Descargar la aplicación

Capítulo 65: รักแรก

"ไอ้เวฟ! เค้ากลับมาแล้วว่ะ เค้าอยู่ที่นี่แล้วมึง!"

ผมเอ่ยประโยคแรกด้วยความตื่นเต้นเมื่อเจอหน้าไอ้เวฟที่ผับกลางซอยทองหล่อของมัน ตลอดบ่ายนี้ทั้งบ่ายผมแทบไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น ผมต้องการใครสักคนที่จะพูดคุยเรื่องนี้ด้วย ใครสักคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของผม ความร้อนใจของผมทำให้ผมขับรถแวะเข้ามาที่ผับของเพื่อนรักทันทีหลังเลิกงานโดยไม่ได้นัดหมายมาก่อน

"อ้าว ไอ้เซน มาไงไปไงวะเนี่ย นั่งดิ รอแป๊บ กูตรวจบัญชีติดพันอยู่" เพื่อนรักเงยหน้าขึ้นจากโน้ตบุ๊คบนโต๊ะทำงานขึ้นมาหนึ่งแวบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจ้องจอสี่เหลี่ยมนั้นต่อไป ดูท่าเพื่อนไม่ได้ยินดียินร้ายกับการที่ผมมาเยี่ยมเยียนมันถึงห้องทำงานเลย

แต่ผมรอไม่ไหว ไอ้คุณเพื่อนมันต้องสนใจผมหน่อย เรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับมันด้วย

"มึงฟังกูก่อน กูตื่นเต้นมาก กูเจอเค้าแล้วมึง เค้ากลับมาแล้ว!"

"ใครกลับมาวะ อ่อ ข่าวโรนันโด้กลับมาแมนยูเรอะ ข่าวเก่าแล้วป่าววะมึง" สายตาของเพื่อนรักยังคงจดจ้องอยู่ที่หน้าจอเล็กบนโต๊ะนั่น

"ไม่ใช่พี่โด้ กูหมายถึงฝน! ฝนแฟนเก่ากูไง!" ผมละล่ำละลัก เก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ ต่อหน้าเพื่อนคนนี้ผมไม่จำเป็นต้องเขินอาย เราต่างรู้ไส้รู้พุงของกันและกันจนหมดแล้ว

"ใครนะ แฟนเก่ามึงคนไหน มึงมีแฟนมาตั้งหลายคน" จนถึงตอนนี้เพื่อนผมก็ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะทำงาน

เฮ้ย ทำไมไอ้เวฟมันดูนิ่งจังเลยวะ ผมพูดถึงฝนอยู่นะเว้ย

"ฝนไง ฝนน้องไอ้เมฆศัตรูเก่ามึงไง กูหาเค้าเจอแล้ว!" ผมย้ำกับมันอีกเป็นรอบที่สี่ถึงเรื่องการกลับมาของฝน

"อ่อ พี่ฝนน่ะเหรอ" คราวนี้เพื่อนเงยหน้าขึ้นมามองผม แปลกมากที่มันทำหน้าเฉยๆ มีแต่แววตาของมันที่ดูไม่ชอบมาพากล มันควรจะมีแอคชั่นอะไรมากกว่านี้อีกหน่อยสิ

"ใช่พี่ฝนนั่นแหละ กูตามหาเค้ามาสิบห้าปี จนถอดใจไปแล้ว แต่แล้วกูก็เจอเค้าโดยจนได้ โคตรบังเอิญเลย"

"อือม์ ก็ดีแล้ว" เพื่อนทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก

"เดี๋ยวนะ ไอ้เวฟ ทำไมมึงไม่ตื่นเต้นไปกับกูเลยวะ มึงก็รู้ว่ากูพยายามตามหาเค้ามานานแค่ไหน" ผมชักสงสัยในความนิ่งของเพื่อน… "ไอ้เวฟ มึงบอกมา มึงมีอะไรปิดบังกูอยู่"

"คือ..." เพื่อนรักของผมเริ่มอึกอัก แม้ปกติบุคลิกมันจะเป็นพวกกะล่อนไหลลื่นไปได้ทุกสถานการณ์ แต่กับผม เราเป็นเพื่อนที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกันหลายต่อหลายครั้งในชีวิต …มันไม่กล้าที่จะโกหกผมหรอก

"หรือว่ามึงเคยเจอเค้าก่อนแล้ว" ผมเกิดนึกขึ้นได้

"เอ่อ คือ..." เพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของผับพยายามหลบตาผม

"ไอ้เวฟ! นี่มึงเคยเจอฝนมาแล้วเหรอ! มึงรู้ใช่ไหมว่าฝนเค้าอยู่แถวนี้!" ผมคาดคั้นเสียงดัง ไอ้เพื่อนบ้า มันกล้าปิดผมเรื่องนี้ได้ยังไงวะ ผมรู้สึกโกรธจนตัวสั่นขึ้นมาหนึ่งแวบ โคตรอยากชกหน้ามันเลย

