กว่าจะกลับถึงบ้านก็ห้าทุ่ม…
ผมจอดจักรยานคู่ใจไว้ที่โรงจอดรถ แล้วเดินตามทางเดินโรยกรวดผ่านสวนญี่ปุ่นเล็กๆเข้ามาในบริเวณโถงของบ้าน และเมื่อเปิดประตูเลื่อนเข้ามาข้างใน ก็เห็นเจ้าเด็กห้าวกำลังนั่งเล่นเกมอยู่กับพ่อ ทั้งสองไม่ได้หันมาสนใจผมเลย
หลังจากยืนมองเด็กทรงผมรากไทรหัวสีฟ้าตรงหน้าอย่างเบื่อหน่ายอยู่ครู่หนึ่ง และก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครตระหนักถึงการมีตัวตนของผม ผมจึงต้องแก้เขินตัวเองที่ถูกเมิน โดยการเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำแร่จากขวดใส่แก้วจนเต็มแล้วยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะรินเติมให้เต็มแก้วอีกรอบ แล้วเดินถือแก้วตรงมาที่โซฟาที่พ่อกับเด็กห้าวนั่งกันอยู่
ผมเหวี่ยงเป้ที่สะพายอยู่ไปบนพื้นข้างตัว แล้วทรุดลงนั่นที่โซฟาตัวเล็กข้างๆ
แม้จะรำคาญทรงผมที่ปิดหน้าปิดตาของเจ้าเด็กคนนี้มาก อยากจะลุกขึ้นไปเอากรรไกรมาตัดปอยผมข้างหน้านั่นออกให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้ เพราะอันที่จริงก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเค้า แถมพ่อผมก็ชอบให้ท้ายเจ้าหลานชายคนเดียวคนนี้เหลือเกิน
"ที่โรงเรียนเค้าว่าไงบ้าง"
ผมถามออกไป ปรายตาไปทางเจ้าหัวฟ้า ก่อนที่จะปรายตามองไปทางพ่อ แล้วปรายตากลับมาที่เจ้าหัวฟ้า
แต่ทั้งสองคนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผม ผมรู้ งอนผมกันอยู่ล่ะสิท่า
เก้อไป… ก็เลยต้องแก้เก้อด้วยการยกแก้วขึ้นดื่มน้ำแร่อีกครั้ง
"พ่อติดประชุมสำคัญจริงๆ ขอโทษที่ไปหาไม่ได้ แล้วคุณครูเค้าว่าไงบ้าง" ผมพยายามอีกครั้ง
ถือว่ายอมง้อละกัน ต้องยอมๆเค้าหน่อย ไหนๆวันนี้ผมก็โหดไปนิดที่ไม่ยอมไปหาเค้าที่โรงเรียนตอนเกิดเรื่อง ทั้งๆที่ความจริงผมควรจะไปนะ ลูกผมเค้าเพิ่งจะเข้าเรียนที่นี่แท้ๆ
"ก็ไม่ว่าไง"
ในที่สุดเด็กหัวฟ้าก็ตอบมา คงรู้ว่าผมไม่ได้ง้อใครบ่อยๆ
แต่คุณลูกชายก็ยังไม่ยอมหันมามองผมเลยแม้แต่น้อย นัยน์ตายังคงจับจ้องอยู่ที่ทีวีจอใหญ่นั่น มือยังคงไม่ว่างจากจอยสติ๊ก ผมมองตาม นี่มันเกมบ้าอะไรกัน เลือดสาดขนาดนี้ เหมือนจริงอีกต่างหาก แล้วมันเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยเรอะ
ผมหมายความว่า มันเหมาะกับคนวัยชราอย่างพ่อผมด้วยหรือ เดี๋ยวก็ได้หัวใจวายกันพอดี
"ครับ!" ผมย้ำ
"ห้ะ?" เจ้าหัวฟ้าย้อน
"เฮ้ย คุณเรนครับ นี่พ่อเอง พ่อนะเว้ยเฮ้ย พูดกับพ่อต้องลงท้ายด้วยครับ"
แม้จะพยายามสั่งสอน แต่ผมก็อดสะท้อนใจในรอยฟกช้ำบนโหนกแก้มใสนั่นไม่ได้ เจ็บมากไหมลูก…
"ทีพ่อพูดกับปู่ไม่เห็นลงท้ายด้วยครับเลย" คำยอกย้อนที่กลับมาทำเอาผมหมั่นไส้
"ก็พ่อโตแล้ว" ผมเถียงข้างๆคูๆกลับไปบ้าง
ได้เลย! อยากจะต่อปากต่อคำกันใช่ไหม
"ต่างกันตรงไหน?"
