"ขอบคุณที่อุตส่าห์เดินมาส่งนะคะ ที่พักคุณอยู่อีกฝั่งแท้ๆ"
ฉันหันมาทางคนที่มาส่ง เมื่อเราขึ้นบันไดมาหยุดยืนกันใต้ชายคาบนชานระเบียงของกระท่อมที่พักของฉัน ตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ในสภาพที่เนื้อตัวเปียกปอนกันอย่างหมดรูป และฝนก็ยังคงตกอยู่ไม่ขาดสาย
"ดึกแล้ว ผมไม่ปล่อยให้คุณเดินกลับคนเดียวแน่ๆ คุณอุตส่าห์เปิดคอนเสิร์ตกลางสายฝนร้องเพลงให้ผมฟังตั้งหลายเพลง"
"ความจริงก็สนุกดีเหมือนนะคะ ตะโกนร้องเพลงกลางสายฝน" ฉันไม่ได้ทำอะไรบ้าๆบอๆอย่างนี้มานานแล้ว
"ครับ สนุกมาก"
โอย สายตาระยิบระยับนั้น...
นี่คุณเค้ากำลังเมาน้ำฝนหรือเปล่านะ
"อากาศชื้นนะคืนนี้ ระวังหนาวนะแบบนี้ ก่อนเข้านอนเป่าผมให้ดี ผมกลัวคุณจะไม่สบาย" แล้วเนื้อเพลงที่ฉันเพิ่งจะร้องให้เขาฟังก็ตามมาเป็นชุดจากปากแดงๆนั่น
นี่แค่ล้อเลียนเพลงที่ฉันร้อง หรือเป็นห่วงกันจริง ทำไมน้ำเสียงนุ่มนั้นช่างอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
"เอ่อ งั้นชั้นเข้าห้องพักล่ะนะคะ" ฉันเริ่มเขินอย่างจริงจัง จึงเสล้วงมือหยิบกุญแจในกระเป๋าสะพายใบเล็กที่ก็เปียกโชกจากน้ำฝน หันไปไขกุญแจห้อง เปิดประตูห้องแง้มค้างเอาไว้ แล้วจึงหันมาหาคนตัวสูงปากแดงอีกที
"ขอบคุณอีกทีค่ะ กู๊ดไนท์ค่ะ" ฉันพึมพำเบาๆ ไม่กล้าสบตา
"ครับ กู๊ดไนท์ครับ" แม้เสียงนุ่มนั้นจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ แต่ร่างสูงนั้นยังคงยืนนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนตัวง่ายๆ แถมยังยืนอยู่ซะจนชิด
ฉันอดไม่ได้ที่จะไล่สายตามองคนตรงหน้าอย่างหวั่นไหว หยดน้ำที่เกาะพราวบนใบหน้าขาวๆ ผมปัดเป๋ที่เปียกโชก รอยยิ้มหวานจนแก้มบุ๋ม กล้ามอกขาวจัดที่ซ่อนอยู่ในเสื้อเชิ้ตตัวบางสีขาวที่เปียกรัดรูป
"อุ้ย!"
แต่แล้วเสียงฟ้าคำรามพร้อมกับฟ้าแลบที่มาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ทำเอาทั้งเขาและฉันต่างสะดุ้งเอนตัวเข้าแนบชิดกันโดยไม่ได้ตั้งใจ และฉันก็เผลอเอามือไปยึดแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกๆนั้นไว้แน่น ตอนนี้กล้ามอกขาวๆของเขาอยู่ห่างไปจากปลายจมูกของฉันแค่คืบ
และเมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบสายตาหยาดเยิ้มของเจ้าของเสื้อกำลังก้มลงจ้องมองมาที่ฉันอยู่แล้ว
"ผมกลัวฟ้าร้อง ไม่กล้าเดินกลับที่พักคนเดียว" ปากบอกว่ากลัว แต่นัยน์ตานั้นกลับระยิบระยับ ท้าทาย และออดอ้อน
"คุณลินไม่กลัวฟ้าร้องหรือครับ อยู่คนเดียวได้แน่หรือครับ"
เหมือนโลกจะหยุดหมุนไปชั่วครู่ขณะที่เรายืนจ้องตากันอย่างนั้น แสงไฟสีนวลสลัวหน้ากระท่อมส่องให้เห็นนัยน์ตาคู่เรียวส่งความอ่อนหวานโหยหาออกมาอย่างผิดปกติ
แล้วฉันก็หักห้ามใจไม่ไหวอีกต่อไป เป็นไงเป็นกัน คำพูดเมื่อกี้จากปากแดงๆนั่นฉันถือว่าเป็นการอ่อยแบบเป็นทางการแล้วนะ
"กลัวค่ะ กลัวมาก ไม่เคยกลัวฟ้าร้องเท่านี้มาก่อนเลย"
ฉันกระซิบเสียงสั่นตอบกลับไป พร้อมกับโน้มคอพ่อแก้มบุ๋มลงมาใกล้อย่างช้าๆ แล้วประกบปากสั่นๆของตัวเองเข้ากับปากเรียวแดงฉ่ำตรงหน้าทันที...