"มึงเจอเค้ามานานแล้วหรือยัง" แต่หลังจากเริ่มตั้งสติได้ ผมก็เสียงอ่อนลงนิดนึง

"ก้อ… สองสามเดือนแล้ว เค้าเป็นคนติดต่อมา คือเห็นมึงยุ่งๆกูเลยไม่มีโอกาสบอก แล้วกูเองก็ยุ่ง เลยลืมๆไป"

คำแก้ตัวของมันฟังไม่ขึ้น เราไม่ได้อยู่ในยุคสมัยใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะหรือนกพิราบสื่อสารแล้วนะโว้ย แค่ไลน์มาบอกสั้นๆประโยคเดียวก็ได้

และเมื่อเห็นหน้าตาสงสัยแบบจริงจังของผม มันจึงพูดเสียงอ่อยๆต่อไปว่า

"พี่ฝนเค้าห้ามกูไว้ ไม่ให้กูบอกมึงเด็ดขาด เค้าอยากให้เรื่องมันจบไปแบบนี้"

"จบแบบนี้? จบแบบไหนวะ?" นี่มันดราม่าอะไรกัน ผมงงกับคำบอกเล่าของเพื่อน

"จบแบบที่เค้าตัดทั้งครอบครัวกูออกไปจากชีวิตน่ะเหรอ แต่ถ้าเค้าอยากให้กูลืมเค้าจริงๆ แล้วเค้าจะติดต่อมึงมาทำไม แล้วอีกอย่างทำไมเค้าตั้งใจต้องมาเปิดร้านขนมแถวนี้ เค้าก็รู้ว่าบ้านกูอยู่ที่ไหน" ผมตั้งข้อสังเกตยาวเหยียด

"ก็พี่ฝนเค้าแค่อยากรู้ความเป็นไปของมึง แล้วพี่เค้าก็อยากอยู่ใกล้ๆ เอ่อ... เจ้าเรน…"

"เชี่ย ฝนแม่งเหมือนเดิมไม่มีผิด ทำอะไรไม่คิดเหมือนเดิม แล้วมึงรู้ไหม เขาได้เจอกับเจ้าเรนก่อนเจอกูซะอีก" ผมหัวเสีย ฝนไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ

"ห้ะ! พี่ฝนเจอเจ้าเรนแล้วเหรอ งั้นแปลว่าเจ้าเรนรู้เรื่องแล้ว" คราวนี้เพื่อนผมเป็นฝ่ายทำหน้าตระหนก มันคงนึกเป็นห่วงความรู้สึกของหลานชาย ไอ้เวฟรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวของเรา

"ยัง ยัง เจ้าเรนยังไม่รู้เรื่องอะไร รู้แค่ว่าฝนเป็นเจ้าของร้านขายขนม ฝนนี่ก็จริงๆเลย เค้าคิดอะไรของเค้าอยู่วะ"

"เฮ้อ โล่งใจไป… เออ ก็พี่ฝนเค้าเป็นคนแบบนี้ไง ตอนโน้นมึงได้หลงรักเค้าหัวปักหัวปำ"

"…"

ผมนิ่งไปกับคำพูดของเพื่อน ไอ้เวฟมันพูดจี้ใจดำผมจริงๆ

ใช่... เพราะฝนเป็นแบบนี้ เป็นผู้หญิงที่นึกจะทำอะไรก็ทำตามใจตัวเอง ลมเพลมพัด บางทีก็คิดมาก หรือบางทีก็คิดไปเอง แต่บางทีก็ไม่คิดอะไรเลย ในตอนนั้นความคาดเดาไม่ได้ของฝนปั่นหัวเด็กมอปลายอย่างผมให้หลงใหลได้ชะงักงัน

"แต่เดี๋ยว นี่มึงตื่นเต้นอะไรนักหนาก่อน อย่าบอกนะครับว่าคุณมึงยังรักเค้าอยู่ เรื่องมันก็แม่งผ่านมาสิบห้าปีแล้ว" เพื่อนหรี่ตามองผมด้วยความสงสัย

ผมยังรักฝนอยู่หรือ… ไม่แล้วมั้ง…

"กูไม่รู้ แต่แค่เห็นหน้าเค้าแวบเดียวกูก็ใจเต้นแม่งแทบแย่" แต่ผมก็สารภาพกับเพื่อนไปตามความรู้สึกที่แท้จริง

"เออ แปลว่ามึงยังมีใจให้เค้านั่นแหละ ว่าแต่ตอนนี้มึงไม่ได้มีผู้หญิงคนอื่นในใจเหรอวะ หลังๆมานี่กูไม่ค่อยได้เจอมึง เลยไม่ได้อัปเดตเรื่องผู้หญิงของมึงซักกะที หล่อๆรวยๆอย่างมึงไม่น่ารอดนา บอกมา!" เพื่อนยังคงยิงคำถามที่ผมไม่อยากจะตอบ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสถานะเรื่องความรักของผมมันเป็นอย่างไรกันแน่

