trigger warning : นิยายเรื่องนี้มีฉากเลือดสาด ศพ โรคระบาด ความตาย การขโมยของคนตาย
---
ในฐานะบุคคลที่รู้อนาคต ผมรู้ดีว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
ผมเช็ดมือเปื้อนเลือดของตัวเองกับกางเกงอย่างไม่ใส่ใจแล้วยกเสื้อขึ้นมาเช็ดคราบแดงๆ ที่เลอะปากออก การอาเจียนเป็นเลือดไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปเลยถ้าเทียบกับคนในหมู่บ้านที่เริ่มล้มตายกันไปเหมือนห่าฝน
มัน...คือระลอกแรก
คลื่นมานามหาสารที่กระจายตัวมาจากครรภ์ความมืดแผ่ออกมาและทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดง มันเกิดขึ้นเมื่อสี่วันก่อนโดยที่ไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน ความตายเริ่มกล้ำกลายผู้คนโดยเริ่มจากพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด
นั่นคือหมู่บ้านทานตะวัน หมู่บ้านชายป่าความมืด...ด่านแรกสู่เมืองมนุษย์
ในเกม สถานที่นี้จะเป็นด่านเริ่มต้นที่เราได้เจอฉากเล่าเรื่องในวัยเด็กของพระเอก ผู้ที่ออกเดินทางต่อสู้กับปิศาจที่พิทักษ์ครรภ์จอมมาร ทำลายครรภ์แห่งความมืด จบปิ้ง แล้วทุกคนก็ได้อยู่กันอย่างมีความสุข
นี่คือเรื่องราวของเลอัส ผู้กล้าจากเมืองพระอาทิตย์ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของหมู่บ้านทานตะวันและการเดินทางเพื่อกอบกู้โลกของเขา
…สังเกตอะไรไหมครับ ใช่แล้ว 'ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว'
มันแปลว่าผมจะต้องตายแหงงแก๋แน่นอนไงล่ะ
...
อะแฮ่ม สำหรับคนที่สงสัยว่าทำไมผมไม่หนีๆ ไปซะ เอาตัวรอดสิ! วางแผนมากมายสิ!
เอาไงดีล่ะ ผมเพิ่งทะลุเข้ามาตอนหนึ่งวันก่อนคลื่นแผ่มาถึงนี่พอดีด้วยสิ
ลืมตามางงๆ ในร่างตัวเองตอนอายุ12และกำลังยืนอยู่หน้าโบสถ์เลยได้แต่เดินเข้าไป ที่นั่นเต็มไปด้วยเด็กกำพร้า และที่แปลกก็คือทั้งที่ผมไม่ได้เข้าร่างใครหรือมาแทนที่ใครเลยกลับไม่มีใครรู้สึกแปลกแยกกับผมสักคน ทำอย่างกับว่าผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ตนอยู่แล้วอย่างนั้นแหละ พอเข้าไปคุยกับใครทุกคนก็ทำหน้าเหมือนเจอเพื่อนร่วมห้องที่คุ้นหน้าแต่ไม่สนิทแล้วจำชื่อไม่ได้
ผมงุนงงว่าตัวเองอยู่ที่ไหน...แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะออกปากถาม
หรือเป็นผมระลึกชาติได้กะทันหัน? ก็เปล่าเหมือนกัน
เพราะที่นี่ไม่มีของใช้ของผมเลยสักอย่าง เด็กที่นี่เดิมทีมี 63 คน แปลว่ามีจานใบเล็ก 63 ใบ พอมีผมเพิ่มเข้ามาจานดันไม่มีเพิ่มด้วย กลายเป็นว่าทุกคนงงกันหมดว่าจานหายไปไหนหนึ่งใบ
ซึ่งอันที่จริงจานไม่ได้หาย แต่มีคนเพิ่มเข้ามา
"…"
ตอนที่ทุกคนออกตามหาจานที่หายไปหนึ่งใบ ผมที่รู้เรื่องดีได้แต่ก้มหน้ากินเงียบๆ อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
ทุกคนรู้ที่นี่มีเด็ก 63 คน ความจำของพวกเขาไม่ได้ถูกปรับแก้ แต่กลับไม่มีใครทักท้วงเมื่อเห็นผมเพิ่มเข้ามาบนโต๊ะ ทำราวกับว่าสิ่งนี้ปกติมาก...
