เช้าวันจันทร์อันสดใส...
"พี่ลิน! คิดถึงจังเลย หนูรักพี่ที่สุด พี่ทำยังไงถึงได้รูปคุณเซนกับพี่โป๊ปมาเป็นเซตอย่างนี้เลยคะ"
น้องเยลลี่เขากระโจนเข้ามาเกาะแขนเมื่อเห็นฉันเดินเข้ามาในออฟฟิศในตอนสายๆ
วันนี้ฉันเพิ่งกลับเข้าทำงานเป็นวันแรกหลังจากการพักร้อนอันยาวนานกว่าหนึ่งอาทิตย์ และแทนที่น้องเยลจะถามถึงสารทุกข์สุกดิบของการหายไปของหัวหน้าทีมสาวสวยคนนี้ น้องเขากลับมุ่งเข้าประเด็นเรื่องของรูปถ่ายในตำนานเป็นอันดับแรก
ฉันรู้ดีว่ารูปถ่ายของคุณเซนและพี่โป๊ปนั้นเป็นที่ฮือฮาลือลั่นขนาดไหนในออฟฟิศของเรา ก็น้องเยลเขาส่งเมสเสจรายงานความเป็นไปตลอดช่วงเวลาที่ฉันยังอยู่ในบาหลีนี่นะ
และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะพากันหยุดชะงักการทำงานเมื่อเห็นการปรากฏตัวของฉัน
เห็นจะมีอยู่คนเดียวที่ทำท่าเหมือนไม่ได้สนใจอะไร ...น้องพลอย
"หวัดดีจ้าทุกๆคน มีขนมของฝากมาจากบาหลีด้วยจ้า เดี๋ยวพี่จะเอาไปวางไว้ในห้องกาแฟนะจ๊า หยิบชิมกันได้ตามสบายเลยน้า" ฉันโบกมือโบกไม้ไปถ้วนทั่วก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง โดยมีน้องเยลลี่ตามติดแจ
"ขนมอะไรอะเจ๊ลิน เหมือนที่คุณเซนเขาเอามาฝากพวกเราหรือเปล่า" น้องเอกนักศึกษาฝึกงานรีบปราดเข้ามาทันที คนนี้เขาไม่เคยพลาดเรื่องของกินหรือเรื่องของฟรี
"เอ๊ะ คุณเซนเขาซื้อขนมอะไรจากบาหลีมารึ ตายละ ซ้ำกับของพี่หรือเปล่าเนี่ย"
ฉันทำหน้าตาเหมือนไม่รู้เรื่องขนมของคุณเซนมาก่อนในชีวิต พลางหยิบถุงขนมหลากหลายถุงออกมาจากกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของตัวเอง
"เอ ไม่ซ้ำกันแฮะ ของคุณเซนเขาเป็นช็อกโกแลตรูปครุฑ นี่ของพี่ลินเป็นพายผลไม้หลากหลายรสเลย" สุกรีเดินเข้ามาสมทบบ้าง สายตาก็สำรวจไปยังถุงขนมบนโต๊ะที่ฉันเพิ่งจะหยิบออกมา
"ช็อกโกแลตรูปครุฑ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า มี ช็อกโกแลตรูปอะไรแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอ" ฉันหัวเราะเสียงดัง
คืออันที่จริง... ก็ฉันนั่นล่ะที่เป็นคนเลือกเจ้าครุฑตัวเล็กตัวน้อยนั่นให้คุณเซนเขาเอามาฝากเหล่าบรรดาพนักงานในออฟฟิศ และฉันก็แยบยลพอที่จะซื้อขนมชนิดอื่นมาเพื่อไม่ให้เหมือนกัน เพราะเดี๋ยวคนจะสงสัย
ซึ่งก็ได้ผล ทุกคนกำลังทำหน้าสงสัย!
นี่ฉันหัวเราะไม่เนียนงั้นรึ?