แม้ใบหน้าของคุณป้าจะโผล่แวบเข้ามาในหัวของผม แต่ผมก็รีบปัดดวงตากลมโตนั่นทิ้งไปก่อน ตอนนี้ผมอยากรู้เรื่องราวของฝนมากกว่า ผมจึงเปลี่ยนเรื่อง

"เออ แล้วไอ้เมฆล่ะ มึงได้ถามฝนเรื่องไอ้เมฆหรือเปล่า มันออกจากคุกมาแล้วหรือยัง" ผมถามถึงพี่ชายของฝน

เพราะไอ้เมฆคนเดียว… ชีวิตของพวกเราทุกคนถึงได้แปรเปลี่ยนไปเช่นนี้

"แล้วมึงทำไมไม่ถามฝนเค้าเองล่ะ"

"กูเจอเค้าแป๊บเดียว แล้วเค้าก็เดินหนีกูไป ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันเลย เผอิญกูอยู่กับลูก เลยปล่อยไปก่อน แต่กูก็รู้ว่าร้านขนมเค้าอยู่ที่ไหน"

"เออ งั้นไปคุยกันเองก็แล้วกัน กูก็ไม่ได้รู้เรื่องเค้ามากมาย เค้าแค่ติดต่อมาครั้งเดียวแล้วก็หายไป" เพื่อนรักทำท่าไม่อยากจะยุ่งเรื่องระหว่างผมกับฝน

ผมเข้าใจความรู้สึกของไอ้เวฟดี หนุ่มโสดอิสระสาวติดตรึมอย่างมันคงไม่อยากจะมาปวดหัวเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ละเอียดอ่อนซับซ้อนเช่นนี้…

ผมหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าร้านขนม 'My Rain' ที่ชั้นใต้ดินของห้างเซนเตอร์วัน กำลังพยายามรวบรวมความกล้าในนาทีสุดท้ายที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับคนที่ผมยังมีเขาอยู่ในใจเสมอ ผมเคยเห็นฝนมาแล้วครั้งหนึ่งที่ร้านนี้แน่ๆ แต่ตอนนั้นน้องพลอยกลับบอกว่าไม่ใช่ฝน ซึ่งผมก็เชื่อน้องพลอยเพราะไม่คิดว่าคนที่ตามหามาตลอดจะอยู่ใกล้ตัวผมขนาดนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนที่ผมเห็นที่ร้านนี้วันนั้นก็คือฝนจริงๆ แม้จะเห็นเธอเพียงแค่เสี้ยววินาทีผมก็ยังจำได้ นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าผมไม่เคยลืมเธอเลย…

มันถึงเวลาจริงๆแล้วใช่ไหมที่เราจะต้องเคลียร์ความคับข้องใจทั้งหมดที่มีมาตลอดสิบห้าปี…

เมื่อวานหลังจากได้พูดคุยปรึกษาระบายความในใจกับไอ้เวฟไป ผมก็กลับไปนอนคิดทั้งคืน และวันนี้ผมก็ทำงานอย่างไม่มีสมาธิทั้งวัน ในที่สุดผมจึงตัดสินใจที่จะมาหาฝนที่ร้านในตอนเย็นหลังเลิกงานทันที

ผมออกจากที่ทำงานเร็วกว่าปกติ ขณะเก็บของและลุกออกจากโต๊ะ ผมก็เหลือบไปเห็นสายตาที่มองมาอย่างสงสัยของคุณลิน เราสบตากันอย่างนั้นชั่วครู่ ผมอดใจหายไม่ได้ รู้สึกสับสนแปลกๆในใจ เมื่อวานคุณลินเธอต้องเห็นความผิดปกติของผมแน่ๆ เพราะหลังจากที่เราเจอฝนโดยบังเอิญที่หน้าหอศิลป์ ผมก็เงียบขรึมไปตลอดทั้งมื้ออาหารกลางวัน โชคดีที่ความช่างคุยของลิสาทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่กร่อยจนเกินไปนัก แม้ผมจะพยายามพูดคุยทำตัวอย่างปกติที่สุด แต่ก็คงไม่รอดพ้นสายตาคนช่างสังเกตอย่างคุณลิน ผมเห็นตากลมโตที่มีแต่คำถามของเธอส่งมาตลอดเวลา

เชี่ยเอ้ย! นี่เป็นจุดอ่อนของผมเลยว่ะ ผมปกปิดความรู้สึกไม่เคยได้ เล่นเกมวัดใจไม่เก่ง รู้สึกยังไงก็แสดงออกอย่างงั้น