คุณเซนกำลังฝันถึงอะไรหรือคะ ทำไมต้องเม้มปากแน่นเชียว
คนอะไรนอนเม้มปากทั้งๆที่หลับตาพริ้ม หรือเม้มปากเพราะกลัวใครจะลักจูบตอนนอน ฮา
ปากแดงนี้ที่ชอบล้อเลียนฉันในเรื่องของความสูงวัยเป็นประจำ แต่แหม เวลาจูบป้าคนนี้นี่ ร้อนแรงเชียวนะคะ เฮ้อ เห็นแล้วกลุ้มใจชะมัด ยิ่งเม้มก็ยิ่งอยากจะจูบอีกสักร้อยรอบ
แล้วดูท่านอนคว่ำที่หันหน้ามาทางฉันนี่สิ โคตรเซ็กซี่เลย
ฉันอดไม่ได้ที่จะลูบไล้มือไปบนท้ายทอยที่น่าหลงใหลนั้น ไล่ไปตามแผ่นหลังอันล่ำสัน แล้วหยุดที่ก้นงอนขาว
หน้าก็ว่าขาวแล้ว แต่ก้นนี่ขาวสุด แถมยังแน่นปึ้ก เขาว่าคนที่ชอบขี่จักรยาน ก้นจะแน่น อือม์ เห็นท่าจะจริง
นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วฉันก็เขินตัวเอง นี่ฉันทำอะไรลงไป คุณเซนเธอจะตื่นมาร้องไห้คร่ำครวญไหมนะที่ได้พลั้งเผลอมอบกายให้ฉันได้เชยชม แต่ก็ช่วยไม่ได้ อยากมาอ่อยดีนัก แล้วสายตาวาบหวามแบบนั้นน่ะ จ้องมองผู้หญิงคนไหนเป็นใครใครก็หลอมละลาย
ตาเรียวๆแต่หวานเยิ้มนี่ มีเสน่ห์ชะมัด
นึกไปถึงเมื่อคืนนี้…
ตอนฉันโน้มคอเขาลงมาก็พบว่าปากนุ่มนั่นเผยอพร้อมรอรับฉันอยู่แล้ว และวงแขนแข็งแรงนั้นก็เกี่ยวกระหวัดตัวฉันเข้าไปแนบชิดร่างสูงของเขาโดยทันทีเช่นกัน แขนข้างหนึ่งโอบรอบเอวฉันเอาไว้แน่น ส่วนแขนอีกข้างก็โอบแผ่นหลังของฉันเอาไว้แน่นกว่า แล้วปลายลิ้นอ่อนนุ่มนั้นก็แทรกเข้ามาในปากฉันอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเจ้าของลิ้นเองก็รอเวลานี้มานานแสนนาน
และก็แน่นอน เมื่อความปรารถนาของเราทั้งคู่พลุ่งพล่านขนาดนั้น ร่างเปียกปอนของเราทั้งคู่จึงแนบชิดกันอย่างไม่เหลือที่ว่างให้หยาดน้ำฝนใดๆอีกต่อไป วินาทีนั้นความเร่าร้อนภายในกายของเราสามารถกลบอาการหนาวเย็นจากการเปียกฝนไปได้เสียสิ้น
เราทั้งคู่เริ่มถอยร่นกันเข้ามาในห้องที่พักของฉัน ในขณะที่ริมฝีปากของเรายังประกบกันอยู่อย่างแนบสนิท มือไม้ของทั้งฉันและคุณเซนก็เริ่มป่ายเปะไปตามเนื้อตัวของกันและกัน
เสื้อผ้าของคุณเซนเปียกอยู่นี่นะ ไม่ได้การ ต้องรีบปลดออก เดี๋ยวคุณเซนจะเป็นปอดบวม
เสื้อเชิ้ดสีขาวเปียกชื้นของเขาถูกฉันปลดทิ้งไปเป็นอันดับแรก ทำให้กล้ามอกขาวๆที่ฉันแอบมองขณะอยู่ในผับตอนโน้นออกมาอวดโฉมแก่สายตาของฉันอีกครั้ง คราวนี้ล่ะ ฉันจะได้สัมผัสกล้ามขาวนี้อย่างเต็มๆมือเสียที
ในตอนนั้นคุณเซนก็คงกำลังคิดเช่นเดียวกับฉัน เธอคงกลัวว่าฉันจะเป็นปอดบวม เพราะในไม่ช้าชุดแซคสั้นสีเขียวตองอ่อนของฉันก็ถูกคุณเซนเปลื้องมันออกไปด้วย ฉันเองก็ไม่รั้งรอที่จะรีบกำจัดเจ้ากางเกงสแล็คสีครีมเข้มตัวนั้นให้พ้นๆไปจากท่อนล่างของคุณเซนด้วยความรวดเร็ว
