Télécharger l’application

Chapitre 44: The End

บทส่งท้าย

"วันนี้มีงานอีกมั้ย ควินซ์"

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้นหลังจากเซ็นเอกสารที่ผมเพิ่งส่งให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยจำได้ว่าไม่มีแล้วนะ แต่เพื่อความชัวร์จึงเปิดดูในไอแพดคู่ใจก่อน

"เหมือนจะมีกินข้าวกับประธานฮัทต์นะ"

"เลื่อนไปก่อน" นับหนึ่งเอนหลังพิงเบาะอย่างเกียจคร้าน

"ทำไม" ผมถามโดยอัตโนมัติ "จะไปไหน"

"ยังไม่รู้แต่เลื่อนนัดคืนนี้ไปก่อน" ว่าอย่างไม่ใส่ใจแล้วหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบพลางลอบมองหน้าผมไปด้วย "วันนี้เนคไทดูดีนะ"

ใบหูของผมแดงระเรื่อแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย "คุณซื้อให้เมื่อสามวันก่อนไง"

"ไหนบอกจะไม่ใช้" รอยยิ้มกรุ้มกริ่มเผยออกมาจนอยากจะเอาแฟ้มฟาดหน้าสักป้าบ "ไม่ชอบ จะไม่ใส่แต่ก็เอามาใส่ หมายความว่าไงครับ คุณเลขาของผม"

"เรื่องของผมครับ" ถลึงตาใส่อย่างโมโห "ทำงานไป!"

"ฮ่าๆๆ" ยั่วโมโหผมจนโกรธได้ก็หัวเราะร่าจนผมหน้าบึ้งเลยหมุนตัวเดินออกมาเพื่อกลับไปยังโต๊ะหน้าห้องแน่นอนว่าไม่ลืมปิดประตูแรงๆ ใส่ด้วย

ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้แล้วเลิกคิ้วมองดูกล่องขนมสีน้ำตาลอ่อนเรียบหรูที่ไม่รู้โผล่มาได้ยังไงแต่มันก็โผล่มาวางบนโต๊ะผมแล้ว เหลือบตาไปมองทางบอดี้การ์ดผู้เย็นชาตรงห้องรับรองที่อยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของผมเล็กน้อยก็เห็นว่าแต่ละคนต่างทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เช่นเคย

ผมถอนหายใจแล้วยิ้มอ่อนๆ "จีบเหมือนเด็กมัธยมจริงๆ" พูดเบาๆ แล้วทอดมองกล่องขนมด้วยแววตาอ่อนโยน

ตั้งแต่นับหนึ่งขอโอกาสจากผมในวันนั้น ทุกช่วงสายและบ่ายของทุกวันที่ทำงานก็จะมีขนมนมเนยดอกไม้มาแอบวางบนโต๊ะทำงานของผมเสมอในเวลาที่ผมไม่อยู่โต๊ะ และคนที่เอามาวางก็จะเป็นพวกบอดี้การ์ดของนับหนึ่ง

ตอนนี้เขาส่งขนมมาให้ผมเกือบแปดเดือนแล้ว ไม่ขาดไปแม้แต่วันเดียว แน่นอนว่าผมใจอ่อนยวบไปตั้งแต่สามเดือนแรกแล้ว แต่เรื่องอะไรที่ผมจะบอกมันเล่า

ผมเองก็อยากรู้ว่ามันจะอดทนทุ่มเทให้ผมได้ขนาดไหน

แต่ดูเหมือนผมจจะดูถูกมันไปเยอะ

สิ่งที่มันทำให้ผมเห็นนั้นเกินความคาดหวังของผมไปไกลแล้ว

เมื่อแกะกล่องขนมดูพบว่าขนมยามบ่ายวันนี้เป็นเค้กชินนาม่อนกับพายบลูเบอรี่ แล้วก็ยังมีโพสอิทเล็กๆ เขียนด้วยลายมือตวัดๆ ของนับหนึ่ง บนกระดาษเป็นคำกลอนบอกรักที่ลอกมาจากอินเตอร์เน็ตแต่ผมจะพยายามทำเป็นไม่รู้แล้วกันว่ามันมาจากไหน