ดูคุณเรนเค้านะครับ เถียงคำไม่ตกฟากนะครับ ผมเหลืออดจริงๆ ปู่เค้าเลี้ยงมายังไงเนี่ย
ใช่ครับ พ่อของเจ้าเด็กหัวฟ้าคนนี้คือผมเอง ผมชื่อเซน ส่วนปู่ของเจ้าเด็กนี่ ก็คือพ่อของผม เขาชื่อคุณราเชนทร์
"มะพร้าว คุณเซนกลับมาแล้ว มาเอากระเป๋าคุณเซนไปเก็บด้วย"
พ่อผมตัดบทโดยการตะโกนเรียกพ่อบ้านเก่าแก่ หรืออีกนัยหนึ่ง คุณมะพร้าวนี่คือเลขาส่วนตัวของพ่อผมเลย แทบจะตัวติดกันตลอด ทั้งขับรถให้ ทั้งพาไปหาหมอ ทั้งดูแลทุกสิ่งทุกอย่างภายในบ้านหลังนี้ รวมไปถึงเจ้าเรน …และตัวผมด้วย
"เซน อย่าเพิ่งกวนพวกเราได้ไหมลูก ไปอาบน้ำอาบท่าก่อน ขอปู่กับหลานเค้าจบเกมนี้กันก่อน"
ดี! ให้ท้ายกันอย่างนี้เข้าไป เอาเข้าไป ปู่หลาน
"ไม่ต้องครับคุณมะพร้าว เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปเองได้ คุณมะพร้าวไปนอนเถอะครับ"
ผมยิ้มให้พ่อบ้านเก่าแก่ของเราเมื่อเขาพยายามจะเข้ามาหยิบกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนพื้นข้างโซฟาที่ผมนั่งอยู่ ผมหยิบเป้ถอยหนี แต่คุณมะพร้าวก็ยื้อเป้ไปจากมือผมจนได้
"คุณเซนหิวไหมครับ ให้ผมต้มมาม่าให้ไหม พอดีเอ่อ… ผมเห็นคุณชอบลงมาทานมาม่าตอนดึกๆ"
คุณมะพร้าวช่างสังเกตเหมือนเช่นเคย ชายวัยห้าสิบกว่าๆคนนี้ดูแลคนในบ้านเรามาหลายรุ่นแล้ว สมัยผมเด็กๆ ทุกครั้งไม่ว่าผมจะเกเรเกตุงแค่ไหนที่โรงเรียน ก็คุณมะพร้าวนี่แหละที่เป็นคนไปเคลียร์กับคุณครู เป็นคนไปรับผมกลับบ้าน
ส่วนพ่อผมน่ะรึ มีแต่งาน งาน และงาน
"ขอบคุณครับ แต่วันนี้คงไม่ล่ะครับ ผมเหนื่อยมาก เดี๋ยวคงอาบน้ำแล้วเข้านอนเลย"
ผมถอยหายใจมองไปทางสองปู่หลาน สองคนนั่นยังคงเล่นเกมกันต่อไปอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจผม โอเค ผมผิดเอง ผมไม่ไปหาลูกที่โรงเรียนเมื่อตอนเช้า แถมผมก็ยังอยู่ทำงานจนเย็น ต่อด้วยไปกินเหล้ากับเพื่อนจนกลับบ้านดึกดื่นอีก
แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ ก็แค่เจ้าเรนโดนเพื่อนผู้หญิงต่อย! เรื่องของผมตอนผมอายุเท่ามันนี่ร้ายแรงกว่านี้หลายเท่า
แล้ววันนี้ก็เป็นวันเข้างานอย่างเป็นทางการวันแรกของผม เรื่องนี้น่าจะสำคัญกว่าเรื่องของเจ้าเรนหลายเท่า แต่พ่อผมเค้าก็ไม่คิดจะถามไถ่กันบ้างเลย พ่อไม่สนใจรึว่าผมเข้าบริษัทวันแรกเป็นไงบ้าง นี่อยู่ดีๆเค้าก็โยนงานทั้งหมดมาให้ผม แล้วให้ผมไปเรียนรู้แหวกว่ายสายน้ำฝ่าคลื่นทั้งหมดด้วยตัวเอง ยังดีนะที่ผมยังพึ่งพาคุณไมตรีมือขวาของพ่อได้
พ่อนะพ่อ…
"งอนกันเป็นทอดๆเลยนะครับ บ้านนี้" คุณมะพร้าวโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูของผมเหมือนเห็นสายตาน้อยใจของผมที่กำลังส่งตรงไปถึงพ่อ