ยอมรับก็ได้ว่า การได้เจอฝนอีกครั้งมันทำให้หัวใจของผมหวั่นไหว…

ฝนเป็นรักแรกของผม เป็นความทรงจำที่ไม่ว่าจะกี่ปีก็จะไม่มีวันจะเลือนหายไป เธออายุมากกว่าผมหลายปี เราเจอกันเพราะฝนมาสมัครเป็นนักร้องที่ผับของพ่อไอ้เวฟ สถานที่ที่ผมไปสิงอยู่เป็นประจำแม้ผมจะอยู่แค่ชั้นมัธยม

ผมยังจำวันที่เจอเธอครั้งแรกได้ ฝนมาในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงยีนรัดรูปพร้อมรองเท้าส้นสูง เธอแต่งหน้าจัด คิ้วเข้ม ปากแดง ไว้ผมยาวถึงกลางหลัง ผมของเธอดำขลับสลวยสวยงาม ฝนถนัดร้องเพลงฝรั่งแนวร็อกๆ เธอมีเสียงทุ้มดังกังวาน และที่สำคัญ… สายตาเซ็กซี่ขี้เล่นของเธอที่ส่งมาให้ผมขณะเธอร้องเพลงนั้น มันช่างมีเสน่ห์และเท่มาก

ผมตกหลุมรักฝนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ…

ความรักของเด็กวัยรุ่นมัธยมปลายกับนักร้องกลางคืน ไม่ต้องเฉลยทุกคนก็คงเดาตอนจบกันออก ตอนจบที่มาพร้อมกับความชุลมุนและความยุ่งยากซับซ้อน และหลังจากนั้นฝนก็ออกจากชีวิตผมไปโดยไม่บอกกล่าว

และในวันนี้ผู้หญิงคนที่ผมตามหามาตลอดสิบห้าปี เธอได้อยู่ตรงหน้าผมแล้ว เธอที่กำลังยืนอยู่หลังเค้านท์เตอร์ขนมนั่น แล้วฝนก็หันมาเห็นผมในที่สุด

"เซน!"...

"ร้านนี้มันเงียบดี คุยกันสะดวกหน่อย"

ฝนให้เหตุผลเรื่องการเลือกร้านหลังจากที่เราสั่งอาหารกันเรียบร้อย เธอพาผมมานั่งที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนเล็กๆบนชั้นสามของห้าง มันทำให้ผมคิดไปถึงใครบางคนที่ตาโตๆซึ่งผมยังไม่อยากคิดถึงเค้าในตอนนี้ เพราะผมกำลังมีคำถามที่ค้างคาในใจมาตลอดที่ต้องถามผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ก่อน

"ทำไมฝนไม่ติดต่อผมเลย ทำไมฝนต้องหายไปจากชีวิตพวกเรา รู้ไหมว่าผมตามหาฝนมาตลอด" ผมตัดพ้อด้วยความน้อยใจ มันคือสิบห้าปีแห่งความทรมาน

เธอจ้องหน้าผมนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมา

"ฝนรู้สึกผิด…" สายตาเธอบ่งบอกความรู้สึกนั้นจริงๆ

"บางทีฝนก็คิดว่า….ถ้าไม่มีพวกเรา…. ชีวิตของครอบครัวเซนน่าจะราบรื่นกว่านี้ ฝนไม่อยากให้เรนต้องมารับรู้เรื่องพวกนี้ ไม่อยากให้เซนต้องมาเกี่ยวข้อง"

"ฝน! ทำไมพูดอย่างนั้น ฝนก็รู้ว่าผมรัก... เอ่อ... ตอนนั้นผมรักฝนมากแค่ไหน" ผมทำเสียงละห้อย

ตอนนั้นผมรักเค้าจริงๆนะ แต่ตอนนี้ล่ะ…

"เซน... เซนต้องยอมรับความจริงนะ มันเป็นอดีตที่ไม่มีใครอยากพูดถึง ไม่มีใครอยากรื้อฟื้น"

การได้เจอฝนอีกครั้งทำให้ภาพของเรื่องราวในอดีตย้อนกลับขึ้นมาเตือนความทรงจำ อดีตที่ทุกคนอยากปิด อยากลืม เพราะต้องการปกป้องความรู้สึกของเด็กคนนึง …เจ้าเรน

"ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน…" ทำไมช่วงนี้ถึงมีเรื่องราวที่ผมไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันยังไงหลายเรื่องเกิดขึ้นต่อๆกันวะ

ท้ายสุดผมก็นั่งนิ่ง ความรู้สึกหลากหลายปะปนเข้ามาในใจ

ผมมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างเต็มตา ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ปีฝนก็ยังคงเป็นฝน ยังคงมีผมยาวสลวยดำขลับเช่นเคย ยังคงมีคิ้วคมเข้มตัดกับใบหน้าขาวคม นัยน์ตาคมนั่นยังคงมีเสน่ห์เหมือนเดิม อายุที่เพิ่มขึ้นไม่ทำให้ฝนสวยน้อยลงเลย ไม่แปลกใจที่ตอนนั้นทำไมผมหลงรักฝนหัวหมดใจ