อันที่จริงมันค่อนข้างน่าขนลุก
แน่นอนว่าเรื่องนี้หมายถึงเตียงด้วย ทำเอาผมเครียดตั้งนาน กับจานยังพอว่าเพราะสามารถแอบเนียนหยิบไปใช้ก่อนได้ แต่กับเตียงมันไม่เหมือนกัน ไหนจะเสื้อผ้าอีก
จะให้ออกไปจากที่นี่... ผมก็ยังไม่กล้าพอ
ดังนั้นผมจึงได้แต่เดินตามไปช่วยงานเด็กในโบสถ์คนอื่นๆ ไปแบบนั้น พยายามทำตัวราวกับว่าเป็นคนของที่นี่จริงๆ ภาวนาในใจครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอยู่ๆ จะไม่ถูกคนเหล่านี้ชี้หน้าถามว่าผมเป็นใคร
...
หลังจากใช้ชีวิตแบบมึนงงมาหนึ่งวันเต็ม คิดไปคิดมาจนสุดท้ายเวลาก็ผ่านไปจนค่ำ เด็กทุกคนก็ประจำที่เตียงตัวเองในห้องนอนใหญ่เรียบร้อยแล้ว ส่วนผมที่ไม่สามารถให้ใครรู้ได้ว่าผิดแปลกกว่าคนอื่นเลยได้แต่หนีออกมาที่สวน
ท่ามกลางอากาศเย็นและหยดน้ำค้าง ผมเงยหน้าขึ้นก็พบกับท้องฟ้าสีแดงเลือด
และรู้สึกตัวสักทีว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
...
คลื่นมานาความมืดเป็นต้นเหตุของความตายของคนในหมู่บ้าน แต่มันก็ช่วยผมไว้เหมือนกัน
เพราะความตายที่มาเยือนหมู่บ้านนั้นน่ากลัวเกินไป ผู้คนล้มหายไปราวใบไม้ร่วง เพียงคืนเดียวเด็กกว่าครึ่งห้องก็หายไป
ทิ้งไว้เพียงเตียงและเสื้อผ้าที่ไร้เจ้าของ
ใช่ครับ ผมขโมยของคนตาย
"นี่ไม่ใช่เตียงของนาย นี่มันเตียงของ...ไมเคิล"
เด็กชายข้างเตียงที่ผมนอนอยู่พูดขึ้น ใบหน้าตกกระซีกเซียว ตาสีเขียวช่ำวาวและเต็มไปด้วยหยาดน้ำตามองผมอย่างติเตียน
ผมยกผ้าห่มขึ้นคลุมตัวแล้วก้มหน้าลง กล่าวอย่างไร้ความรู้สึก "ไมเคิลไม่อยู่แล้ว ฉันอยากนอนตรงนี้"
"นาย!"