"หึ" ผมได้แต่ส่งเสียงเหนื่อยหน่ายกลับไป
และหลังจากดูทีท่าว่าจะไม่ได้รับการตอบสนองใดๆจากพ่อของผมและลูกชายของผมอีก ผมก็ตัดสินใจเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง และตรงเข้าห้องน้ำอาบน้ำโดยทันที
วันนี้ช่างเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยจริงๆ…
ผมใช้เวลาในห้องน้ำนานกว่าปกติ น้ำอุ่นจากฝักบัวทำให้ผมผ่อนคลายจนอยากจะยืนแช่นานๆและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
วันแรกในการทำงานทำเอาผมอ่อนล้ากว่าที่คิด
กว่าจะเดินไปทักทายกับพนักงานอย่างใกล้ชิดจนครบทุกแผนกในฐานะผู้บริหารคนใหม่ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งวัน คุณไมตรีมือขวาของพ่อบอกว่าไม่จำเป็นที่ผมต้องเดินเข้าไปหาพนักงาน แต่ขอโทษ ผมมันผู้บริหารรุ่นใหม่นะครับ ต้องเน้นใกล้ชิดพนักงานไว้ก่อนครับ ทรัพยากรบุคคลคือสมบัติล้ำค่าของบริษัท
และคุณไมตรียังเตือนผมอีกว่า ผมควรใส่สูทมาที่ทำงานในวันแรก
เพื่อ?
ผู้บริหารยุคใหม่สมัยนี้ใครเขาใส่สูทกันบ้าง ดูสตีฟจ๊อบ ดูพี่มาร์คซัคเคอร์ แนวเสื้อยืดกางเกงยีนกันทั้งนั้น แล้วนี่ผมกับเสื้อเชิ้ตดำตัวโปรด แค่นี้ก็เท่จะแย่อยู่แล้ว
คุณไมตรีดูจะเป็นเจ้าแห่งขนบโบราณไม่พอ หัวหน้าแผนกออกแบบของบริษัทเรานี่น่าจะโบราณตามมาติดๆเช่นกัน
ตอนที่พ่อผมให้ข้อมูลตอนแรกว่าเป็นผู้หญิงอายุเกือบสี่สิบแล้ว ผมก็ไม่ได้คิดอะไร คนสมัยใหม่อย่างผมไม่สนใจเรื่องของอายุกันอยู่แล้ว ขอให้แค่ทำงานดีมีความคิดทันสมัยก็พอ
แต่ผมถึงกับต้องอุทานในใจตอนเปิดดูแค็ตตาล็อกของบริษัทว่า
ซวยล่ะ! ต้องทำงานกับมนุษย์ป้าหรือนี่
สไตล์ของคุณลลินเค้า… ป้าจริงๆ! ลายดอกกุหลาบเกลื่อนไปทุกคอลเลคชั่น
ถึงผมจะเรียนและทำงานอยู่ต่างประเทศมาโดยตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมานี่ แต่ผมก็รู้จักคำว่า 'มนุษย์ป้า' นะฮะ
ตอนอยู่ญี่ปุ่นผมก็พอจะเล่นโซเชียลบ้างเพื่อติดตามเทรนด์การออกแบบในเมืองไทย เห็นคนรุ่นใหม่เค้าพูดถึงมนุษย์ป้าในแง่ดุเดือดเผ็ดร้อนกัน เล่นเอาผมใจสั่นสะท้านถ้าจะต้องกลับมาทำงานกับมนุษย์ป้าพวกนี้จริงๆ ผมล่ะเกลียดความจุกจิกกวนใจเป็นที่สุด ผมมันประเภทเน้นพูดตรงๆสั้นๆ ไม่เน้นดราม่า
ตอนที่ตัดสินใจว่าจะกลับมาอยู่ไทยถาวร ผมก็เริ่มหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับบริษัทของเราเตรียมๆไว้ตั้งแต่ตอนยังอยู่ที่โน่น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยจะสนใจ เว็บของบริษัทตัวเองก็ยังดูแค่ผ่านๆ ผมคิดว่ามันคือบริษัทของพ่อ ไม่ใช่ของผม ผมไม่อยากยุ่ง