แต่ครอบครัวของเธอกลับทำให้ความรักของผมต้องแปรเปลี่ยนเป็นความขม…

"เซนไม่ต้องกังวลไปนะ พี่เมฆเค้ายังไม่ได้ออกมาจากคุก คดียาเสพติดเค้าไม่ลดโทษให้ง่ายๆหรอก"

ฝนเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ตัวต้นเหตุของความยุ่งยากยังถูกกันให้ห่างไปจากครอบครัวของเรา

"ฝนขอบคุณเซนและครอบครัวของเซนจริงๆที่เลี้ยงเจ้าเรนมาอย่างดี ขอบคุณจริงๆนะ" เธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนและจริงใจ "ฝนเห็นเรนแล้วก็อดดีใจไม่ได้ เรนเป็นเด็กน่ารักจริงๆ"

"เรนเป็นของขวัญชิ้นพิเศษสุดที่ผมเคยได้รับมาในชีวิต" ผมยิ้มกว้าง นึกไปถึงลูกชายแล้วก็รู้สึกภูมิใจอยู่ลึกๆ "แต่ฝนต้องขอบคุณปู่เค้ามากกว่านะ ฝีมือปั้นของคุณปู่เค้าเลย"

"ฝน… เอ่อ ได้เจอท่านแล้ว ท่านยังดูแข็งแรงเหมือนเดิมเลยนะ" ฝนกระอ้อมกระแอ้มบอกมา

ห้ะ นี่ทุกคนได้เจอฝนแล้วก่อนหน้านี้ ยกเว้นผม! นี่มันอะไรกันวะเนี่ย! แล้วทุกคนก็ปิดบังผม!

ผมถอนหายใจยาว เฮ้อ จะโกรธหรือจะปลงดีวะ

"งั้นก็ดีเลย ฝนเข้าบ้านผมไปเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาเลย" เปิดเผยกันไปให้จบเรื่องจบราว

"ไม่นะ เซน ไม่เอา ขอฝนได้ดูเรนอยู่ห่างๆก็พอใจแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว" เธอรีบละล่ำละลัก

"ไม่ได้ ผมจะไม่ให้ฝนทำอย่างนั้น ตอนนี้ฝนอยู่ตรงนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพูดเรื่องนี้กับเจ้าเรน" ผมตัดสินใจแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องกล้าหาญในการยอมรับความจริง

"เซน! ไม่ได้นะ อย่าเด็ดขาด ฝนขอร้อง นะ… นะเซนนะ" เธอทำน้ำเสียงและทำสายตาเว้าวอน

อะไรกันวะเนี่ย มาอีกแล้วความออดอ้อนแบบนี้ ทำไมพวกผู้หญิงเค้าชอบคิดเยอะแล้วมีความลับกันนักวะ คุณลินก็คนนึงแล้ว นี่มาฝนอีก

เฮ้อ แต่จะว่าไปเรื่องเจ้าเรนนี่มันก็เซนซิทิฟจริงๆ เห็นทีผมคงจะต้องใช้ความคิดมากกว่านี้ แล้วก็คงต้องปรึกษาพ่อก่อนที่จะทำอะไรลงไป ไม่เป็นไร ยังไงฝนก็อยู่แถวนี้ ผมอาจจะต้องให้เวลาฝนบ้าง

มาถึงอีกคำถามสำคัญที่ผมจะอยากรู้ดีกว่า ผมสูดลมหายใจลึกๆก่อนจะกลั้นใจถามออกไป

"ตอนนี้ เอ่อ… ฝน… เอ่อ… ยังมีใครพิเศษอยู่ในใจไหม"

ก่อนจะนิ่งรอฟังคำตอบด้วยใจเต้นตึกๆ…

ผมจากฝนมาด้วยความรู้สึกแปลกๆในใจ เราคุยกับจนเกือบถึงเวลาห้างปิด ระยะเวลาของการจากกันที่ยาวนานทำให้ผมคิดอยู่บ่อยๆว่าตนเองจะลืมผู้หญิงคนนี้ได้สนิทใจ และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใครก็ได้ แต่ปรากฏว่าทุกครั้งที่ผมมองหน้าเจ้าเรน หน้าของฝนก็ลอยขึ้นมาทับซ้อนกันทุกครั้งไป ทำให้ผมไม่สามารถคิดจริงจังกับผู้หญิงคนไหนได้

จนเมื่อได้มาเจอกับผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนที่ตาโตๆและมาพร้อมกับรอยยิ้มอันแจ่มใสอยู่เสมอ เธอทำให้ภาพของฝนเลือนหายไปจากหน้าของเจ้าเรนได้ ผมแน่ใจในความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอ และพร้อมที่จะคบกับเธออย่างจริงจังเปิดเผย

แต่คุณป้าเธอกลับไม่พร้อม! อิหยังวะ!