"อย่าเสียงดัง" ผมกระซิบ จงใจสูดจมูก จากนั้นเงยหน้าสบตาเขา "รอบเตียงฉันไม่เหลือใครเลย ฉัน...ไม่อยากนอนคนเดียว"
"…" เด็กนั่นดูอึ้งไป จากนั้นไม่นาน น้ำตาใสๆ ก็ไหลลงมา ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความเห็นใจ "อือ ฉันเข้าใจแล้ว"
สามัญสำนึกเจ็บจี๊ด ผมล้มตัวลงนอน
"อยากนอนจับมือรึเปล่า"
"ไม่เป็นไร" ผมปฏิเสธน้ำใจอย่างสุภาพ อากาศในห้องนี้ยังคงมีกลิ่นเขม่าจางๆ เพราะควันจากหน้าต่าง พวกเราเผาศพคนไปเมื่อบ่ายเพราะเป็นคำสั่งของหัวหน้าหมู่บ้านที่เกรงกลัวโรคระบาด จำนวนที่หายไปช่วงใหญ่ทำให้คนหวาดผวา พวกเขาจัดประชุมและตัดสินใจส่งคนไปแจ้งทางการในเมืองใหญ่ในวันพรุ่งนี้
แต่ผมรู้ว่ามันจะไม่ได้ผล เพราะในวันพรุ่งนี้ทุกคนจะเริ่มป่วยและตาย มันแตกต่างจากวันแรกที่ตายกันอย่างฉับพลัน ภายในห้าวันแห่งความตายนั้นน่ากลัวกว่ามาก เพราะมันเต็มไปด้วยเลือด น้ำหนอง อ้วกและการเจ็บป่วย
คนที่ยังแข็งแรงอาจจะเข้ามาดูแลคนป่วย แต่ในวันต่อไปก็จะพบว่าตนเองป่วยเช่นเดียวกัน หรือถึงจะไม่เข้ามาใกล้คนป่วยเลยก็ไม่มีความหมาย สุดท้ายก็จะป่วยและตายไป
จะไม่มีใครรอด
นอกจากตัวเอกของเรื่อง ทุกคนจะตาย
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่มีคนไม่พอจัดการศพ พวกเขาจะพบว่านี่ไม่ใช่โรคระบาดเมื่อเห็นศพบนพื้นเริ่มแห้งและกลายเป็นสีดำด้านราวถ่าน
เป็นศพที่ถูกสาปจากความตาย สัญญาณแรกแห่งความมืด
...
วันต่อมา เด็กในห้องเริ่มเลือดกำเดาไหล บางคนขยับตัวไม่ได้ อาเจียน
มันเหม็น
ถึงจะป่วยแต่พวกเขาก็ยังไม่ตาย ด้วยจิตสำนึกที่เหลืออยู่ ผมเลยเข้าไปดูแลกับเด็กโตอีกสองสามคนที่ยังแข็งแรงดี เช็ดตัว ป้อนข้าว ทำความสะอาด
พอตกบ่ายเด็กบางคนก็ตายลง น้อยกว่าที่คิด แต่มากพอจะทำให้เด็กอื่นๆ หน้าซีดเผือก
ทวารทั้งห้าเปิดออกของเสียไหลออกมาจากร่างกายเปรอะเปื้อนเตียงส่งกลิ่นไปทั่วห้อง มันไม่ใช่การเน่าเสียของศพแต่เป็นธรรมชาติของร่างกายที่ไร้จิตวิญญาณ
ผมเรียกเด็กโตมาช่วยกันยกไปเผาแล้วเริ่มทำความสะอาดห้องอีกครั้ง เมื่อเสร็จสิ้นร่างกายผมก็อ่อนล้าอย่างรุนแรงจนยืนแทบไม่ไหว ผมสงสัยว่าคนที่หมู่บ้านส่งออกขอความช่วยเหลือไปก็น่าจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน หรือบางทีอาจไม่มีใครได้ออกไปตั้งแต่ต้น
วันที่สาม คนป่วยมากขึ้น และครั้งนี้คนที่แข็งแรงเริ่มปฏิเสธที่จะเข้ามาช่วย หลายคนเก็บของแล้วหนีออกไปตอนนั้นเลย ผมไม่ได้ห้าม ผมเข้าใจพวกเขา ไม่มีใครอยากตาย แน่อยู่แล้ว ถ้าตัวเองแข็งแรงดีแล้วทำไมต้องมาเสี่ยงป่วยเป็นโรคระบาดด้วยล่ะ