เอาเข้าจริง ผมไม่เคยคิดจะกลับมาอยู่เมืองไทย ผมเคยคิดวางแผนไว้ว่าจะให้พ่อส่งเจ้าเรนไปเรียนต่อที่โน่นด้วยซ้ำ แต่แล้วอาการป่วยของพ่อมาเร็วและมาหนักกว่าที่ทุกคนคาดคิด
มันทำให้ผมตัดสินกลับมาเมืองไทย แต่ด้วยเงื่อนไขว่าห้ามพ่อเข้ามาก้าวก่ายการบริหารงานบริษัทซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นตามแนวทางของผม …ซึ่งพ่อก็ยอม
และก็แน่นอน สิ่งแรกที่ผมต้องเปลี่ยนโดยด่วนคือสไตล์การออกแบบของบริษัทเรา ยุคนี้นี่มันไม่ใช่แนวดอกไม้บานเต็มสวนแล้วหรือเปล่าวะ
แต่จะโละป้าทิ้งไปง่ายๆก็คงจะไม่ได้…
เพราะปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่าป้าคนนี้เขาเป็นคนโปรดของพ่อ คุณราเชนทร์แกพูดถึงป้าคนนี้บ่อยมาก ว่าป้าแกเป็นผู้หญิงที่เพอร์เฟกต์อย่างงั้นอย่างงี้ มีชีวิตชีวาอย่างโง้นอย่างงั้น
ครับพ่อ แต่มีอย่างที่ไหนครับ ผมนัดประชุมเปิดตัววันนี้ ป้าแกก็ไม่เข้า อ้างว่ามีธุระทางบ้าน นี่ประธานบริษัทนัดนะคร้าบ โดดประชุมซะงั้น
ยอมรับเลยว่าตอนนั้นผมโกรธมาก จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการที่ตัวเองเป็นหัวหน้าแผนกแล้วเห็นเรื่องส่วนตัวสำคัญกว่าเรื่องงาน
…ขนาดลูกชายของผมโดนต่อย ผมยังไม่สนเลย
นึกไปถึงเมื่อตอนสายๆที่ห้องกาแฟ เห็นชุดเดรสลายดอกไม้สีสันจัดจ้านนั่นแล้ว ผมก็แน่ใจทันทีว่าต้องเป็นคุณป้าแน่ๆ ก็ลายดอกไม้บนตัวของคุณป้ามันลายเดียวกันกับลายบนโซฟาโปรดักต์ของบริษัทเราเป๊ะ บวกกับก่อนหน้านี้ผมนั่งดูแฟ้มของพนักงานทั้งบริษัทมาแล้ว ผมคิดว่าผมจำชื่อกับจำหน้าพนักงานได้ทุกคนแล้วนะ
พอเจอคุณป้าตัวจริงเข้าโดยบังเอิญ ผมก็เลยแกล้งไม่แนะนำตัวเสียงั้น แล้วก็ดูเหมือนคุณป้าจะเข้าใจผิดไปอีกว่าผมเป็นเด็กใหม่ ก็แน่นอน ใบหน้าผมมันไม่สัมพันธ์กับอายุ ใครๆก็บอก
แต่เอ่อ จะว่าไป… คุณป้าเองก็เหมือนกัน นี่ถ้าไม่เปิดดูแฟ้มประวัติกันมาก่อนนี่ ไม่รู้เลยนะว่าผู้หญิงคนนี้จะอายุเกือบสี่สิบแล้ว หน้าตาท่าทางแกดูไม่เข้าข่ายที่จะมีอายุอยู่ในโซนนั้นเลย ตาโตๆที่ดูสดใสร่าเริงตลอดเวลานั่นก็ทำให้แกไม่ได้ดูแก่ขนาดน้าน
อ้อ แล้วก็ที่ร้านเหล้าของเจ้าเวฟเมื่อกี้ คุณป้าเค้าเฟี้ยวมาก นี่มันวันจันทร์นะครับ คุณป้ากินเหล้าดึกๆดื่นๆตั้งแต่ต้นอาทิตย์ของการทำงานเนี่ยนะ
แล้วพรุ่งนี้จะตื่นมาทำงานไหวไหมนั่น นี่คงถือว่าตัวเองอยู่มานาน แล้วก็เป็นคนโปรดของพ่อผม คิดจะทำอะไรตามใจไปซะทุกอย่าง
มนุษย์ป้าจริงๆ!