"เรื่องขนมเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ หนูอยากรู้เรื่องพี่โป๊ป นี่ไม่มีใครกล้าถามคุณเซนเลยค่ะพี่ลิน ตั้งแต่กลับมาจากบาหลีนะหน้าตาแกอารมณ์ไม่ดีซักวัน" น้องเยลลี่ตัดบทช่วยชีวิตฉันไว้จากเรื่องขนม แต่ก็นำความยุ่งยากใจมาให้ฉันในเรื่องของพี่โป๊ป
แต่ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าถ้ากลับมาถึงออฟฟิศจะต้องถูกสอบสวนเรื่องนี้แน่ๆ ฉันจึงเตรียมตัวมาพร้อมเต็มที่
"ก็ไม่มีอะไรนี่ หลังทำงานเสร็จเราก็ไปมิวเซียมรูดาน่ากัน แล้วก็เผอิญไปเจอพี่โป๊ปมาเที่ยว ก็เลยขอถ่ายรูปด้วย ก็แค่นั้น" อธิบายสั้นๆไป
แต่ดูเหมือนแววตาสงสัยของชาวออฟฟิศจะพากันถาโถมใส่มาที่ฉันกันอย่างไม่หยุดยั้ง ตอนนี้พวกเขาหลายคนกำลังยืนรุมล้อมโต๊ะทำงานของฉันอยู่ คิดว่าไม่ได้คิดถึงหรือเสน่หาอะไรฉันนักหรอก และก็คงมีน้องเยลลี่คนเดียวนั่นแหละที่อยากจะรู้เรื่องของพี่โป๊ป
ส่วนคนอื่นๆเขาคงอยากจะรู้เรื่องระหว่างฉันกับคุณเซนมากกว่า...
"แหม สงสัยอะไรกันคะ ใครๆที่ไปบาหลีเขาก็ต้องไปเยี่ยมชมมิวเซียมรูดาน่ากันทั้งนั้นไหมคะ ก็เหมือนเวลาไปปารีสไงคะ เราก็ต้องไปมิวเซียมลูฟว์กันป่าวคะ" ฉันกวาดตาไปที่ทุกๆคน ทำท่ายักไหล่ ทำปากจิ๊จ๊ะ ทำเหมือนว่าปารีสคู่กับลูฟว์ฉันใด บาหลีก็ต้องคู่กับรูดาน่าฉันนั้น
"ไม่น่าเชื่อเลยว่าหนูจะมีสิทธิ์ได้ครอบครองรูปโอปป้าทั้งสองที่ยืนเคียงคู่กัน"
น้องเยลลี่เธอไม่ติดใจสงสัยอะไรเรื่องฉันกับคุณเซน เธอควักมือถือออกมาชื่นชมรูปคู่ในตำนานนั้นอีกที คาดว่าวันที่น้องเยลได้รับรูปจากฉัน น้องคงนอนไม่หลับเป็นแน่แท้
"สงสารพี่โป๊ปแกนะครับเนี่ย ผมเห็นพี่แกยืนตัวเกร็งเลยอะ คุณเซนก็ช่างทำไปได้" สุกรีชะโงกหน้าไปพินิจพิเคราะห์ท่าทางของคุณเซนและของพี่โป๊ปในมือถือของน้องเยลที่ยืนอยู่ข้างๆ
"นี่หนูไม่ยักรู้ว่าตัวจริงคุณเซนแกเป็นคนแอ๊บแบ๊วขนาดนี้" คราวนี้เป็นน้องน้ำฝนแผนกบัญชีที่แทรกกายเข้ามาร่วมวงแสดงความคิดเห็นบ้าง
แม้จะรู้ว่าผู้ที่กำลังถูกกล่าวขวัญถึงออกไปโรงงานตั้งแต่เช้า และคงจะไม่เข้าออฟฟิศอีกแล้วในวันนี้ แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะปรายตามองไปทางโต๊ะทำงานของเค้า โต๊ะเรียบร้อยสะอาดสะอ้านเหมือนเคย
อือม์ แต่แปลกจัง คราวนี้ไม่มีโพสต์อิทแปะอยู่เลยแฮะ...
