สุด
ในสมัยนั้นการมีแฟนตั้งแต่เรียนมัธยมเป็นเรื่องที่ไม่มีพ่อแม่คนไหนรับได้ เราต้องพยายามปิดบังเรื่องนี้กับทุกคนแม้แต่กับเพื่อนสนิทในโรงเรียน ตอนเย็นหลังเลิกเรียนราเชนทร์เค้าจะดักรอชั้นอยู่ข้างนอกประตูรั้วของโรงเรียน แล้วเราก็จะเดินกลับบ้านด้วยกัน จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามาที่บ้านชั้นแถวเพลินจิตเป็นระยะทางที่ไกลพอควร แต่การได้เดินคุยกับคนที่เราชอบ แม้จะต้องเดินเป็นชั่วโมงเราก็จะรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ชั้นกับราเชนทร์คบกันอย่างหลบๆซ่อนๆอยู่อย่างนั้นเป็นปีจนชั้นจบมัธยมปลาย และครอบครัวก็ส่งชั้นไปเรียนต่อด้านแฟชั่นที่อังกฤษ แรกๆราเชนทร์ยังคงส่งจดหมายถึงสาวคนรักรุ่นพี่คนนี้อย่างสม่ำเสมอ แต่การติดต่อในสมัยยากลำบากกว่าสมัยนี้มาก ไม่นานนักจดหมายจากราเชนทร์ก็เริ่มห่างหายไป เค้าอายุน้อยกว่าชั้นสามปี ชั้นคิดไปเองว่าเค้าคงต้องเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เห็นชั้นท่าทางมั่นใจในตัวเองอย่างนี้ก็เถอะ ไม่มีใครรู้หรอกว่าสาวเปรี้ยวคนนี้จริงจังกับความรักครั้งแรกนั้นมากแค่ไหน ชั้นเฝ้ารอจดหมายจากราเชนทร์ทุกวัน จากที่ห่างหายไปหลายอาทิตย์ก็ห่างหายไปเป็นเดือน แล้วก็เงียบหายไปในที่สุด สมัยนั้นการเดินทางยังไม่สะดวกสบายเท่าทุกวันนี้ กว่าชั้นจะได้กลับเมืองไทยอีกทีก็คือเมื่อสามปีผ่านไปในตอนที่เรียนจบแล้ว
แม้สมัยอยู่ที่อังกฤษสาวสวยอย่างชั้นจะมีฝรั่งตาน้ำข้าวมาตามตื๊ออยู่ตลอดเวลา หรือไม่ก็พวกบรรดานักเรียนไทยนี่ล่ะที่หมั่นขายขนมจีบอยู่เนืองๆ แต่ชั้นก็ไม่ได้คบใครจริงจัง เฝ้ารอแต่จดหมายตอบกลับจากราเชนทร์
แล้วชั้นก็ต้องผิดหวังอกหักเป็นที่สุด เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยและรู้จากเพื่อนสนิทสมัยอยู่โรงเรียนเตรียมด้วยกันว่า ราเชนทร์เข้าเป็นน้องใหม่คณะบริหารธุรกิจที่จุฬา และมีคนรักคนใหม่ไปแล้ว
แต่ชีวิตของชั้นก็ได้วนมาเกี่ยวข้องกับราเชนทร์อีกจนได้ ก็พ่อของยัยลินนี่คือเพื่อนสนิทของเค้าสมัยมัธยมนั่นล่ะ รุ่นน้องโรงเรียนของชั้นเอง พ่อของยัยลินแอบมาสารภาพกับชั้นในภายหลัง ว่าแอบชอบดาวโรงเรียนคนนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว แต่ชั้นกลับไปแต่สนใจราเชนทร์ พ่อของยัยลินเลยได้แต่แอบชอบชั้นมาอย่างเงียบๆ จนได้ข่าวว่าชั้นกลับมาจากอังกฤษแล้ว เค้าจึงพยายามกลับเข้ามาหาคนสวยคนนี้อีกครั้ง และด้วยความที่พ่อของยัยลินเป็นคนร่าเริงอารมณ์ดี ขี้เล่น ทำให้ชั้นอดใจอ่อนไม่ได้ ในที่สุดเราจึงได้ตกล่องปล่องชิ้นกัน
นับตั้งแต่วันที่ชั้นจากเมืองไทยไปอังกฤษ ชั้นกับราเชนทร์ก็ไม่เคยได้เจอหรือพูดคุยกันอีกเลย แม้แต่ตอนที่ชั้นแต่งงานกับเพื่อนสนิทของเค้า ก็เป็นช่วงที่ราเชนทร์ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น
ตอนที่ลูกสาวมาบอกว่าจะเข้าทำงานที่บริษัทนี้ ชั้นคัดค้านหัวชนฝา ไม่อยากให้ลูกไปทำงานกับคนคนนี้ แม้ในใจจะยังคิดถึงเค้า แต่ชั้นก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับราเชนทร์อีกต่อไป และแล้วก็เป็นดังที่คิด คนอย่างยัยลิน ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ในที่สุดลูกสาวตัวดีก็เข้าทำงานบริษัทนั้น และก็ทำเรื่อยมานานเกินกว่าที่ชั้นคิดเอาไว้มาก
ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ลลินทำงานที่นี่ ชั้นก็ได้รับข่าวคราวของราเชนทร์มาเรื่อยๆผ่านทางลูกสาว ภรรยาของราเชนทร์เสียไปก่อนที่ลลินจะเข้าทำงาน ราเชนทร์เองก็เอ็นดูยัยลินอยู่ไม่น้อย ชั้นคิดว่าคงจะเป็นเพราะราเชนทร์เขารู้สึกผิดกับชั้นด้วย ก็เลยทดแทนด้วยการให้ความเมตตากับลูกสาวของชั้นเป็นพิเศษ
พอเริ่มแก่ตัวลงมากๆเข้า หลังๆมานี่ชั้นเริ่มจะหวนคิดถึงความหลังมากขึ้น และชั้นก็เปลี่ยนความคิดใหม่ ก่อนตายชั้นยังอยากจะได้เจอราเชนทร์อีกสักครั้ง อยากจะถามถึงเรื่องราวในตอนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมความรักของเค้าจึงไม่มั่นคง ทั้งๆที่เค้าเองเป็นคนสัญญาว่าจะรอชั้นกลับมา
แล้วในที่สุดหัวหินก็นำพาให้เราสองคนได้มาเจอกัน
แต่แม้จะขอบคุณสวรรค์ที่เป็นใจให้ชั้นได้พบกับราเชนทร์อีกครั้ง ชั้นก็ขอตำหนิสวรรค์หน่อยตรงที่ว่าทำไมต้องกลั่นแกล้งให้ชั้นได้เจอกับคนที่เฝ้ารอคอยมาแสนนาน ในตอนที่ชั้นอยู่ในชุดเล่นโยคะที่มีสภาพเนื้อตัวเปียกปอนและผมเผ้าก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเม็ดทรายอย่างนั้นด้วยเล่า
ยามปกติชั้นสวยกว่านั้นแยะ…