แล้วอารมณ์ราคะที่ถูกปลุกให้เข้มข้นขึ้นจากเนื้อตัวอันเปลือยเปล่าของเราทั้งคู่ ก็ผลักให้เราล้มลงบนเตียงใหญ่หนานุ่มซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าป่านสีขาวสะอาดนั้น
เราต้องรีบใช้กายเปล่าของเราเพิ่มความอบอุ่นให้กันและกัน
ฉันคิดถึงหนังจีนกำลังภายในที่เคยดูมา ก่อนจะรัดร่างเปลือยอันแข็งแกร่งของคุณเซนให้เข้ามาประสานกับร่างเปลือยของฉันอย่างแนบแน่น ริมฝีปากร้อนๆของคุณเซนเริ่มเคลื่อนเข้าฟอนเฟ้นยอดอกของฉันอย่างหิวกระหาย ในขณะที่มือของเขาก็ลูบไล้อย่างซุกซนไปแทบจะทุกส่วนของร่างกายฉัน ทำให้ความรัญจวนใจไหลพล่านไปทั่วทั้งตัวสั่นเทิ้มของฉันอย่างหยุดไม่อยู่
จากนั้นปากเรียวบางสีแดงจัดนั่นก็พรมจูบฉันไปทั่วร่างกายด้วยความเร่าร้อนและความนุ่มนวลสลับกันไป
"คุณเซน..."
ฉันครางชื่อของเขาจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนแข่งกับเสียงหยาดฝนข้างนอกกระท่อม ความสุขจนแทบสำลักที่เขาปรนเปรอให้ตลอดทั้งคืนปลุกความรู้สึกภาคภูมิใจในการเป็นผู้หญิงของฉันให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง ร่างกายของคุณเซนแข็งแกร่งเกินกว่าที่ฉันคาดคิด ร่างบางๆนั่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่พร้อมจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
"แบบนี้ดีไหมครับ ลินชอบไหมครับ"
แม้หลายครั้งที่ความหฤหรรษ์ที่คุณเซนมอบให้นั้นจะเปี่ยมไปด้วยความร้อนแรงอย่างที่ฉันแทบจะทานไม่ไหว หากเสียงนุ่มเคล้าเคลียของคุณเซนที่ใส่ใจถามถึงความต้องการของฉันเป็นระยะๆนั้น กลับทำให้ฉันยิ่งแอ่นตัวตอดรัดไม่อยากจะให้เขาถอนความเป็นชายออกไปจากกายอย่างง่ายๆ
"มันดีมากค่ะ ดีกว่าเม็ดทรายทั้งชายหาด ดีกว่าเม็ดฝนทั้งท้องฟ้า" ฉันพึมพำตอบเขาไปเสียงแตกพร่า
ยิ่งฉันครวญครางบิดเร่าอย่างทรมานแสดงอาการต้องการเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งเปลี่ยนท่วงท่าไปมาท่าแล้วท่าเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดูเหมือนคุณเซนไม่คิดจะอิ่มในรสรักง่ายๆ เราตักตวงความหวานสวาทจากร่างกายของกันและกันรอบแล้วรอบเล่า ค่ำคืนอันกระสันซ่านของฉันดำเนินไปคล้ายกับไม่มีปลายทางให้คำนึงถึง
ยอมรับโดยดีว่าไม่เคยมีความสุขกับเรื่องบนเตียงเท่านี้มาก่อนเลย
ความสุขชั่วคราวครั้งนี้ที่ฉันคงไม่มีวันลืม…
"อื้ออออ"
คนปากแดงเริ่มขยับตัว แล้วเปลือกตาเรียวนั่นก็ค่อยๆเผยอเปิดขึ้นอย่างช้าๆ เขากะพริบตาอยู่สองสามครั้ง ยกมือขึ้นขยี้ตาก่อนจะจ้องตอบฉันเขม็ง
แล้วยิ้มหวานแก้มบุ๋มนั่นก็ทำเอาใจฉันละลายเป็นรอบที่ร้อย
"ง่วงงงงง เพลียยยยย" พูดเสร็จคนปากแดงก็หลับตาลงอีกครั้ง หากรอยยิ้มนั้นก็ยังคงค้างอยู่ที่มุมปาก
เป็นคำทักทายยามเช้าที่จริงใจมาก ลืมตามายิ้มหวาน แล้วก็หลับต่องี้?