"พี่รู้อยู่แล้วล่ะว่าลึกๆคุณเซนเธอเป็นคนอ่อนโยนและขี้เล่น อยู่ในที่ทำงานเธอก็ทำหน้าเฉยไปงั้นเอง"
และก็แน่นอนที่ในวงซุบซิบของเราต้องมีพี่เพ็ญแฝงตัวอยู่เสมอ ตอนนี้พี่แกกำลังทำหน้ารู้จักรู้ใจคุณเซนเป็นอย่างดี
"แต่หนูว่าไอ้ท่าทางแบ๊วๆแบบนี้ไม่ได้มาจากคุณเซนเองหรอก ใช่ไหมคะซิส ใครบางคนต้องใช้มารยาหญิงบังคับให้เค้าทำแน่ๆ" คิตตี้ผู้ซึ่งเงียบอยู่นานปรายตามองมาทางฉันอย่างรู้ทัน
"ใช่ ไม่มีทาง คุณเซนเนี่ยอะนะจะมีไอเดียทำท่าซารางเฮโยด้วยตัวเอง ฝีมือเจ๊ลินอะแหละ" น้องเอกส่ายหน้า พลางจ้องมาที่ฉันอีกคน
"ใช่ ใช่ คุณเซนโดนบังคับแน่ๆ" เสียงขานรับดังเซ็งแซ่
ตอนนี้ทุกคนกำลังรุมจ้องรูปคู่เซตนั้นจากมือถือของน้องเยลลี่ นี่ช่วงเวลาที่ผ่านมายังดูกันไม่หนำใจอีกเรอะ
"เอ้อ พี่ก็แค่แนะนำแกนิดหน่อย แต่บางท่าคุณเซนแกก็คิดของแกเองนะ" ฉันจำต้องอ้อมแอ้มออกไป
โอเคค่ะ ยอมรับเลยก็ได้ว่าไอ้ท่าซารางเฮโยโค้งมือทั้งสองข้างทำเป็นรูปหัวใจ หรือท่าเอานิ้วจิ้มแก้วป่อง หรือท่าพ้อยท์เท้านั่น เป็นความคิดของฉันเอง ฉันบังคับคุณเซนเขาจริง แต่ไอ้ท่าชูนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ไขว้กันทำเป็นมินิฮาร์ทนี่ ฉันเองก็ยังสงสัยว่าคุณเซนแกไปเลียนแบบใครมาวะ คุ้นๆแฮะ เหมือนเคยเห็นตาลุงแก่ๆคนนึงเคยทำอยู่แล้วโดนด่าทั่วบ้านทั่วเมือง
เอ ใครหว่า นึกไม่ออกเลยจริงๆ
"หนูล่ะอิจฉาพี่ลินจริงๆ ได้พักร้อนยาวเลย แถมได้ไปเที่ยวกับคุณเซนอีก โรแมนติกชะมัด" น้องน้ำฝนทำท่าเคลิ้มฝัน
"เดี๋ยวๆนะจ๊ะ พี่กับคุณเซนไปทำงานนะจ๊ะ แล้วพี่ก็ลาพักร้อนต่อนะจ๊ะ ไม่เกี่ยวอะไรกับความโรแมนติกเลยจ้า" ฉันทำเป็นปฏิเสธเสียงแข็ง
"จริงอะ ซิสกับคุณเซนไม่มีอะไรในกอไผ่จริงๆเหรอ?"
คราวนี้คิตตี้เขาตรงเข้าประเด็นเลย แล้วสายตาทุกคู่ก็ละจากหน้าจอมือถือของน้องเยลพุ่งเป้ามาที่ฉันแทน
รู้แหละ ว่าทุกคนกำลังรอให้ใครสักคนเป็นฝ่ายเปิดเรื่องนี้
"ก็ไม่มีอะไรน่ะสิจ๊ะ แหม ทำพูดกันไปเรื่อยเปื่อยนะพวกเรา เดี๋ยวก็โดนคุณเซนเขาขู่หักเงินเดือนเหมือนครั้งที่แล้วอีกหรอก" ฉันยังคงยืนหยัดไม่ยอมรับง่ายๆ
"พวกเรารู้ไหม การพักร้อนยาวๆนี่มันเยี่ยมจริงๆเลยนะ ได้ชาร์จแบตเต็มที่ พลังกลับมาเต็มเปี่ยม ใครยังไม่เคยลอง ต้องลองกันนะจ๊ะ ลาเป็นอาทิตย์คุณเซนเธอก็ไม่ว่าอะไร บริษัทเรานี่ช่างแสนดีมีวันลาพักร้อนให้มากกว่าที่อื่น" ฉันพยายามเบนทิศทางของวงสนทนาไปยังเรื่องที่น่าสนใจกว่า
คือตั้งแต่คุณเซนเข้ามาทำงาน เธอก็เปลี่ยนระบบการลาพักร้อนใหม่ เป็นว่าพนักงานทุกคนไม่ว่าจะทำงานมาแล้วกี่ปีก็ตามหรือเพิ่งจะเข้าใหม่ ก็จะได้รับวันลาพักร้อนสิบห้าวันเท่าเทียมกันทุกคน ฉันว่าไม่มีบริษัทไหนในเมืองไทยบ้าระห่ำให้จำนวนวันลาพักร้อนแก่พนักงานเยอะเท่ากับบริษัทเราอีกแล้ว ตามกฎหมายแรงงานไทยนี่ได้แค่หกวันเองนะ ฉันเคยฝึกงานที่บริษัทในยุโรปที่นั่นเขาให้วันลาถึงสามสิบวันแน่ะ อา… ถ้าฉันได้วันลาเยอะขนาดนั้นบ้าง จะไปเที่ยวไหนดีนะ ดีจังเลยที่มีเจ้านายอย่างคุณเซน…