ตลอดบ่ายผมนั่งทำงานจนเสร็จไปแล้วส่วนหนึ่งก่อนจะเปิดดูแฟ้มบุคคล ตอนนี้ผมปรึกษานับหนึ่งแล้วเรื่องจัดตั้งทีมเลขา เพิ่มผู้ช่วยเลขาอีกสามคนและต้องไม่โสด ข้อกำหนดนี้นับหนึ่งเป็นคนพูดเอง

ก่อนเลิกงานประมาณครึ่งชั่วโมง บอสของผมก็ออกมาจากห้องมายืนที่หน้าโต๊ะทำงานของผมไม่พอยังมาเร่งให้ทำผมงานให้เสร็จไวๆ อีก

ใครใช้ให้ตัวเองทำงานเสร็จก่อนชาวบ้านเล่า นั่งรอไป

ผมนั่งทำงานจนเสร็จก็เป็นเวลาเลิกงานพอดี เอื้อมมือไปหยิบเสื้อโค้ตตัวหนามาสวมใส่ก่อนจะตามด้วยผ้าพันคอ ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐเท็กซัสและเป็นช่วงฤดูหนาวพอดี เมื่อสองวันก่อนก็มีหิมะตกด้วย

"วันนี้จะไปไหน" ผมเอ่ยถามคนข้างๆ ขณะจัดผ้าพันคอไปด้วย

"ไม่บอก"

"คงไม่ได้พาไปที่แปลกๆ หรอกนะ" นึกถึงเมื่อเดือนก่อน นับหนึ่งมีตารางงานที่ประเทศจีน เขาชวนผมไปดูงานที่โรงถ่ายหนัง สตูดิโอใหญ่ยักษ์ แน่นอนว่าพอไปถึงมันจับผมไปเดินเล่นโซนถ่ายทำหนังสยองขวัญ ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือโง่กันแน่ ตัวเองกลัวผีแต่ยังจะไปสตูดิโอหลอนๆ ถ่ายหนังผีอีก

สรุปพอไปถึงก็โวยวายไม่มีมาดท่านประธานผู้น่าเกรงขามเหลืออยู่เลย มันให้เหตุผลว่ามาสถานที่ถ่ายทำพวกนี้แล้วเผื่อจะหายกลัวผีแต่ดูเหมือนมันจะกลัวมากกว่าเดิมอีก

เฮ้อ ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ให้ดีเหมือนกัน ตรรกะอะไรของมัน

"ไม่" นับหนึ่งหันมามองเล็กน้อยแล้วหันกลับไป "รับรองว่ามึงจะชอบจนร้องไห้เลย"

คิ้วโก่งเรียวสวยยกขึ้น "ขนาดนั้นเลย?"

พูดมาแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ผมอยากรู้ขึ้นไปอีกว่าจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้จะเป็นที่ไหน หลังจากลงลิฟต์เดินมาถึงหน้าบริษัทแล้วก็พบกับรถหรูจอดรออยู่ก่อนแล้ว

"วันนี้จะขับไปเอง?" รถตรงหน้าเป็นรถสำหรับสองที่ "แน่ใจว่าไม่หลงทางนะ?"

อาทิตย์นี้พวกเรามาทำงานที่เท็กซัสแทนพี่ออสติน อีกอย่างเราก็ไม่มาเท็กซัสกันบ่อยๆ เรื่องเส้นทางต่างๆ ยังไม่ชำนาญอะไรนัก

"ให้คนอื่นขับดีกว่ามั้ย" รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรจริงๆ เวลานับหนึ่งขับรถเนี่ย

"เชื่อใจกูหน่อยสิ!" คนขับถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด "นั่งเงียบๆ ไปเลย!"