...แต่ผมก็รู้ว่าด้านนอกโบสถ์ที่เต็มไปด้วยคนนั้นน่ากลัวกว่าที่นี่มาก ดังนั้นผมจึงสั่งปิดประตูโบสถ์เมื่อพวกเขาจากไป
ซิสเตอร์ของโบสถ์ป่วยเกือบหมดแล้ว ส่วนคนที่แข็งแรงดีก็ไม่ได้มีจิตใจเข้มแข็งพอ ดังนั้นเมื่อผมออกปากขึ้นมา เด็กคนอื่นๆ ที่ยังนึกอะไรไม่ออกก็จะทำตามโดยธรรมชาติ จริงๆ เรื่องนี้ค่อนข้างน่าตลก ด้วยร่างกายของผมที่ตอนนี้เป็นแค่เด็กเล็กๆ หากไม่ได้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ไม่มีทางที่ผมจะได้มีโอกาศมาชี้นิ้วสั่งคนไปทั่วหรอก
พอตกบ่าย คนเริ่มตายอีกครั้ง
ผมได้ยินเสียงตะโกนให้เปิดประตูจากด้านนอก มันไม่ใช่เสียงของเด็กกลุ่มที่เพิ่งออกไป
ผมสั่งให้ยกศพไปในสวนและห้ามใครเปิดประตู ลังเลอยู่ซักพักถึงเรียกคนมาช่วยกันยกของไปกั้นทางไว้g
ผมประหลาดใจเมื่อเด็กที่ยังเดินไหวทุกคนออกมาทำตามคำสั่ง
ผมสั่งให้คนที่ป่วยไปพัก แต่พวกเขาไม่ยอม
อาจเพราะพวกเขารู้ว่าผมกำลังกลัวอะไรด้านนอกนั่น
ผมเผาศพที่สวนด้วยตัวเอง มันง่ายกว่าที่ผมจะเป็นคนเผา ผมไม่รู้จักใครที่นี่ ดังนั้นผมจะไม่เสียใจ
เด็กคนอื่นอยู่ด้านหลัง มองมาและไม่ส่งเสียง
กองไฟลุกลามทีละน้อย ไม้ใต้ร่างพวกเขาเผาไหม้ มันไม่ใช่ทั้งฟืนในโบสถ์หรือต้นไม้ในสวน ของพวกนั้นหมดไปตั้งนานแล้ว ไม้อย่างเดียวที่เราสามารถหาได้คือไม้จากเครื่องดนตรีในห้องชั้นบนสุด
กลิ่นเนื้อไม้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับผิวหนังในกองไฟเริ่มกลายเป็นสีดำ
ผมหันหลังกลับ ก้มหน้าลง และพบว่ามีเลือดไหลออกมาจากมูกตัวเองทั้งสองข้าง
...
วันที่สี่ ผมตื่นขึ้นมาและมองข้างเตียง
เด็กที่เคยยื่นข้อเสนอจะจับมือตอนนอนกับผมตายแล้ว
สิบโมง ผมจัดท่านอนให้กับทุกคนที่ตาย ผมยกพวกเขาไปเผาไม่ไหว มันเหลือคนมีชีวิตไม่กี่คนที่นี่
ผมห่มผ้าให้กับเด็กข้างเตียง
จากนั้นอาเจียนเลือดออกมาเต็มพื้น
บ่าย มือผมเริ่มชา แต่ยังเดินได้ปกติ ผมสงสัยว่าตัวเองจะตายตอนไหน เนื้อเรื่องบอกว่าทุกคนจะตายภายในห้าวันและจะมีเพียงเลอัสเท่านั้นที่หนีออกไปได้
ด้านนอกส่งเสียงเอะอะ ผู้คนกลุ่มใกล้เริ่มมาออกันหน้าโบสถ์ บางทีพวกเขาอาจกำลังพยายามพังประตูเข้ามา
แปลกเสียจริงที่ทุกสิ่งนี่เกิดขึ้นภายในสี่วันเท่านั้น
"นี่"
ใครบางคนส่งเสียงเรียกผม
เด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ผมไม่มีปฏิกริยาอะไร ความจริงผมรู้ว่าเขายืนมองผมตั้งนานแล้วผ่านเงาสะท้อนของกระจก สีหน้าอีกฝ่ายมีซีดขาวแต่ยังดูสุขภาพดี ดวงตาสีเขียวมรกตและผมสีทองคำ แสงยามเย็นจากหน้าต่างที่ตกลงบนตัวเขาสวยงามมาก เขาหน้าตาดี แต่มันก็เท่านั้น
เด็กชายย่อตัวลงที่พื้นเพื่อคุยกับผม
"นายหิวรึเปล่า?"