ค่ะ เข้าใจได้ค่ะ ก็เพิ่งผ่านศึกหนักมาทั้งคืนนี่คะ
ความเจนจัดในเรื่องบนเตียงของชายหนุ่มที่นอนเปลือยพริ้มอยู่ข้างๆทำเอาฉันสะท้อนในอก ฉันแน่ใจว่าลองผู้หญิงคนไหนมีโอกาสได้รับการปรนเปรออย่างฉันเมื่อคืนนี้ ไม่มีใครยอมปล่อยเขาหลุดมือไปแน่ แล้วฉันจะเอาอะไรไปสู้กับสาวๆสวยๆเหล่านั้น…
แอบเศร้า แต่ก็ต้องยอมรับชะตากรรม ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป
แล้วนี่ใจคอคุณเซนคิดจะหลับต่อจริงๆอะ กี่โมงกี่ยามกันแล้วเนี่ย
ฉันลุกจากเตียง เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กที่ถูกวางทิ้งไว้ระเกะระกะกองรวมอยู่กับเสื้อผ้าของฉันและของคุณเซนบนพื้นห้องข้างเตียงขึ้นมาเปิด แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเวลาอย่างมึนๆ ความง่วงงุนยังคงเกาะกุมฉันอยู่เช่นกัน
เชี่ย แปดโมงครึ่งแล้ว! หายมึนเลย
"คุณเซนคะแปดโมงกว่าแล้วค่ะ ตื่นได้แล้วค่ะ"
ฉันรีบเอื้อมมือไปเขย่าแขนปลุกคนที่กำลังนอนนิ่งบนเตียง ก่อนจะเริ่มเก็บเสื้อผ้าที่กองๆกันอยู่มาจัดวางพาดไว้บนเก้าอี้ เมื่อคืนนี้ชายหญิงสองคนนี่เหวี่ยงเสื้อผ้าข้าวของกันแบบไม่ไว้หน้าเลย โน่น นาฬิกาข้อมือคุณเซนกระเด็นกระดอนไปโน่น โทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์คุณเซนก็หล่นออกมาจากกระเป๋ากางเกงของพ่อตัวดีเรี่ยราดกระจัดกระจาย
"ขี้เกียจจจจจ"
คำตอบลอยมาจากคนร่างสูงที่ยังคงนอนคว่ำหน้านิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวง่ายๆ
"เรามีนัดไปดูไซต์งานตอนสิบโมงค่ะ คุณเซนต้องไปอาบน้ำ และต้องไปทานอาหารเช้าอีก"
ฉันพูดพลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ในห้องน้ำมาพันตัวไว้ อากาศยามเช้าในหุบเขานี่ค่อนข้างเย็นและก็สดชื่นมากมายหลังจากฝนตกหนักมาทั้งคืน
แต่คนบนเตียงนั่นเขานอนเปลือยเปล่าอย่างไม่มีอาการรู้ร้อนรู้หนาว เมื่อคืนฉันก็หยิบผ้าห่มผืนบางคลุมให้หลายรอบแล้ว มือขาวนั่นก็ปัดออกทุกครั้งไป จนกลายเป็นว่าขณะที่เราเข้าสู่นิทรากัน มีฉันคนเดียวที่อยู่ในผ้าห่มทั้งคืน ส่วนเขาก็นอนคว่ำหน้าก่ายกอดตัวฉันจากข้างนอกผ้าห่ม