แม้ปกตินิสัยผมจะเป็นคนหนักแน่น ไม่ใส่ใจคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องหยุมหยิม แต่เพราะผมแคร์คุณลินเขาจริงๆไง ทำให้คำพูดของคุณลินวันนั้นที่หัวหินกลับทำให้ผมอดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาไม่ได้

'เซนสัญญานะคะ ว่าจะเก็บเรื่องของเราไว้ก่อน ยังไม่เปิดเผยกับใคร'

หรือคุณป้าเขาจะเห็นผมเป็นแค่ของเล่นวะ?

ถือว่าอายุมากกว่าผมหลายปีแล้วจะปั่นหัวผมได้งั้นเหรอ ทำไมทำนิสัยเหมือนกับฝนในตอนโน้นเลยวะ

แต่วันนี้เห็นสายตาสงสัยบวกน้อยใจของเธอที่มองมาตอนที่ผมรีบออกมาจากออฟฟิศแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ เมื่อวานหลังจากเราแยกย้ายกันหลังมื้ออาหารเที่ยงแล้ว ผมก็ไม่ได้คุยกับเธออีกเลย ผมมัวแต่วุ่นวายใจหลังจากได้เจอฝนและไปนั่งคุยกับไอ้เวฟอยู่นานสองนาน กว่าจะกลับบ้านก็ดึกดื่น ได้แค่ส่งรูปสติ๊กเกอร์ฝันดีก่อนนอนให้เธอผ่านทางไลน์ เธอก็ได้แต่ส่งรูปยิ้มตอบกลับมาแค่นั้น

อือม์… ตอนนี้ป้าเค้าทำไรอยู่น้า…

ผมเดินมาหยุดยืนอยู่ที่จักรยานซึ่งจอดไว้ที่หน้าห้าง รู้สึกคิดถึงคุณป้าจับใจ โทรหาหน่อยดีกว่า ผมล้วงมือไปในกระเป๋าเป้เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ แต่ล้วงไปมาก็ไม่เห็นเจอ

เฮ้ย มือถือผมอยู่ไหนวะเนี่ย!

ผมเปิดเป้อออกว้างๆเพื่อดูแล้วดูอีก ควานหาทุกซอกทุกมุมก็ยังไม่เจอ พยายามนึกว่าครั้งสุดท้ายที่หยิบโทรศัพท์ออกมานี่คือเมื่อไหร่กันวะ อือม์ ตอนที่นั่งคุยกับฝนก็ไม่ได้ดูโทรศัพท์เลย คนที่โทรคุยด้วยครั้งสุดท้ายวันนี้น่าจะเป็นคุณไมตรี ที่ปรึกษาของบริษัทเรา คุยกันยาวเลย

เชี่ย สงสัยลืมไว้ที่ออฟฟิศแน่ๆ น่าจะชาร์จแบตทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะทำงาน เมื่อเย็นผมออกมาด้วยความรีบร้อน คงเผลอเอาเอกสารวางทับบนมือถือเอาไว้เลยไม่ทันได้สังเกตเห็น ทำไงดี ต้องขี่จักรยานย้อนกลับไปอีกเหรอวะเนี่ย วันนี้เหนื่อยมาก อยากจะกลับบ้านแล้ว คืนนี้ยังมีเรื่องของฝนที่ต้องให้คิดอีกเยอะ

โอเค งั้นปล่อยไว้งั้นแหละ คงไม่หายหรอก พนักงานบริษัทผมเราต่างมีความซื่อสัตย์และมีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน พ่อผมเขาปลูกฝังกันมาดี ไม่มีโทรศัพท์มือถือสักคืนคงไม่ตาย

แต่…

คิดถึงคุณป้าว่ะ อยากได้ยินเสียงอันสดใสของป้าก่อนนอนซักนิดก็ยังดี

แหม่ พรุ่งนี้ก็ได้เจอกันที่ออฟฟิศแล้วไหมครับ

ก็คืนนี้มันอยากได้ยินเสียงนี่นา

โอเคครับคุณเซน ขี่จักรยานย้อนกลับไปเอาก็ได้ครับ ดีนะครับที่ที่ทำงานของคุณอยู่ไม่ไกล…

ขณะที่ผมขี่จักรยานเลี้ยวเข้าซอยทองหล่อมาได้ไม่นาน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่คิดถึงอยู่กำลังเดินบนฟุธบาทผ่านไปด้วยอาการเหม่อลอย ผมรีบหยุดจักรยานแอบข้างทางทันที ยกมันขึ้นบนฟุธบาท แล้วรีบจูงจักรยานเดินตามเธอไป