อดที่จะเหลือบตามองไปยังโต๊ะทำงานของคนที่กำลังถูกกล่าวถึงอีกทีไม่ได้
ก็คิดถึงแหละ วันที่ลาจากคุณเซนที่สนามบินนั้นฉันรู้สึกใจหายและอ้างว้างมาก…
แต่ฉันก็คือฉัน คนอย่างฉันจะไม่ยอมเศร้านานเกินไปเด็ดขาด มันไม่ดีต่อสุขภาพใจ คืนนั้นฉันจึงตั้งใจออกไปเที่ยวกลางคืนตามคำชวนของสมฤดีเพื่อนสมัยมัธยมที่บังเอิญเจอกันที่บาหลี
ก็เพราะฉันไม่อยากจะอยู่ห้องพักคนเดียวแล้วมัวแต่นั่งเวิ่นเว้อคิดถึงคุณเซนไง…
ปรากฏว่าคืนนั้นคนที่ฉันพยายามจะไม่คิดถึงเขากลับกระหน่ำโทรถึงฉันหลายสิบสาย และฉันก็ไม่ได้รับสายเขาเลยสักสายเดียว คือฉันมัวแต่เริงระบำอย่างบ้าคลั่งอยู่ในผับสุดชิคของบาหลีจนลืมเวลา แถมป้ำเป๋อๆปล่อยให้มือถือแบตหมดอีก พาวเวอร์แบ๊งค์ก็ลืมเอาติดไปด้วย กว่าจะมาถึงที่พักก็เกือบเช้าด้วยอาการเมากรึ่มเต็มที่ ซึ่งฉันก็ล้มตัวนอนทันที
จนเมื่อตื่นขึ้นในตอนเที่ยงของวันถัดมานั่นล่ะ ถึงได้เสียบปลั๊กชาร์จแบตและเปิดมือถือดู และก็ได้ตระหนักว่าอาการร้อนรนของคุณเซนนั้นหนักหนาสาหัสไม่เบา แต่ฉันก็รีบโทรกลับถึงเขาทันทีเลยนะ แต่พ่อตัวดีเขาก็ไม่ยอมรับสาย ทีแรกฉันก็คิดว่าเขาคงทำงานยุ่งอยู่หรือไม่ก็ติดประชุม แต่พอฉันลองโทรอีกตอนค่ำๆ คุณเซนก็ยังคงไม่ยอมรับสายอยู่นั่นแล้ว แถมไม่โทรกลับด้วย ฉันส่งข้อความหา ก็ขึ้นว่าอ่าน แต่ไม่ตอบ ผ่านไปอีกวันถึงมีข้อความทักมาสั้นๆถามว่าฉันเที่ยวปลอดภัยดีใช่ไหม
งอนแหละ ดูออก!
โอเค้ อยากงอนก็งอนไป ฉันเป็นคนไม่ชอบง้อใครนานๆเสียด้วย ไม่อยากคุยก็ไม่ต้องคุย
เห็นหน้าขาวๆเฉยๆอย่างนั้น นี่ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าคุณเซนเธอจะเป็นคนขี้งอนขนาดนี้ ตลอดเวลาที่รู้จักกันมาเขาไม่เคยงอนฉันเลย ไม่ว่าฉันจะโต้เถียงอะไรก็ไม่เห็นเขาเคยจะโกรธ แม้บางทีจะกวนๆฉันกลับมาบ้าง แต่ลงท้ายฉันก็เห็นเขายิ้มๆทุกทีไป
อย่างว่าล่ะนะ คนเราต่างกัน บางคนก็งอนง่ายหายเร็ว เช่นฉันเป็นต้น แต่คนบางคนที่ปกติไม่เคยงอน แต่ถ้างอนทีนี่ยาวเลย เช่นคุณเซนเป็นต้น เฮ้อ…
แต่เดี๋ยวนะคะคุณลลิน…
คุณแน่ใจหรือคะว่าคุณเซนเค้างอนคุณจริงๆ ที่เค้าไม่ได้ตอบอะไรกลับมานั้นอาจเป็นเพราะเค้าไม่ได้สนใจคุณขนาดนั้นก็ได้
คุณมโนไปเองหรือเปล่าคะว่าคุณเซนเค้าเดือดร้อนที่คุณไม่รับโทรศัพท์
ช่วงเวลาที่บาหลีก็แค่เป็นช่วงเวลาพักผ่อนสั้นๆของเค้าไหมคะ ตอนนี้เค้าก็กลับมาสู่ชีวิตจริงแล้ว คุณลลินคิดว่าตัวคุณยังจะมีความสำคัญกับคุณเซนเค้าขนาดนั้นเชียวหรือคะ
หรือพอเขากลับมาเจอน้องพลอย แล้วเขาก็ลืมคุณทิ้งไว้ที่บาหลีเลยหรือเปล่า…
โอย! สับสน!