เพิ่งรู้นะว่าคุณเซนขี้ร้อน และชอบนอนเปลือยกาย ฮา
"คุณเซนลุกขึ้นเถอะค่ะ ลุกได้แล้วค่ะ ลุกนะคะ ลุกเร็ว ลุก ลุก"
ฉันนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วเอื้อมมือไปขยี้ผมคนขี้เซา เริ่มกระวนกระวายกลัวจะไปไม่ทันเวลาที่นัดหมายไว้กับคุณวาเลนติโน วันนี้ท่านหุ้นส่วนใหญ่เขาอุตส่าห์อาสาจะพาเราไปเยี่ยมชมไซต์งานด้วยตนเอง
หากข้อมือฉันก็ถูกจับเอาไว้แน่นด้วยมือเรียวขาวของคนขี้เซา
"ลุกแล้วครับ ลุกตั้งแต่ลืมตามาเห็นลินจ้องมองผมอยู่ละ" คนพูดยังคงหลับตาอยู่
แต่มือของเขานั้นกลับพาเอามือของฉันเลื่อนลงไปสัมผัสกับความเป็น คุณเซนของแท้ ที่แข็งขืนยืนรอทักทายอยู่ระหว่างต้นขาเปลือยขาวของเจ้าของมือ
"อุ้ย คุณเซน อย่าเพิ่งเล่นตอนนี้ค่ะ" ฉันหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที แม้จะอยู่ในท่าเสียหลัก แต่ก็พยายามสะบัดมือออกมาจาก ความเป็นคุณเซนที่แท้ทรู นั้น
อันตรายมาก!
ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวใจตัวเอง เดี๋ยวจะไปไซต์งานไม่ทัน
"ไปค่ะ กลับห้องของคุณเซนไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วเจอกันที่ห้องอาหารนะคะ" ฉันลุกขึ้นยืน กลบเกลื่อนอาการหน้าแดงด้วยการทำหน้าและทำเสียงให้เข้มขึ้น นี่ฉันก็ยอมให้มาทั้งคืนแล้วนะ เช้านี้ฉันไม่ยอมแน่ๆ
"ไม่เอา ไม่ไป ไม่กิน" เสียงเกเรขัดใจดังมาจากคนนอนคว่ำ
โอ๊ย นี่คุณคนนี้เขาคือเด็กน้อยข้างบ้าน หรือคือผู้บริหารกิจการระดับหลายร้อยล้านกันแน่นะ
"วันนี้คุณวาเลนติโนเค้าจะเป็นคนพาเราไปเองเลยนะคะ คุณเซนไม่ไปไม่ได้ค่ะ"
"อื้ออออ"
ยัง ยังไม่มีทีท่าจะกลับเข้าสู่ร่างเดิมที่เป็นโหมดนักธุรกิจผู้หิวกำไร
"เรารีบๆไปทำงานให้มันจบๆไปไงคะคุณเซน แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาต่อกัน ชั้นยอมทุกท่าที่คุณเซนต้องการเลยค่ะ" คงต้องใช้เซ็กซ์นำทางล่ะนะ ณ จุดจุดนี้
ได้ผล! ตาเรียวนั่นเบิกกว้างขึ้นมาทันที...