นี่เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว ทำไมคุณป้าถึงมาเดินอยู่แถวนี้ หรือป้าเขาเพิ่งจะออกมาจากที่ออฟฟิศ แล้วกำลังเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าวะ

แล้วจู่ๆผมก็นึกโรแมนติกอยากเดินห่างๆไปส่งเธออย่างห่วงๆเพื่อจะส่งเธอขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน บางทีการได้เฝ้าดูคนคนนึงแบบห่างๆมันอาจเป็นความรู้สึกที่ดีกว่าที่คิดป่าววะ เหมือนที่ฝนเค้าอยากเฝ้าดูเจ้าเรนอย่างห่างๆไง

อือม์ ลองเฝ้ามองคุณป้าแบบห่างๆบ้างดีกว่า

ผมผ่อนฝีเท้าลงเพื่อจูงจักรยานเดินตามคุณป้าด้วยระยะห่างพอสมควร เธอเดินอย่างช้าๆไปข้างหน้าเรื่อยๆด้วยอาการใจลอยชอบกล ป้าเขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่ากำลังมีใครเดินตามมา นี่อันตรายนะเนี่ย แถวนี้ผู้คนก็เริ่มบางตาแล้วซะด้วย เดินเหม่อใจลอยอย่างนี้เจอฉกชิงวิ่งราวตอนดึกๆจะว่าไง

เอาวะ ยังไงผมก็ต้องได้เห็นป้าขึ้นบันไดสถานีรถไฟฟ้าอย่างปลอดภัย แล้วผมก็จะได้รีบขี่จักรยานกลับออฟฟิศเสียที

แต่ปรากฏว่าเธอกลับเดินผ่านสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อไป เฮ้ย คุณป้าเค้าจะเดินไปไหนของเค้าวะ

หรือจะมีนัดกับใครแถวนี้ตอนดึกๆ?

ก็ตั้งแต่คุณลินเขายึกยักเรื่องความสัมพันธ์กับผม มันทำให้ผมอดคิดถึงเรื่องของเราบ่อยๆไม่ได้ ผมชักรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วว่าสาเหตุจริงๆคืออะไรกันแน่ ป้าเขาต้องการเวลาไปทำไม คนเราจะชอบกันก็ชอบกันไปสิ ทำไมต้องคิดเยอะ

งั้นแอบเดินตามไปเงียบๆดีกว่า… เผื่อโป๊ะแตกจับได้ว่าป้าแอบมีกิ๊ก ส่วนเรื่องกลับไปเอาโทรศัพท์มือถือนั้นช่างมันก่อน ขาดไอ้เครื่องมือสื่อสารนี่ไปสักคืนคงไม่ถึงตาย

แต่เอ… หรืออันที่จริงผมควรจะรีบเดินให้เร็วให้ทันเธอวะ แล้วเข้าไปทักไปถามให้รู้เรื่อง ซึ่งผมก็คงได้คำตอบให้หายข้องใจ และก็คงจะได้ขี่จักรยานกลับไปเอาของสำคัญของผมที่ออฟฟิศเสียที

อย่าครับคุณเซน อย่าเพิ่งเข้าไปทักเธอ คุณเดินตามไปเงียบๆจะดีกว่าครับ ตื่นเต้นบวกโรแมนติกดีด้วยครับ

เชี่ย! นี่ผมกำลังจะทำตัวเป็นสต็อกเกอร์คอยแอบตามผู้หญิงหรือเปล่าครับ เกิดมาก็เพิ่งเคยทำอะไรแบบนี้นะครับ

ไม่ครับ คิดเป็นความโรแมนติกเข้าไว้ครับคุณเซน ขอแค่ได้เดินส่งเธอแม้เธอจะไม่รู้ตัว

โอเคครับ งั้นผมตามไปห่างๆละกันครับ…

เราเดินห่างๆกันเรื่อยๆตามแนวถนนสุขุมวิทผ่านโรงเรียนนานาชาติก็แล้ว ผ่านหน้าคอมมิวนิตี้มอลล์ไวน์คอนเนคชั่นก็แล้ว คุณป้าเธอก็ยังไม่หยุดเดิน ผมมองแผ่นหลังบางๆนั่นอย่างเพลิดเพลิน คุณป้าเขาเดินหลังตรง ทอดน่องอ้อยอิ่งช้าๆเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอต่อไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ…