ผมนิ่งเงียบ
อีกฝ่ายเริ่มประหม่าขึ้นมา "ฉัน…ฉันทำให้ได้นะ"
ผมยังอยากนิ่งเงียบต่อไปเพื่อดูท่าทีของเขา แต่เมื่อเห็นเด็กคนนั้นทำท่าจะวิ่งหนีไป ผมถึงได้เอ่ยตอบ
"…ฉันอยากกินซุปเห็ดกับขนมปังอบใหม่"
"ได้สิ" เขายิ้มบาง ท่าทางดีใจจนดวงตาโค้งขึ้นเล็กน้อย "ฉันจะทำมาให้"
ผมมองหน้าเขา "ใส่วัตถุดิบเยอะๆ เลยนะ"
"…ได้?" คิ้วเรียวขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะกังวล
"ทำมันให้อร่อย" ผมพูดแล้วกลับไปที่หน้าต่าง "ประตูจะพังภายในเย็นนี้…"
"…"
"…"
เขาไม่ได้ตอบ และผมไม่ได้หันไปมอง
หลังจากเสียงฝีเท้าดังห่างไป ผมตระหนักว่าเมื่อครู่นั่นคือเลอัส
ตัวเอกของโลกใบนี้
...
ราวสามสิบนาทีเลอัสก็ยกซุปมาให้ ว้าว ผมกำลังจะได้กินฝีมือทำอาหารของลูกรักของโลกใบนี้ก่อนตายใช่ไหม ผมตื้นตันใจมากจริงๆ ถึงลิ้นผมตอนนี้จะรับรสอะไรไม่ได้เลยก็เถอะ
ผมเป่าช้อน ไอร้อนลอยขึ้นมาและสีสันของซุปครีมเห็ดนั้นดูน่าทานมาก ผมตาพร่าเบลอ จมูกไม่ได้กลิ่น และลิ้นไม่รับรส ผมตักซุปขึ้นช้อนแล้วช้อนเล่า เลิกเป่ามันไปในที่สุดแต่ก็ยังไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี
เลอัสไม่ได้ทิ้งจานแล้วจากไปแต่นั่งเฝ้าผมอยู่แบบนั้น ผมคิดว่าเขากำลังรอเก็บจาน จากเนื้อเนื้อเรื่องที่ผมรู้ เลอัสเป็นคนมีน้ำใจตั้งแต่เด็ก ทั้งกล้าหาญ มุ่งมั่น อดทน มีเมตตา เกมกล่าวถึงนิสัยของเขาแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อ อันที่จริง มันเป็นเพราะผมไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถรู้จักใครคนหนึ่งผ่านหน้าจอหรือตัวหนังสือได้เลยถึงได้คิดไปแบบนั้น
พอผมกินเสร็จ เลอัสก็ถามขึ้นมา "เราจะหนีไปตอนไหน?"
"หมายถึงอะไร" ผมไม่เข้าใจ
"พวกเขาจะบุกเข้ามา" เขาชี้ไปที่ด้านนอกหน้าต่าง
"ใช่"
"งั้นเราก็ต้องหนีสิ" เลอัสทำสีหน้าสับสน เหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมผมยังนิ่งเฉย
ผมเข้าใจในตอนนั้น
ผมนิ่งเงียบ มองเด็กผู้ชายตรงหน้า เขาตัวสูงกว่าผมเล็กน้อยเท่านั้นแต่ไหล่หนากว่ามาก อาจเพราะทำงานที่โบสถ์เสมอ เสื้อผ้าปอนๆ นี่ไม่เข้ากับหน้าตาเหมือนนักบวชศักดิ์ของเขาเลย ผิวไหม้แดดจากการทำงานหนักด้วย แต่ไม่เป็นไร ในอนาคตเขาจะได้ใส่ชุดเกราะคุณภาพเยี่ยมมากมายระหว่างออกเดินทาง พอหลังจากปราบจอมมารได้เขาก็จะได้เข้าไปอยู่ในวังอย่างสุขสบายด้วย เด็กที่อนาคตดีขนาดนี้ผมไม่จำเป็นต้องสงสาร
พอเห็นผมนิ่งเขาเลยขมวดคิ้ว ทำให้ผมต้องตอบออกไปในที่สุด