อากาศยามเช้าช่างสดชื่นเหลือเกิน วิวหลักล้านของห้องอาหารเปิดโล่งแห่งนี้ก็บรรเจิดมากมายนัก แต่น่าเสียดายที่เวลาครึ่งหนึ่งในระหว่างอาหารมื้อเช้าของเราหมดไปกับการถกเถียงกันในเรื่องของ 'สรรพนาม'
ช่างโรแมนติคจัง ฮือ ฮือ
เพราะหลังจากที่คุณปากแดงเธอลืมตาตื่นขึ้น สรรพนามที่เขาใช้เรียกฉันก็เปลี่ยนไปเป็น ลิน เฉยๆโดยทันที คำนำหน้าว่า คุณ คงหายลับไปกับสายฝนเมื่อคืนแล้วสินะ
โอเค ถึงแม้ฉันจะเห็นว่าเรื่องเมื่อคืนนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร มันเกิดขึ้นได้จากอารมณ์เผลอไผลของคนวัยหนุ่มสาวที่อยู่กันสองต่อสองในที่ลับตา
แต่… เช้านี้บรรยากาศระหว่างเรามันควรออกแนวกุ๊กๆกิ๊กๆหน่อยไหม หรือไม่ต้อง เอ ไม่รู้สิ สับสนจังแฮะ เออ ช่างมันเถอะ
"ลินเรียกผมว่า เซน เฉยๆก็พอ ไม่เอา คุณเซน แล้ว" จู่ๆเขาก็เสนอขึ้นมาขณะกำลังจิ้มไข่ดาวเข้าปาก
"นี่เป็นการเพิ่มเลเวลความสนิทสนมของเราทั้งสองอย่างเป็นทางการสินะคะ" ฉันให้ข้อสังเกตไปขณะตักข้าวต้มเข้าปากบ้าง อาหารที่รีสอร์ตนี้ช่างเลิศรสถูกใจฉันจริงๆ
"แน่นอนครับ ร่างกายเราสนิทกันไปแล้ว จิตใจก็ควรจะสนิทกันด้วย" คนพูดยักคิ้วหลิ่วตาอย่างมีเลศนัย ทำเอาฉันหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
แม้เช้านี้คนปากแดงจะส่งสายตาอันกรุ้มกริ่มมาเป็นระยะๆ และหน้าเรียวๆนั่นก็เจือด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่ท่าทางภายนอกของเขาก็ยังคงเป็นปกติ อาการเลิ่กลั่กเขินอายไม่มีให้เห็น ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเรื่องธรรมดามากๆสำหรับเขา
ฉันแอบสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยมาจากคนนั่งตรงข้ามที่เพิ่งจะอาบน้ำมาใหม่ๆ เป็นกลิ่นสดชื่นของตะไคร้ผสมมะกรูดจากครีมอาบน้ำและแชมพูของรีสอร์ต ต้องยอมรับเลยว่ารีสอร์ตที่นี่เค้ารสนิยมดีจริงๆ ใส่ใจในทุกรายละเอียด
ได้กลิ่นหอมๆจากคนหน้าขาวๆแล้วก็อยากจะ…
"เอ่อ แล้วชั้นควรแทนตัวเองว่ายังไงดีล่ะคะ แทนว่า ลิน หรือ เค้า หรือ เรา ดี เลือกยากจังเลย" ฉันรีบดับความฟุ้งซ่านของตัวเองด้วยคำถามที่ซับซ้อนของชีวิต
"อือม์ ใช้ว่า ลิน ก็ดีนะครับ" คนตัวหอมทำท่าครุ่นคิด
"ไม่เอาอะ เขินยังไงไม่รู้ ชั้นแก่กว่าเซนตั้งเยอะ" ฉันยังคงเรื่องมาก
เรื่องสรรพนามบุรุษที่หนึ่งแทนตัวเองของผู้หญิงนี่ นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่คอยรบกวนจิตใจฉันมาตลอดชีวิตเลยนะ พวกผู้ชายเขาใช้คำว่า ผม กับทุกคนทุกเพศทุกวัย จบ แต่ผู้หญิงอย่างเราๆนี่ต้องดูบริบท ดูสถานการณ์ ดูคู่สนทนา ดูระดับความใกล้ชิดสนิทสนมอีก ปัญหาที่ฉันพบมากที่สุดก็คือเวลาคุยกับแม่ค้าเจ้าประจำที่ตลาด จะใช้ ฉัน ก็ดูย้อนยุค หรือ ดิฉัน ก็เหินห่างไปหน่อย ชั้น ก็เหมือนคุณนายไว้ตัว หนู ก็เด็กโนะเนะ หรือจะ พี่ ก็ไม่แน่ใจว่าแม่ค้าเขาเด็กกว่าเราหรือเปล่า จะแทนตัวเป็นชื่อเล่นไปเลย ก็ดูเหมือนสนิทเกินไปอีก
เกิดเป็นหญิงไทยนี่แสนจะยากลำบากจริงๆ เฮ้อ!