งั้นช่างมันเถอะ สรุปว่าตั้งแต่คุณเซนกลับมาจากบาหลีเมื่อวันอังคาร จนกระทั่งฉันกลับมาถึงกรุงเทพเมื่อวานซึ่งเป็นวันอาทิตย์ตอนค่ำๆ
เราก็ยังไม่ได้คุยกันอีกเลย…
ตอนบ่ายแก่ๆใกล้จะเลิกงาน…
ฉันวางแผนไว้ว่าวันนี้จะกลับบ้านเร็วกว่าปกติ เพราะตั้งใจจะกลับไปกินข้าวกับท่านแม่และหลานสาวสุดที่รัก คือหลังจากจากบ้านไปนานหลายวันฉันก็ต้องให้เวลากับครอบครัวบ้าง
และอีกอย่าง… การเริ่มงานวันแรกหลังจากพักร้อนมาเป็นอาทิตย์มันก็จะทำใจยากนิดนึง และโดยเฉพาะวันนี้เจ้านายไม่อยู่ คริคริ
ขณะที่ฉันกำลังเตรียมตัวเก็บข้าวของลงกระเป๋าอย่างลั้ลลานั้น ก็มีเหตุให้ต้องมองไปที่ประตูทางเข้าด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นลูกชายของคนขี้งอนกำลังเดินเข้ามาในออฟฟิศโดยที่เราไม่ได้นัดหมายกันไว้ก่อน
"อ้าว เรน เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันอาทิตย์กว่า หล่อเหมือนเดิมนะเรา" ฉันเอ่ยทักออกไปเมื่อเจ้าหัวฟ้าเดินเข้ามาหาที่โต๊ะทำงาน
"หวัดดีฮะป้าลิน ไม่เจอกันนานเลยนะฮะ" เด็กหน้าหล่อยกมือไหว้ฉันก่อนจะวางเป้ไว้บนพื้น แล้วทำหน้ายิ้มๆหันซ้ายหันขวาพลางกระซิบกระซาบ
"ขอบคุณสำหรับหน้ากากของฝากจากบาหลีนะฮะ สวยดีฮะ ป้ารสนิยมดีกว่าพ่อผมเยอะ แล้วไปเที่ยวมาสนุกไหมเอ่ย"
ฉันปรายตามองเจ้าหัวฟ้าด้วยความไม่ไว้ใจ เด็กนี่รู้เรื่องอะไรระหว่างฉันกับคุณเซนแล้วบ้างเนี่ย พ่อลูกเขาคุยอะไรเกี่ยวกับฉันกันบ้างหรือเปล่า
ทำไมเจ้าเรนถึงทำหน้าแปลกๆดูมีเลศนัย
"วันนี้น้าต้องกลับเร็วเน้อ พ่อเค้าก็ไม่เข้าออฟฟิศนะจ๊ะ แล้วก็ดูเหมือนพี่ๆในแผนกเค้าก็จะกลับกันเร็วเหมือนกัน เรนจะเข้ามาทำไมไม่เห็นบอกกันก่อน" ฉันหาเรื่องมาพูดกลบเกลื่อนเพราะอยากจะเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องบาหลี
เอาจริงลูกชายคุณเซนเขาจะบอกหรือไม่บอกก่อนจะเข้ามา ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก คือในช่วงแรกๆที่เริ่มทำงานนั้นเด็กน้อยเขายังมีบางวันที่ไปเล่นกีฬากับเพื่อนบ้างอะไรบ้าง ซึ่งเด็กน้อยก็จะส่งข้อความมาบอกฉันในตอนเช้าวันนั้นๆว่าจะเข้ามาตอนเย็นหรือไม่ แต่หลังๆมานี่เจ้าเรนเข้านอกออกในออฟฟิศเราเกือบทุกวันหลังเลิกเรียนจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถึงแม้บางวันที่ฉันหรือคุณเซนไม่อยู่ในออฟฟิศ น้องๆในทีมของฉันก็ช่างสรรหาอะไรมาให้ลูกชายเจ้าของบริษัทได้ช่วยทำอยู่เสมอๆโดยที่ฉันไม่ต้องบอก แหม ใครๆก็ชอบแรงงานฟรีกันทั้งนั้น และโดยเฉพาะแรงงานฝีมือดีหัวไวอย่างเจ้าเด็กหัวฟ้านี่
"อ๋อ วันนี้ผมมีนัดกับพี่เอกฮะ ว่าจะมาคุยกันเรื่องการ์ตูนเรื่องเกมกันเรื่อยเปื่อย"
ฉันชะเง้อไปทางโต๊ะทำงานของน้องเอกที่มุมหลังห้อง ก็เห็นน้องกำลังโบกไม้โบกมือทักทายมาทางนี้ ชักจะสงสัยในความสนิทสนมของสองคนนี้ซะแล้ว เห็นเวลาเรนเข้ามาทีไร เจ้าเอกก็ชอบเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้เหลือเกิน สองคนนี่ดูเข้ากันได้ดี คงเป็นเพราะวัยใกล้เคียงกันด้วยล่ะมั้ง
เอ หรือที่เรนเข้ามาออฟฟิศบ่อยๆก็เพราะอยากจะมาเจอกับน้องเอก นี่แอบมาทำอะไรกันในออฟฟิศหรือเปล่า
หรือจะมาชวนกันใช้คอมของบริษัทเล่นเกม? คุณเซนเธอปรับปรุงระบบไอทีของบริษัทเราใหม่ให้มีเซิร์ฟเวอร์ความเร็วสูง เธอบอกว่ามันจำเป็นสำหรับงานออกแบบ ฉันล่ะถูกใจยิ่งนัก
"น้องเรนนนนน" และแล้วเสียงของน้องเยลลี่ก็ทักทายมาแต่ไกล
"พี่อยากจะรู้ว่าคุณพ่อว่าไงบ้างจ๊ะเรื่องพี่โป๊ปน่ะ อาทิตย์ที่แล้วตอนน้องเรนเข้ามา แล้วมีคุณพ่ออยู่ในออฟฟิศด้วย พี่ไม่กล้าถาม คือพี่อยากรู้ว่าคุณพ่อเขาตื่นเต้นไหมที่ได้เจอระดับพระเอกในตำนานของเมืองไทย" น้องเยลยังไม่ยอมหยุดเรื่องของคุณเซนและพี่โป๊ป
"อ่อ ผมถามพ่อแล้วฮะเรื่องนี้ พ่อเขาไม่รู้จักลุงดาราคนนั้นหรอกฮะ"
"จริงเหรอคะพี่ลิน ตอนเจอกับพี่โป๊ปที่นั่น คุณเซนเค้าไม่รู้ว่าพี่โป๊ปคือใครเหรอคะ" เยลลี่หันมาทางฉัน ทำหน้าทำตาเหมือนไม่เชื่อว่าจะมีคนอย่างคุณเซนสถิตอยู่ในโลกใบนี้
"เอ้อ ก็คุณเซนเค้าอยู่ญี่ปุ่นมานานมั้ง เค้าคงไม่รู้จักดาราไทยหรอก" ฉันตอบปัดๆไป ไม่อยากจะพูดเรื่องเหตุการณ์ในบาหลีอีกแล้ว วันนี้ก็พูดมาทั้งวันแล้ว
เฮ้อ! นี่ยังเซ็งตัวเองที่คิดน้อยไปหน่อย ความจริงแล้วฉันไม่น่าส่งรูปคุณเซนกับพี่โป๊ปมาให้น้องเยลเลย ก็รู้อยู่ว่าคนในออฟฟิศนี้ขี้เม้าท์กันขนาดไหน
อ้อ เจ้าน้องเอกเดินมาพอดี ได้โอกาสเปลี่ยนเรื่องดีกว่า