"ไม่ใช่เราเลอัส" ผมเรียกชื่อเขา "แค่นาย"
"หมายความว่าไง--"
"นายต้องหนีไป มีชีวิตรอดจากที่นี่"
รูม่านตาของเลอัสหดลง สีหน้าอึ้งค้าง ผมรู้ว่าเขารู้สิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไป ผมรู้ว่าเขาไม่อยากยอมรับมัน
"ฉันป่วยและกำลังจะตายส่วนนายยังแข็งแรง" ผมชี้ไปที่ศพอีกมุมหนึ่งของห้อง มันเริ่มกลายเป็นสีดำแล้ว เราทิ้งศพไว้แบบนั้นเพราะไม่มีใครมีแรงพอจะยกไปเผา แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เลอัสยกคนเดียว "ในฐานะคนที่จะรอด ฉันอยากให้นายรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่"
"…"
"มันเป็นคำสาปจากครรภ์ความมืด..ฉันเคยอ่านในหนังสือ" ผมเลียปากขณะให้เหตุผล "พวกเราทุกคนที่นี่จะตายภายในห้าวัน...นี่...คือวันสุดท้าย เลอัส ฉันหมายถึงจะทุกคนจริงๆ"
"…"
"นายเป็นคนที่แข็งแรงคนเดียวที่นี่ ฉันสงสัยว่านายอาจมีพลังแสงสว่างที่ทำให้ไม่โดนคำสาป"
"คนด้านนอก--"
"พวกเขาตายแล้ว" ผมพูดอย่างเฉียบขาดแล้วผ่อนลมหายใจลงเพราะเจ็บที่หน้าอก "ใบหน้าเป็นสีเขียว ท่าเดินลากขาไปกับพื้น ฉันรู้ว่านายก็เห็นแล้ว พวกเขาพูดคุยเหมือนปกติแถมยังยิ้มแย้มตอนรุมฆ่าคนบนถนนได้ มันเป็นคำสาปที่ควบคุมพวกเขา พวกเขาตายแล้วแต่ยังไม่รู้ตัว"
"…"
"ภายในห้าวัน...หรือก็คือเที่ยงคืนของวันนี้ ศพทั้งหมดนั่นจะล้มลงกับพื้น ทุกคนที่มีชีวิตอยู่จะตายรวมทั้งฉันด้วย"
"แล้ว.."
"มันจะเหลือแค่นาย ดังนั้นฉันถึงอยากให้นายหนีไปเดี๋ยวนี้"
เลอัสทำหน้าเหมือนใจสลาย ผมเลยหันหนี
นี่คือสิ่งที่เลอัสในเกมต้องเจอ เดินเพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่เหลือเพียงซากศพ ทุกคนที่เขาพยายามช่วยตายทันทีที่ถึงเที่ยงคืนของวันที่สี่ มีเพียงเขาเท่านั้นที่เหลือรอด
เลอัสขุดหลุมศพทีละหลุม ฝังร่างของคนในหมู่บ้านลงไป เด็กที่กลายเป็นร่างสีดำแห้งกรัง คุณป้าร้านขายขนมที่กลายเป็นฆาตกร ศพที่ไม่สามารถมองออกว่าเป็นใครได้อีกเพราะถูกลอกหนังออกไปทั้งตัว ภาพนี้น่ากลัวและน่าเศร้าแม้ปรากฏเป็นภาพการ์ตูน
ทีละคน ทีละคน
บางทีการหนีไปตั้งแต่แรกอาจดีกว่า
ดังนั้นผมถึงอยากให้เขาหนีไป
เด็กชายตรงหน้าผมกล่าวขึ้นอย่างไม่เข้าใจ "นาย...จะยอมให้ตัวเองตายหรอ"
"ฉันไม่ได้อยากตาย"
"งั้น!---"
"พวกคนด้านนอกจะบุกเข้ามาฆ่าเรา ถึงนายจะไม่ถูกคำสาปแต่ถ้าถูกเอาจอปสับหัวนายก็ตายอยู่ดี" ผมชี้แจง "นายหนีคนเดียวมีโอกาสรอดมากกว่า"
"นี่มัน!--"