"อ้าว คุณวาเลนติโน สวัสดีค่ะ"
ฉันหันไปทักหุ้นส่วนใหญ่ชาวอิตาเลี่ยน เมื่อเผอิญเหลือบไปเห็นเขากำลังเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะของเราทั้งสองคน
"สวัสดีครับ" คุณเซนเธอหันไปทักทายผู้เข้ามาใหม่ด้วยหน้าตานิ่งๆ
"คือเรายังทานอาหารเช้ากันไม่เสร็จเลยค่ะ แต่เดี๋ยวจะรีบไปตามเวลานัดแน่นอนค่ะ" ฉันทำหน้าเกรงใจ แต่ก็แอบเหลือบตาดูนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เหลือเวลาอีกตั้งยี่สิบนาทีแน่ะ คุณวาเลนติโนมาก่อนเวลาซะด้วย
"ไม่เป็นไรครับ ตามสบายเลยครับ ผมแค่แวะมาทักทาย เดี๋ยวจะเข้าไปสั่งงานในออฟฟิศอีกนิดหน่อย เจอกันที่ล้อบบี้ตอนสิบโมงเช้านะครับ ทานอาหารให้อร่อยครับคุณเซน"
ตลอดทั้งประโยคสายตาคุณวาเลนติโนเขาจับอยู่ที่ฉันตลอดเวลา ก่อนจะหันไปหาคุณเซนหนึ่งแวบ แล้วก็หันกลับมายิ้มหวานให้ฉัน ก่อนที่จะเดินลับหายไปอีกทางหนึ่งของห้องอาหาร
"คุณวาเลนตี้นี่ดูกระตือรือร้นแปลกๆแฮะ เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงไม่เห็นต้องมาบริการเราเลยนี่นา" คนปากแดงมองตามหลังหนุ่มใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนไปพร้อมกับขมวดคิ้ว
แต่แล้วก็หันกลับมาจัดการกับอาหารเช้าของตนเองต่อ
"หรือว่าเค้าอยากเอาใจเรามากๆ เพราะเค้าประทับใจผลงานของเราจริงๆคะ"
"หรือเค้าพยายามจะโปรยเสน่ห์ใส่ลิน นี่บอกไว้ก่อนนะครับ ห้ามไปยุ่งกับเขาเด็ดขาด"
คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่ได้เงยหน้ามามองฉันด้วยซ้ำ ท่าทางนั้นเหมือนกำลังวุ่นวายกับการใช้มีดหั่นไส้กรอก ก่อนจะเอาเข้าปาก เคี้ยวหยับๆ แล้วตามด้วยแฮม เคี้ยวหยับๆ แล้วก็ตามด้วยไส้กรอกอีกที
แมสเสจนี้คืออะไร? หวงป่าว? หึงงี้?
หึงแล้วทำไมเคี้ยวไส้กรอกหยับๆ
"ทำไมล่ะคะ คุณวาเลนตี้นี่เค้ามีเสน่ห์จะตายไป ช่วงนี้เทรนด์ลุงกำลังมาแรงค่ะ ยิ่งเค้ามีผมสีดอกเลาที่ขึ้นแซมข้างหูซ้ายด้วย ยิ่งเท่" ฉันหยอดไปเล่นๆ แล้วก็แอบเห็นคนตรงหน้าเผลอผละมือซ้ายที่จับส้อมอยู่ขึ้นลูบปลายผมเหนือหูโดยไม่ได้ตั้งใจ
"เค้ามีลูกเมียแล้ว" คำเตือนนั้นเหมือนไม่ได้ใส่ใจจริงจัง คราวนี้คนพูดกำลังจิ้มสลัดเข้าปาก
"แต่ลูกเมียเค้าก็อยู่ที่อิตาลีนี่คะ อยู่ไกลซะขนาดนั้น ชั้นไม่กลัวหรอกค่ะ" ฉันยังแกล้งยั่วเย้าต่อไป
ได้ผล จู่ๆคนปากแดงเขาก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองฉันตรงๆ
"…"
ไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากเขา มีแต่แววตาที่มีความไม่พอใจผสมน้อยใจฉายออกมา เราต่างนิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง แล้วคุณเซนเธอก็ก้มหน้าก้มตาจิ้มสลัดในจานของเธอเข้าปากต่อไป