"วันนี้มีนัดอะไรกันกับน้องเรนจ๊ะ คุณเอกพล" ฉันหันไปคาดคั้นกับน้องเอกที่กำลังยกมือกำหมัดชนกับหมัดของเจ้าหนูน้อยเรน พวกวัยรุ่นนี่เขามีภาษากายกันแบบคูลๆเสมอ
"เรื่องของเยาวรุ่นอะเจ๊ มนุษย์ป้าไม่เข้าใจหรอก"
นับวันเจ้าน้องเอกชักจะยียวนมากขึ้นทุกทีแล้วนะ ถือว่าสนิทกับลูกชายเจ้าของบริษัทรึ หรือไม่ฉันก็ใจดีกับพวกน้องๆมากไป
"แหม... หล่อน อย่ามา ชั้นตามพวกพวกหล่อนทันแหละย่ะ อย่าลืมว่าหลานสาวชั้นก็วัยรุ่นนะยะ" ฉันปรายตามองเจ้าวัยรุ่นเอกพลอย่างเบื่อๆ
ก่อนจะหันไปทางหลานชายสุดที่รักของคุณราเชนทร์
"แล้วเรนบอกคุณปู่แล้วหรือจ๊ะว่าวันนี้จะแวะเข้ามาที่นี่ คุณปู่จะรอทานข้าวเย็นหรือเปล่า"
"ฮะ บอกปู่แล้วฮะว่าผมจะมากินข้าวกับพี่เอก ปู่ก็รู้ด้วยฮะว่าวันนี้พ่อไม่เข้าออฟฟิศ"
"อือม์ โอเคจ๊ะ" ฉันยิ้มให้วัยรุ่นหน้าหล่อ แล้วหันมากำชับวัยรุ่นหน้ากวน
"เอกอย่าให้น้องกลับดึกมากนักนะ แล้วก็อย่าชวนน้องไปไหนไกล กินข้าวกันแถวออฟฟิศนี่แหละ อย่าให้ที่บ้านของน้องเขาต้องเป็นห่วง"
แม้จะรู้ว่าลูกชายของคุณเซนเขารับผิดชอบตัวเองได้ดี และบ้านนี้เขาก็ปล่อยให้ลูกหลานทำอะไรตามใจอิสระ แต่ฉันก็ไม่วายแอบวิตกจริตนิดๆ
"ไม่ออกไปไหนหรอกเจ๊ อยู่คุยเล่นกันในออฟฟิศนี่แหละ เดี๋ยวจะไปนั่งที่ห้องนั่งเล่นกัน"
อ้อ จำได้ละ น้องเอกเขาเป็นขาประจำของห้องนั่งเล่นในออฟฟิศของเรา
"แต่คุณเอกพลคะ เห็นป้าผ่องเคยบอกว่าบางทีคุณก็นอนค้างออฟฟิศด้วยหนิคะ ตอนนั้นป้าแกเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นตอนเช้าๆแล้วเจอคุณนอนอยู่บนโซฟา นี่คุณอยู่ทำอะไรนักหนาจนถึงดึกดื่นคะ" ฉันเริ่มคาดคั้น
"ไม่มีไรหรอกเจ๊ โซฟาที่เจ๊ออกแบบมันนุ่มดี บางทีกะเข้าไปนั่งนอนอ่านหนังสือเล่นๆ แต่ก็เผลอหลับไป" เจ้าเอกทำหน้าประจบ
ฉันอดไม่ได้ที่จะแอบมองวัยรุ่นตรงหน้าอย่างหวาดระแวง น้องเอกเนี่ยนะเข้าไปอ่านหนังสือ?
"โอเค โอเค วันนี้ก็อย่าอยู่กันดึกมาก เปลืองแอร์บริษัท" ฉันกำชับไปอีกที พยายามแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
แต่ในใจกำลังคิดว่าเดี๋ยวต้องลงไปคุยกับลุงป้อมยามประจำกะกลางคืนของบริษัทเราถึงเรื่องนี้เสียหน่อย...