ผมเบ้ปากใส่ไปทีหนึ่งแล้วหยิบไอแพดขึ้นมาเล่น ปล่อยให้นับหนึ่งขับรถไป ตลอดทางเราไม่ได้คุยอะไรกันเพราะนับหนึ่งเอาแต่นิ่วหน้าคิ้วขมวดจ้องถนนไม่ละสายตา สงสัยกลัวหลงทางแน่เลยถึงได้ตั้งมั่นตั้งสมาธิขนาดนี้

เห็นความพยายามแล้วจึงไม่รบกวน นั่งเล่นไอแพดต่อไป และเราก็ได้มาถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้ในที่สุดโดยใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม เงยหน้ามองป้ายของสิ่งก่อสร้างตรงหน้าก็พบว่าเป็นภัตตาคารใต้น้ำชื่อดังติดอันดับโลกทีเดียว

แน่นอนว่าผมไม่เคยมาย่อมตื่นเต้นเลยทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่านอกจากรถของเราแล้วก็ไม่มีคนอื่นอยู่เลย

"ไปๆ ลง" นับหนึ่งปลดสายเข็มขัดนิรภัยแล้วลงจากรถไป

ผมลงตามไปจนเข้าไปในตัวภัตตาคารแล้วถึงรับรู้ว่าร้านนี้ในวันนี้ดูเงียบผิดปกติ คิดไปคิดมาแล้วหันไปทางคนนิสัยเสีย "มึงปิดร้านอีกแล้วใช่มั้ย"

"คนเยอะ น่ารำคาญ" นับหนึ่งเดินล้วงกระเป๋าอย่างไม่แคร์

"..." มึงอย่ามาทำตัวเป็นเจ้าชายแถวนี้ได้มั้ย

อดไม่ได้ที่จะยกมือกุมขมับกับความรวยไม่ไว้หน้าคนของนับหนึ่งจริงๆ ร้านนี้ดังมากๆ ย่อมมีลูกค้าในแต่ละวันไม่น้อย ไม่อยากคิดถึงเงินที่ใช้เหมาร้านหนึ่งวันเลย มันต้องเยอะมากๆ แน่

ผมคิดเรื่องเงินแล้วโอดครวญในใจไปหลายสิบตลบ กำลังจะเทศนานับหนึ่งสักชุดแต่เมื่อลงมาถึงด้านล่างในอควาเรียมแล้วทุกอย่างในหัวพลันว่างเปล่า ความสวยงามของท้องทะเลที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในใต้มหาสมุทร

นัยน์ตาสวยมองสองข้างทางเห็นปลาว่ายไปมาแล้วยิ่งตื่นเต้น เดินจนมาถึงห้องโถงใหญ่ยิ่งตื่นตาตื่นใหญ่กับความงดงามของโลกใต้น้ำ ปลามากมายหลายชนิดแหวกว่ายไปมาอย่างร่าเริง พนักงานของร้านหลังจากมาส่งพวกเราแล้วก็ผลักออกไป

ภายในห้องโถงกว้างสมควรที่จะมีโต๊ะมากมายแต่กลับมีโต๊ะเพียงตัวเดียวเท่านั้น มันแปลกจริงๆ

ตอนนี้ผมยังไม่สนใจโต๊ะนั้นเท่าไร เลือกที่จะเดินดูรอบๆ มองสัตว์น้ำผ่านกระจกหนาไปอย่างชื่นชมหลงใหลในความงาม สีของไฟอ่อนสลัวยิ่งทำให้บรรยากาศยิ่งเหมือนอยู่ใต้ทะเลจริงๆ

"ไม่สนใจโต๊ะตัวนั้นหน่อยเหรอ"

เพราะผมเอาแต่เดินไปรอบๆ ห้องไม่ได้เดินไปที่โต๊ะสักที นับหนึ่งเหมือนอดรนทนไม่ไหวเลยพูดขึ้น