ส่วนผมไปที่ร้านเหล้านั่นทำไมน่ะเหรอ ความจริงผมไม่ได้อยากกินเหล้าตั้งแต่วันทำงานวันแรกอย่างนี้หรอก เข้าโรงงานมาทั้งบ่ายก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว แต่เพราะไอ้เวฟมันเป็นเพื่อนรักเก่าแก่ของผม ผมปฏิเสธมันไม่ลง
"ก็ตั้งแต่มึงกลับจากญี่ปุ่น กูยังไม่ได้เจอมึงเลยไอ้เซน แล้วพรุ่งนี้กูก็ต้องไปยุโรปอีกนานหลายอาทิตย์ กูก็อยากจะอัญเชิญมึงมาเยี่ยมเยียนผับเปิดใหม่ของกูก่อน เผื่อจะได้ให้พนักงานที่นี่เค้ารู้จักหน้าตามึงเอาไว้ ผู้บริหารระดับสูงอย่างมึงมันมีต้องพาลูกค้ามาเอ็นเตอร์เทนกันแน่นอน แล้วมึงจะไปที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่ผับกู"
ไอ้เวฟมันคือเพื่อนคนเดียวที่ผมยังติดต่ออย่างเหนียวแน่นสม่ำเสมอ เมื่อก่อนเราตัวติดกันมาก เราเรียนด้วยกันมาตลอด ตั้งแต่อนุบาลยันประถมมัธยม แต่มรสุมชีวิตของผมก็ทำให้เราต้องแยกจากกัน เลเวลความกล้าซ่าส์บ้าบิ่นของผมกับมันนี่ไม่น้อยหน้ากัน แต่มันรอด ส่วนผม… ไม่รอด
แต่แม้ผมจะไปมีสังคมใหม่เปลี่ยนไปอย่างสุดกู่ ผมกับมันก็ไม่อาจตัดขาดจากกันได้ คงเป็นเพราะจิตวิญญาณเราโคลนนิ่งกันและกันไปมา ยากที่จะไปคบหาสนิทใจกับใครอื่น
"ไอ้เวฟ กูเปลี่ยนไปแล้วนะเว้ย"
ถึงผมจะรู้ว่าเบื้องลึกลงไปที่สุดในจิตใจ ผมคงยังเป็นคนเดิม แต่ผมก็ต้องปรามมันไว้ก่อน เดี๋ยวมันจะมาคาดหวังมากมายกับผม
"เป็นคนดี เอาการเอางาน เหล้าบุหรี่ไม่แตะ ยาไอซ์ไม่มอง ผู้หญิงไม่ยุ่ง งั้นสิ" มันทำหน้าเยาะ ยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ
"คนเราก็ต้องมีบทเรียนกันบ้างสิวะ กูเป็นคนดีแล้ว นี่ไงตัวอย่าง แค่เบียร์หนึ่งแก้วเท่านั้นสำหรับคืนวันจันทร์" ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบบ้าง
ใครจะไปโชคดีเหมือนอย่างมัน มาถูกทางตลอด สมใจใฝ่ฝันของมันแล้ว อยากเป็นเจ้าพ่อผับบาร์ก็ได้เป็น ตอนนี้ขี้เกียจนับแล้วว่ามันมีผับ หรือภาษาของผมคือร้านเหล้า ในกรุงเทพทั้งหมดกี่แห่ง เห็นเปิดใหม่ทุกปี ทำเลแต่ละที่ก็เด็ดๆทั้งนั้น เหมือนอย่างที่นี่เป็นต้น
ผมมองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจ
ผับของไอ้เวฟเป็นผับเล็กๆแต่มีรสนิยมเริ่ดหรูใจกลางทองหล่อ แถมเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่นี่ก็นั่งนุ่มไม่เลวเลย มันสั่งจากไหนวะ ไม่ใช่ยี่ห้อในไทยแน่ๆ ก็ผมรู้จักเก้าอี้ทุกรูปแบบของทุกบริษัทในเมืองไทย