"ครับ ผมเจอคุณเอกอยู่ที่ทำงานดึกๆบ่อยๆ แต่เรื่องนอนค้างผมว่าไม่มีนะครับ เพราะปกติเวลาผมขึ้นไปดูแลปิดกุญแจตึกตอนเที่ยงคืน ถ้าเหลือคุณเอกแค่คนเดียวผมก็ไม่ยอมให้แกอยู่หรอกครับ วันนั้นที่ป้าผ่องแกเจอ เผอิญผมอาจไม่ทันได้ดูให้ดีทุกห้อง"
คำตอบของลุงป้อมทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจนัก ถึงน้องเอกจะไม่ได้เป็นนักศึกษาฝึกงานในแผนกของฉันก็จริง แต่น้องเขาก็มีความสนิทสนมกับแผนกของฉันมาก ฉันมีความรู้สึกเหมือนว่าต้องรับผิดชอบน้องเขาด้วยกลายๆ
จำได้ว่าช่วงก่อนที่ฉันต้องอยู่ทำงานดึกๆเพราะเตรียมงานไปบาหลี ฉันเองก็สังเกตเห็นบ้างเป็นบางครั้งว่าน้องเอกอยู่ออฟฟิศดึก แต่เผอิญตอนนั้นฉันกำลังยุ่งมากจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
หรือน้องมันจะอยู่เพื่อแอบดูหนังโป๊วะ?
บ้าบอ… สมัยนี้แล้วยังต้องหลบที่บ้านมาแอบดูหนังโป๊อีกเรอะ
แล้วนี่มาสนิทสนมกับเจ้าเรนอย่างนี้ จะชักชวนให้ลูกชายเจ้าของบริษัทเขาใจแตกหรือเปล่า แล้วถ้าเกิดดูหนังโป๊กันเสร็จ แล้วน้องเอกยุยงให้เจ้าเด็กน้อยนั่นไปล่อลวงสาวๆล่ะ เด็กหัวฟ้านั่นยิ่งหน้าตาหล่อๆอยู่ด้วย สาวที่ไหนเห็นก็เป็นต้องชอบ หล่อเกินหน้าเกินตาพระบิดา มาทำงานที่ออฟฟิศนี่ป้าๆก็กรี๊ดกร๊าดกระชุ่มกระชวยกันยกใหญ่
แล้วถ้าเจ้าเรนเกิดนิสัยเจ้าชู้ขึ้นมาด้วยล่ะ โอย ไม่อยากจะคิด ฤาประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย อย่าลืมนะว่าเจ้าตัวพ่อตอนวัยรุ่นก็ร้ายไม่เบา และตอนนี้เจ้าเรนก็อยู่ในวัยเดียวกับพ่อของเขาในตอนโน้น
ตายล่ะ วัยนี้กำลังเป็นวัยอยากรู้อยากเห็นฮอร์โมนพลุ่งพล่านเสียด้วย
เห็นทีฉันจะต้องจับตาดูน้องเอกให้มากกว่านี้เสียแล้ว ชักเริ่มเป็นห่วงเจ้าเด็กหัวฟ้า พ่อทำงานหนักเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนั้นจะมีเวลาคุยกับลูกชายบ้างไหมเนี่ย เขาได้เปิดอกคุยเรื่องเพศศึกษากันบ้างหรือยัง เอ โรงเรียนนานาชาติเขามีสอนเรื่องนี้ไหมนะ ที่รู้คือโรงเรียนไทยไม่มีสอนแน่ๆ ก็ที่นี่เป็นเมืองพุทธ เด็กทุกคนมีหน้าที่แค่เรียนหนังสือและอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ การมีเซ็กซ์ในวัยเรียนถือเป็นเรื่องบาปหนาสาหัส ไม่ควรแม้แต่จะคิด หากหงุดหงิดงุ่นง่านก็ให้ไปเตะบอลหรือเล่นตุ๊กตาแทน เอ้อ…
เอ๊ะ แล้วหลานสาวของฉันล่ะ ลิสาเคยแอบดูหนังโป๊บ้างหรือเปล่าเนี่ย?
ไม่ได้การละ ฉันต้องแอบเลียบๆเคียงๆถามหลานฉันเรื่องนี้บ้างแล้ว เรื่องอย่างนี้มันต้องคุยกันได้ในครอบครัว
ฉันคิดว่ายุคสมัยนี้เราไม่สามารถจะสกัดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆได้อีกต่อไปแล้ว โลกของข้อมูลข่าวสารมันเปิดกว้างและพุ่งไปเร็วยิ่งกว่าจรวดซะขนาดนี้ เราไม่มีทางตามทันเด็กๆเค้าหรอก ทางที่ดีเราควรจะค่อยๆฝึกให้พวกเขาได้กล้าหาญที่จะตัดสินใจในทุกๆเรื่องด้วยตัวของพวกเขาเอง จะตัดสินใจทางไหนก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่สามารถจะโทษใครได้หรือโทษอะไรในภายหลังได้
เฮ้อ! เกิดเป็นวัยรุ่นสมัยนี้นี่มันไม่ง่ายเลยน้อ…