"โต๊ะมีอะไรน่าสนใจ" เออ ก็โต๊ะธรรมดา อควาเรียมกับปลาแล้วยังมีปะการังตกแต่งอย่างสวยงามอีก มันน่าสนใจกว่า

"ลองไปดูก่อนสิ" นับหนึ่งดูจะกระตือรือร้นแปลกๆ ผมเลยละสายตาไปมองหยุดที่อีกฝ่ายครู่หนึ่ง

ก่อนจะพยักหน้า "อืม"

ก้าวเท้าเดินไปทางโต๊ะรูปทรงแปลกตา เมื่อเข้ามาใกล้ถึงรู้ว่าเป็นรูปของปลาวาฬ ดูมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบนะ ยังไม่ทันได้สนใจรูปทรงโต๊ะมากก็ต้องผงะกับบางสิ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะ

ผมเลิกคิ้วขึ้นมองกุหลาบสีแดงสดช่อไม่เล็กไม่ใหญ่ด้วยความแปลกใจก่อนจะตามมาด้วยเสียงของหัวใจที่เต้นแรงขึ้นยามหันหลังกลับมองไปที่นับหนึ่ง

เขาไม่พูดอะไรเพียงส่งยิ้มมาให้แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมใจเต้นแรงมากขึ้น

...กุหลาบช่อนี้

เขาให้ผมเหรอ

นิ้วมือของผมสั่นระริกขณะยื่นมือออกไปหยิบช่อดอกไม้ขึ้นมาด้วยความรู้สึกมากมายที่ไหลทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก แม้ว่าหลายเดือนมานี้ผมจะได้ดอกไม้จากเขามามากมายแต่ไม่มีดอกกุหลาบ เป็นสารพัดดอกไม้ที่มีอยู่บนโลกนี้

ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือ...อยากร้องไห้

นี่มันเป็นกุหลาบช่อแรกที่เขาให้ผมเลยนะ

แล้วยัง...

"ควินซ์รู้ความหมายของกุหลาบมั้ย" เสียงทุ้มต่ำชวนให้ใจสั่นดังขึ้นท่ามกลางค่ำคืนพิเศษที่ผมไม่ได้คาดหวังอะไรแต่ไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่ามันจะมีเซอร์ไพร์สรอผมอยู่

ผมเม้มปากแน่นพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ในลำคอลงไปแล้วตอบด้วยนเสียงแหบกว่าปกติ

"รู้สิ"

"แล้วกุหลาบแดงมีความหมายว่ายังไง"

ไม่ได้ตอบอะไรเพียงมองหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาวูบไหวและผมเห็นเขากำลังยิ้มอยู่ สีหน้าดูตื่นเต้นแต่ยังพยายามที่จะข่มกลั้นไว้

"กุหลาบแดงหมายถึง...ผมรักคุณเข้าแล้ว"

ตึกตัก ตึกตัก

มือของผมสั่นจนแทบถือช่อกุหลาบไม่อยู่ นับหนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คล้ายยังตื่นเต้นไม่หาย มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นแล้วแบออกจากนั้นก็กำมืออีก

"คุณลองนับดูสิ" นับหนึ่งผ่อนลมหายใจ "มีกุหลาบกี่ดอก"

ผมมึนงงเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้นแต่ก็ก้มหน้านับดอกกุหลาบอย่างเชื่อฟัง

"สิบสองดอก"

แล้วมันมีความหมายอะไรพิเศษรึไง

ความหมายของสีกุหลาบนั้นผมยังพอรู้บ้าง ส่วนเรื่องจำนวนนี่ไม่เคยรู้มากก่อน เคยแต่เห็นคนเขาให้กุหลาบเก้าดอก เก้าสิบดอกจนถึงเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอกแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้ความหมายของมันอยู่ดีว่ามันพิเศษยังไง

"รู้ความหมายมั้ย"

ผมส่ายหน้า วงแขนกระชับโอบกอดช่อกุหลาบแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

"กุหลาบสิบสองดอก"

นับหนึ่งเดินเข้ามาใกล้และหยุดยืนตรงหน้าผมจากนั้นก้มหน้าลงให้สายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน เพียงแค่นี้หัวใจของผมมันแทบจะกระเด็นออกมาอยู่แล้ว

ใบหูเริ่มร้อนขึ้นมานิดๆ นัยน์ตาสั่นไหวไปมาจับจ้องริมฝีปากได้รูปขยับเอ่ยช้าๆ ไม่วางตา

"มันแปลว่า..."