"ก็บริษัทมึงไม่เปิดไลน์ผลิตเก้าอี้หรือไม่ก็โซฟาสำหรับผับบาร์ซะที กูก็ต้องสั่งจากนอก เก้าอี้ตัวนี้กูสั่งจากไอร์แลนด์เลยมึง เขาผลิตให้พวกไอริชผับ" เหมือนเจ้าเวฟจะเดาใจผมออก ว่าผมกำลังหมกมุ่นอยู่กับเก้าอี้ตัวที่ผมกำลังนั่งอยู่
มันช่างรู้ใจผม เพราะอย่างนี้ไงผมถึงแยกขาดจากมันไม่ได้ซะที แม้พ่อผมจะไม่อยากให้เราคบกัน
"เก้าอี้ตัวนี้มันก็นั่งนุ่มอยู่นะเว้ย แต่ก็เหมือนว่าพอนั่งนานๆไปจะไม่สบายตูดยังไงก็ไม่รู้" ผมตั้งข้อสังเกต
"นั่นล่ะที่กูต้องการ เพราะถ้านั่งสบายไปแขกก็จะนั่งนาน เคาน์เตอร์บาร์อย่างนี้มากันคนสองคน แต่สัสเอ้ย นั่งกันสองชั่วโมง แล้วแม่งสั่งเบียร์ขวดเดียว"
"มึงควรไปเป็นเซลล์บริษัทกู" ผมจริงจัง เพื่อนผมมันมีเซ้นต์ของการรู้ใจมนุษย์สูงมาก
"โอ้ บริษัทมึง บายอ่ะครับ แม่งลายดอกไม้หวานแหววสีสันจัดจ้านขนาดนั้น" คุณเวฟเขาทำหน้าขยะแขยงชอบกลเวลาพูดถึงโปรดักต์ของบริษัทผม
"เออ ก็กูกำลังจะมาเปลี่ยนนี่ไง คือยุคพ่อกูอ่ะ งานดีไซน์อยู่ในกำมือของคุณป้าเค้า ก็ออกมาเป็นอย่างที่มึงเห็นนั่นล่ะ"
"ป้าไหนวะ มึงมีพี่สาวพ่อมาทำงานที่บริษัทด้วยเรอะ"
"เฮ้ย ไม่ใช่ กูหมายถึงหัวหน้าแผนกออกแบบผลิตภัณฑ์บริษัทกูน่ะเขารุ่นป้า"
"อ่อ บรรลัยเลย แล้วนี่จะสู้โลกยุคใหม่ไหวเร้อ" เจ้าเวฟทำท่าเห็นอกเห็นใจผม
"เค้าคนโปรดพ่อกูด้วย ยังไม่รู้จะเขี่ยออกยังไงดี"
"เฮ้ย แต่ก็ไม่แน่มึง เค้าอาจมีประโยชน์อยู่บ้าง แบบประสบการณ์แน่น ไรงี้ป่าววะ"
"ไม่รู้ว่ะ ก็รอดูกันต่อไป" ผมถอนหายใจ
"เออ มึงนี่เปลี่ยนไปจริงๆ เหมือนในหัวจะมีแต่เรื่องงานนะเนี่ย พอๆ พอได้แล้ว มาผับกูก็มาแต่ตัวก็พอ เอาหัวสมองเรื่องงานทิ้งไว้ที่บริษัท" เพื่อนทำหน้าสั่งสอน ก่อนที่มันจะรีบเปลี่ยนเรื่อง "เออ ว่าแต่วันนี้มึงกินมากกว่าหนึ่งแก้วก็ได้ป่าววะ มึงเอาจักรยานมาไม่ใช่เรอะ ตำรวจไม่น่าเรียกมึงตรวจแอลกอฮอล์นะ" คงกลัวผมจะดึงเข้าสู่โหมดปรับทุกข์เรื่องงานอีก
"กูดูมาแล้ว พรบจราจรทางบกฉบับที่ 12 ห้ามขี่จักรยานขณะเมาสุรา"
ผมเปิดเว็บหาข้อมูลมาแล้วจริงๆ เรื่องกฎหมายจราจรนี่ผมระวังเป็นพิเศษ สงสัยติดนิสัยมาจากที่ญี่ปุ่น
"เชี่ย! ไทยมีกฎหมายห้ามเมาแล้วปั่นด้วยเหรอวะ" เพื่อนเวฟทำหน้าประหลาดใจอย่างจริงจัง
"ปรับห้าร้อยแน่ะมึง"
แต่ก่อนที่ผมกับไอ้เวฟจะได้วิเคราะห์กันเรื่องของเมาแล้วปั่นกันต่อไป ผมก็ได้ยินเสียงทักทายมาจากทางด้านหลัง
"อ้าว! น้องนี่เอง พี่ว่าแล้ว มองจากข้างหลังเห็นทรงผมตั้งๆแบบนี้ เจอกันอีกแล้วนะจ๊ะน้อง"
เสียงร่าเริงแบบนี้คุ้นๆมาก ผมหันขวับไป
อ้าว คุณป้า! แหม้ อายุยืนจริง…