"คุณเซน…" ฉันพยายามทอดน้ำเสียงให้อ่อนโยนที่สุด
"…"
ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ท่านปรารถนา
"ชั้นไม่ยุ่งกับเค้าหรอกค่ะ เชื่อใจชั้นได้"
"…"
ยังมีแต่ความเงียบที่ดังก้องมา
"คือชั้นไม่ยุ่งกับคนมีเจ้าของแน่นอนค่ะ มันเป็นศีลห้าข้อเดียวที่ชั้นสามารถจะรักษาเอาไว้ได้ ส่วนข้ออื่นๆนี่ เอ่อ…"
คนขี้น้อยใจเงยหน้าขึ้นมาทันที มีรอยยิ้มตามมาด้วยแล้ว และแววตาขี้เล่นก็เริ่มกลับมา
"ในเรื่องของศีลห้านั้น ห้ามฆ่าสัตว์นี่ผมพอเข้าใจ ลินอาจตบยุงตาย ส่วนห้ามดื่มสุรา ข้อนี้ข้ามไปเลย ห้ามพูดเท็จ อือม์ ข้อนี้แยกแยะลำบาก สมัยนี้เค้าใช้คำว่า อำ เข้ามาแทน แต่ข้อลักทรัพย์นี่ผมยอมแพ้ คือลินเป็นโรคจิตชอบลักขโมยของในห้างงี้เหรอ"
แน่ะ หายงอนแล้วสิ วิเคราะห์มาซะยาวเหยียดเลย
"สารภาพก็ได้ค่ะ บางครั้งชั้นก็แอบเอาสีไม้ของห้องออกแบบกลับไประบายเล่นที่บ้านวันเสาร์อาทิตย์ แต่ชั้นก็เอากลับมาคืนทุกครั้งนะคะ แค่ยืมไปใช้ชั่วคราวนิดๆหน่อยๆ" ฉันรีบสารภาพบาป แล้วก็รีบแก้ตัวตามไป ซวยล่ะ เผลอลืมไปว่าคุณเซนเป็นเจ้าของบริษัท
เฮ้อ แต่อย่างน้อยคำสารภาพนี้ก็ทำให้คนตรงหน้าหัวเราะน้อยๆออกมาได้ล่ะนะ
"นี่ผมจะลงโทษลินยังไงดี ตามกฎของบริษัทแล้ว ยักยอกทรัพย์สินนี่ถึงขั้นไล่ออกเลยนะครับ"
"แต่ผู้ต้องหาชิงรับสารภาพ ลดโทษครึ่งหนึ่งหรือเปล่าคะ แล้วถ้าวันเกิดของคุณเซนมาถึง ชั้นก็น่าจะได้รับการอภัยโทษในวันนั้น" ฉันพยายามต่อรอง
"บอกแล้วว่าให้เรียก เซน เฉยๆ งั้นเพิ่มไปอีกหนึ่งข้อหา แล้วก็ต้องเรียกตัวเองว่า ลิน ด้วย โอเค เพิ่มไปรวดสองข้อหา" คราวนี้รอยยิ้มกริ่มกลับมาแบบเต็มๆแล้ว แต่ก็ยังทำตาดุใส่ฉัน
"ก็มันยังไม่ชินนี่นา เซนรีบกินเข้าเถอะ ลินไม่อยากให้คุณวาเลนตี้แกต้องรอ" ฉันพยายามเบี่ยงประเด็น
"ข้อหาที่สี่ต้องมาแล้วครับ โทษฐานแคร์คุณวาเลนตี้เกินกว่าเหตุ" ตาดุนั้นดุมากขึ้น
"โห ยัดเยียดสี่ข้อหาในเวลาห้านาทีโดยไม่ทันตั้งตัว นี่เลียนแบบตำรวจไทยหรือคะเนี่ย"
"แต่ข้อหาทั้งหมดจะถูกยกฟ้อง หากคืนนี้นางสาวลลิน สินสุนทร กระทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับนายเซน เจนอรุณ"
"สัญญาอะไรคะ" ฉันไปสัญญิงสัญญาอะไรไว้กับคนตรงหน้านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
คนปากแดงโน้มตัวมาใกล้ๆฉันด้วยนัยน์ตาระยิบระยับ แล้วจึงกระซิบทำน้ำเสียงล้อเลียนคำพูดของฉันเมื่อกี้ตอนก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไปอาบน้ำ
"ก้อสัญญาเมื่อกี้ไง… ชั้นยอมทุกท่าที่คุณเซนต้องการเลยค่ะ"
อุ๊ย สัญญาข้อนั้นไม่ต้องทวงหรอกค่าคุณเซน ชั้นไม่มีทางผิดสัญญาแน่นอนค่า นี่ก็แอบรอให้ถึงคืนนี้ไวๆ คริ คริ…