"ทันทีที่ถูกสาปฉันก็ตายไปครึ่งตัวแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลากนายลงมาเสี่ยงด้วย"
"…"
ผมหันหน้ากลับมายังหน้าต่าง "ไปจัดกระเป๋าเดินทางของนาย เอาเสบียงไปเยอะๆ ผ้าห่ม เงิน ที่นี่ไม่ต้องใช้มันแล้ว"
เลอัสไม่ได้พูดอะไรอีก ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเขาเดินออกไป
เรื่องนี้นับว่าเป็นความผิดของผมเช่นกัน... ผมมัวแต่หมกมุ่นกับความตายของตัวเองจนลืมเรื่องของเลอัส ผมใช้เวลาสี่วันมัวแต่นั่งทำตัวโง่ๆ รอวันตายจนเลอัสโผล่มาคุยกับผมเอง
ผมควรจะส่งเลอัสออกไปนอกหมู่บ้านตั้งแต่วันแรก ทำไมผมถึงไม่คิดให้เร็วกว่านี้
แม้ต้องเจอความสูญเสียเหมือนกัน แต่การมารับรู้ความตายภายหลังกับพบเจอคนค่อยๆ ตายต่อหน้าตัวเองมันต่างกันมาก
ยังไงตอนนี้เขาก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
ผมไม่ได้ตั้งใจจะปกป้องเขาจริงจัง ยังไงนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องเจอเพื่อโตไปเป็นผู้กล้า แต่ในฐานะผู้ใหญ่ ผมอยากทำให้แน่ใจว่าเด็กคนนี้จะเจอการสิ่งโหดร้ายพวกนี้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
สำหรับความสะเทือนใจที่ต้องสูญเสียครอบครัวเพื่อทำให้กลายเป็นคนที่กล้าหาญในอนาคตของพระเอก แค่นี้ก็ควรเพียงพอแล้ว
...
หัวค่ำ เลอัสมาหาผมพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่
ผมเช็ดมือเปื้อนเลือดของตัวเองกับขากางเกงอย่างไม่ใส่ใจแล้วยกเสื้อขึ้นมาเช็ดคราบแดงๆ ที่เลอะปากออก
"บอกลา?" เขาเป็นเด็กดีจริงๆ
"ไปกับฉันเถอะ" เลอัสเดินเข้ามาใกล้ผม
ผมตอบอย่างยิ้มแย้ม รู้สึกยินดีกับพยายามของเขา แต่ผมก็ต้องปฏิเสธมันอยู่ดี "ขาฉันไม่มีความรู้สึก เดินไม่ได้แล้ว"
"ฉันจะแบกนายเอง"
"อย่ามาไร้สาระน่า—เลอัส!"
เลอัสเข้ามาอุ้มผมพาดไหล่ไปทั้งแบบนั้น!
ผมเบิกตากว้าง "เลอัส!" ผมโวยวาย
ผมมองไม่เห็นหน้าเขา แต่เสียงเขาดูมั่นใจมาก "นายไม่ได้อยากตาย เพราะงั้นก็อย่ายอมแพ้"
"นายจะพาคนทั้งโบสถ์หนีไปกับนายไม่ได้!"
"ไม่ใช่ทั้งโบสถ์" เลอัสกล่าวเสียงต่ำ "พวกเขาตายหมดแล้ว เหลือแค่นาย"
"…"
"ฉันแบกนายได้"
"…"
"ไปกับฉันเถอะ"
ผม...
ผมควรปฏิเสธมัน
ไม่มีทางที่เด็กคนหนึ่งจะสามารถแบกอีกคนแล้ววิ่งหนีผู้ใหญ่เป็นกลุ่มได้เลย ยิ่งไม่ต้องคิดว่าในตอนนี้มีพลังเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง...
ดังนั้นผมควรปฏิเสธมัน
"ไปกับฉันเถอะนะ" เลอัสกล่าวย้ำ ทำให้ผมพูดไม่ออก
ผม...
…ผมมันคนเห็นแก่ตัว