โชคดีที่ถนนเส้นนี้มีฟุตบาทที่กว้างพอสมควรให้ผมเดินจูงจักรยานได้อย่างสบายๆ แม้บางช่วงจะมีเสาไฟฟ้า ป้ายรถเมล์ ต้นไม้ บันไดทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้า วินมอเตอร์ไซค์ ฝาท่อ ตู้ไปรษณีย์ ป้ายบอกเขต และขยะหรือขี้หมา มาขัดขวางการเดินอย่างโรแมนติกของผมไปบ้าง แต่ก็ยังนับว่าดีกว่าเดินตอนกลางวันอยู่มาก เพราะตอนดึกๆอย่างนี้เสียงรถราก็น้อยลง ฝุ่นควันก็เบาบางหน่อย และถ้าในตอนกลางวันที่ร้านค้าเปิด บรรดาแผงลอยและป้ายต่างๆจะเพิ่มอุปสรรคในการเดินหลายเท่าตัว

จู่ๆผมก็นึกสงสัยว่า หากคนกรุงเทพเขามีอารมณ์นึกอยากเดินบนทางเดินในเมืองอย่างโรแมนติกหน่อยแบบในประเทศญี่ปุ่นหรือในยุโรป ที่มีที่กว้างๆเดินๆกันแล้วมีตึกสวยๆอยู่ข้างทาง นี่เขาต้องไปเดินแถวไหนในกรุงเทพ?

หรือการเดินไม่ใช่กิจกรรมที่จะมาทำโรแมนติกกัน การเดินถือเป็นความเหนื่อยยากลำบากของชีวิตคนแถวนี้

ผมจำได้ว่าตอนผมเด็กๆ คุณมะพร้าวเคยเปิดวิดีโอหนังเรื่องหนึ่งให้ผมดูตอนปิดเทอมแล้วผมประทับใจมาก หนังชื่อเรื่องเด็กหญิงวัลลียอดกตัญญู ซึ่งในหนังวัลลีเขาอยู่ปอห้า และต้องวิ่งวันละแปดกิโลไปโรงเรียน แล้วก็วิ่งกลับมาแปดกิโลตอนพักเที่ยงเพื่อมาป้อนข้าวป้อนน้ำแม่ที่ป่วย แล้วก็วิ่งกลับไปเรียนอีก คุณมะพร้าวเขาดูไปน้ำตาไหลไปด้วยความสงสารวัลลี เขาบอกผมว่า คุณเซนต้องเรียนหนังสือให้เก่งๆนะครับ จะได้ไม่ยากจน มีรถขับ ไม่ต้องวิ่งไปมาอย่างนี้ ตอนนั้นผมสงสัยนิดๆว่าทำไมวัลลีเขาไม่ขี่จักรยานหรือขึ้นรถเมล์ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพราะคุณมะพร้าวเขาเอาแต่ร้องไห้ ผมจึงได้แต่จดจำไว้ว่าสัญลักษณ์ของความจนคือการที่ต้องเดินไปโรงเรียน

จนเมื่อไปใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่นนั่นแหละ ถึงได้เข้าใจว่า อ่อ… อือม์… ก็นะ… แถวๆนี้คนเขาคิดต่างออกไป

โอเค กลับมาที่การพยายามเดินอย่างโรแมนติกของผม ครึ่งชั่วโมงผ่านไป… ในที่สุดคุณลินเขาก็เดินเลี้ยวเข้าซอยเล็กข้างๆห้างเอ็มควอเทียร์

อ้าว นี่มันซอยทางไปบ้านคุณป้าเขานี่นา นี่คุณป้าเขาเดินเล่นเพื่อกลับบ้านรึ? อารมณ์ไหนของเค้า? เดินปล่อยใจใช้ความคิด? เดินออกกำลัง? เดินชมวิว? หรือจะเดินสำรวจร้านอาหารใหม่ๆ?

ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว ในที่สุดคุณป้าเขาก็เดินมาราธอนกลับจากที่ทำงานถึงบ้านโดยปลอดภัย ผมหยุดเดินแอบเข้ายืนข้างทาง รอดูอยู่ห่างๆ จนคุณลินเธอเดินเข้าประตูบ้านไปนั่นแหละถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ไม่ว่าเธอจะเดินด้วยอารมณ์ไหนก็ช่าง อย่างน้อยคืนนี้คุณป้าเขาก็ไม่ได้แอบนัดพบใครตอนดึกๆ…


next chapter
Load failed, please RETRY

Estado de energía semanal

Rank -- Ranking de Poder
Stone -- Piedra de Poder

Desbloqueo caps por lotes

Tabla de contenidos

Opciones de visualización

Fondo

Fuente

Tamaño

Gestión de comentarios de capítulos

Escribe una reseña Estado de lectura: C65
No se puede publicar. Por favor, inténtelo de nuevo
  • Calidad de escritura
  • Estabilidad de las actualizaciones
  • Desarrollo de la Historia
  • Diseño de Personajes
  • Antecedentes del mundo

La puntuación total 0.0

¡Reseña publicada con éxito! Leer más reseñas
Votar con Piedra de Poder
Rank NO.-- Clasificación PS
Stone -- Piedra de Poder
Denunciar contenido inapropiado
sugerencia de error

Reportar abuso

Comentarios de párrafo

Iniciar sesión