"..."

"ผมขอให้คุณอยู่เคียงข้างผมตลอดไป"

"..."

"ขอให้คุณเป็นคู่ชีวิตของผมไปจนนิจนิรันด์"

ผมอึ้งไปกับความหมายของกุหลาบช่อสำคัญในมือ ร่างกายสั่นไหว นัยน์ตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหลออกมาแต่พยายามสะกดกลั้นไว้แล้วยิ่งต้องเบิกตากว้างเมื่อนับหนึ่งถอยออกไปหนึ่งก้าวแล้วย่อตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

วินาทีนั้นผมไม่สามารถเก็บกักน้ำตาได้อีกต่อไป นับหนึ่งยังคงยิ้มมือล้วงเข้าไปในอกเสื้อสูทก่อนจะแบออกให้เห็นกล่องกำมะหยี่สีแดงสดที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคือกล่องอะไร

แม้จะรู้แต่ไม่กล้าคาดหวังไม่กล้าคิดอะไรทั้งนั้นเพราะตอนนี้ภาพตรงนั้นมันราวกับฝัน เหมือนกับในความฝันเป็นร้อยเป็นพันครั้งที่คิดว่ามันจะเป็นความจริงในวันนี้

ผมสะอื้นมองผู้ชายที่กำลังคุกเข่าตรงหน้าตัวเองอย่างไม่รู้จะทำยังไง ไม่กล้าพูดไม่กล้าเอ่ยเพราะกลัวว่าภาพตรงหน้าจะเป็นเพียงความฝัน นับหนึ่งเปิดกล่องออกเผยให้เห็นแหวนเรียบหรูประดับเพชรน้ำงามวงหนึ่งที่มองแวบเดียวก็รู้ว่ามูลค่าไม่น้อย

ยิ่งเห็นแหวนยิ่งน้ำตาไหลจนควบคุมไม่ได้

"ควินซ์"

"..."

"แต่งงานกับผมนะ"

ผมปล่อยโฮสุดเสียงและร้องไห้ออกมาสะอื้นหนักแล้วละล่ำละลักถามเสียงสั่น "บอกที ฮึก ว่านี่คือเรื่องจริง"

"แน่นอน" นับหนึ่งสูดลมหายใจลึกแล้วยิ้มเต็มดวงตา "ทุกอย่างคือความจริง ไม่ใช่ฝัน"

"นับหนึ่ง ฮึก"

เขายิ้มแล้วพยักหน้า "แต่งงานกันนะ"

"แต่ง แต่งสิ!" พยักหน้าทั้งน้ำตาแต่ริมฝีปากกลับยิ้มกว้างและหัวเราะอย่างยินดี

ผมยังคงร้องไห้ไม่หยุดน้ำตามากมายไหลทะลักนั้นคือความยินดีและดีใจอย่างสุดซึ้งจนไม่อาจบรรยายได้ ความรักของผมที่รอคอยมาเนิ่นนาน ไม่เคยหวังว่าจะมีวันนี้

วันที่ผู้ชายที่ผมแอบรักมาขอแต่งงาน

มันช่างน่าเหลือเชื่อ

ถ้ามันเป็นความฝัน

คงเป็นฝันหวานที่ไม่อยากตื่น

แต่ทว่าตอนนี้มันคือความจริง

เป็นความจริงที่ผมเฝ้ารอมาตลอด

มือใหญ่แสนอบอุ่นคว้าจับมือข้างซ้ายของผมแล้วค่อยๆ บรรจงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของผมอย่างอ่อนโยน ผมมองแหวนบนนิ้วมือแล้วยิ้มกว้างพร้อมกับน้ำตาที่ยังคงไหลต่อเนื่อง

นับหนึ่งลุกขึ้นแล้วดึงผมไปกอดไว้ ยามที่ได้รับอ้อมกอดนี้ผมยิ่งร้องไห้สองมือกอดตอบเขาแน่นไม่ปล่อย เส้นผมอ่อนนุ่มถูกลูบไปมาอย่างปลอบประโลม

"เลิกร้องไห้ได้แล้ว" นับหนึ่งว่าด้วยน้ำเสียงเจือขัน "คนอื่นมาเห็นเขาจะคิดว่ากูบังคับมึงแต่งงานนะ"

"คนมัน อึก ดีใจนี่" ผมพูดไปสะอื้นไปแล้วทุบหลังนับหนึ่งไปที "ดีใจก็ต้องร้องไห้สิ! ฮือ"

"โอเค โอเค" เขายอมให้ผมง่ายๆ ก่อนจะเอ่ย "วันนี้วันดีนะ ไม่เอาๆ ไม่ร้องแล้ว"

"พยายามอยู่!" ผมกระแทกเสียงใส่อย่างโมโหแต่น้ำตายังไม่หยุดไหลง่ายๆ

ผลักอกนับหนึ่งออกแล้วใช้หลังมือปาดๆ เช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ แต่ถูกมือร้อนปัดออกแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับให้แทน ผมเงยหน้ามองคนสูงกว่าก็เผอิญสบเข้ากับแววตาเปี่ยมไปด้วยรักแล้วพลันพูดไม่ออก

ความรู้สึกเขินอายมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ผมเม้มปากแน่นกลั้นยิ้มแล้วปล่อยให้นับหนึ่งเช็ดหน้าเช็ดตาให้

"ร้องไห้เป็นเด็กเลย" อีกฝ่ายแซว

ผมแยกเขี้ยว "มึงอยากร้องไห้เป็นหมามั้ย"

หุบปากแทบไม่ทันแล้วตั้งหน้าตั้งตาเช็ดคราบน้ำตาให้ผมต่อ และในที่สุดน้ำตาของผมก็หยุดไหลแล้ว ถอนหายใจอย่างโล่งอก บรรยากาศเงียบงันเข้ามาเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรกันได้แต่ยินมือหน้ากันอย่างประดักประเดิด มือไม้เกะกะไปหมด

"มึง...จะแต่งงานกับกูจริงๆ ใช่มั้ย" นับหนึ่งเป็นคนเปิดปากพูดทำลายความเงียบ "ไม่ได้หลอกกูนะ"

"อื้อ" ผมขมวดคิ้วแล้วคิดในใจ...กูมากกว่ารึเปล่าที่ควรถามว่ามึงหลอกกูรึเปล่าไม่ใช่เหรอ "แต่มึงข้ามขั้นไปรึเปล่า"

"ข้ามขั้น?" ทำหน้าไม่เข้าใจ "ข้ามขั้นตรงไหน"

"ยังไม่ทันได้เป็นแฟนก็ขอแต่งงานเลย" ผมส่ายหัวพลางหัวเราะ "ไม่ข้ามเลยมั้ง"

"ระดับนี้ไม่ต้องแฟนเฟินแล้ว" ร่างสูงดึงเอวผมเข้ามาใกล้ชิดแล้วโอบไว้หลวมๆ "อายุอย่างเรามันต้องแต่งเลย"

"หึ" ผมอมยิ้มแล้วมองอีกฝ่ายด้วยแววตาหวานเชื่อม "ขอบคุณนะ นับหนึ่ง"

"กูสิต้องขอบคุณมึง"

"..."

"ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกูไปไหน"

"..."

"และขอโทษที่ปล่อยให้รอนานขนาดนี้"

ผมคลี่ยิ้มแล้วส่ายหัวเป็นเชิงไม่เป็นไร "ก็มึงโง่ รอนานสักหน่อยก็ถูกแล้ว"

คนโง่ได้ยินแบบนั้นแล้วไม่ได้โกรธอะไรกลับยิ้มกว้างขึ้นแล้วพยักหน้ายอมรับ ก่อนจะโน้มหน้าลงมาชิดใกล้จนหน้าผากของเราชนกัน ปลายจมูกคลอเคลียกันเบาๆ ให้ความรู้สึกวาบหวามใจสั่น

"รัก" เปล่งออกมาคำหนึ่งและต่อด้วยอีกสามคำ "รักที่สุด"

เสียงบอกรักเบาๆ แต่กลับดังก้องเต็มสองหู จุดหนึ่งกลางใจคล้ายมีน้ำพุผุดขึ้นมาแล้วปล่อยสายน้ำอุ่นร้อนอาบชะโลมไปทั่วทั้งใจให้อบอุ่นปราศจากความเหน็บหนาว

ผมค่อยๆ หลับตารับสัมผัสจากริมฝีปากร้อนที่ประทับลงมาอย่างอ่อนโยน เพียงปากแตะปากไม่ได้ล่วงล้ำใดๆ แต่กลับรู้สึกหวานชื่นและรับรู้ได้ถึงรักอันบริสุทธิ์ที่อีกฝ่ายมอบให้ จุมพิตนี้เนิ่นนานเกือบห้านาทีกว่านับหนึ่งจะถอนริมฝีปากออกไป

เมื่อความร้อนจางหายไป เปลือกตาจึงค่อยๆ ลืมขึ้นมองหน้าคนรัก นับหนึ่งส่งยิ้มให้ผมแล้วค่อยๆ คลายอ้อมกอดลงแล้วเปลี่ยนมาจับจูงมือผมแทน

เขาพาผมไปนั่งที่เก้าอี้...

"กินข้าวกันเถอะ"

"อื้อ"

"เตรียมของโปรดไว้ให้ด้วยนะ มึงต้องชอบแน่ๆ"

ผมส่งยิ้มอบอุ่นไปให้และพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเรียก

"นับหนึ่ง"

"หือ?"

"วันนี้กูมีความสุขมาก"

นับหนึ่งตกใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแสนอบอุ่น ยื่นมือทั้งสองข้างข้ามโต๊ะมากุมกระชับมือผมไว้ในอุ้งมือของตัวเองแล้วเอ่ยช้าๆ ชัดๆ อย่างจริงจัง

"ไม่ใช่แค่วันนี้"

"..."

"แต่ 'เรา' จะมีความสุขไปด้วยกันในทุกๆ วัน"

การแต่งงานไม่ใช่บทสรุปของความรัก

แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของชีวิตคู่

ต่อจากนี้

จะมีเพียงเรา

และ

เราจะจับมือกัน

เดินไปด้วยกัน

ไปจนสุดขอบฟ้าใต้ธารา

- The End -


next chapter
Load failed, please RETRY

Un nouveau chapitre arrive bientôt Écrire un avis

État de l’alimentation hebdomadaire

Rank -- Classement Power Stone
Stone -- Power stone

Chapitres de déverrouillage par lots

Table des matières

Options d'affichage

Arrière-plan

Police

Taille

Commentaires sur les chapitres

Écrire un avis État de lecture: C44
Échec de la publication. Veuillez réessayer
  • Qualité de l’écriture
  • Stabilité des mises à jour
  • Développement de l’histoire
  • Conception des personnages
  • Contexte du monde

Le score total 0.0

Avis posté avec succès ! Lire plus d’avis
Votez avec Power Stone
Rank NO.-- Classement de puissance
Stone -- Pierre de Pouvoir
signaler du contenu inapproprié
Astuce d’erreur

Signaler un abus

Commentaires de paragraphe

Connectez-vous