วันถัดมา…
ฉันรีบเข้าไปคุยกับคุณไมตรีแต่เช้า คุณไมตรีเป็นมือขวาของท่านประธาน เป็นพ่อบ้านของบริษัทเรา และเป็นผู้ใหญ่ใจดีมากที่สุดในโลกที่ฉันเคยเจอมา บุคลิกของคุณไมตรีดูจะหัวโบราณและเจ้าขนบธรรมเนียม ท่าทางเหมือนครูผู้ปกครองซึ่งมากับระเบียบอันเข้มงวดแต่ท้ายสุดก็ยอมแพ้นักเรียนอยู่ดี
"อ้าว คุณลิน เข้ามาครับเข้ามา มาดูนี่เร็ว" ชายวัยใกล้เกษียณกวักมือเรียกฉันเข้าไปหา นัยน์ตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
หากคุณราเชนทร์อดีตประธานบริษัทของเราเป็นหยิน คุณไมตรีคงจะเป็นหยาง ทั้งสองเป็นขั้วที่ต่างกัน แต่ก็เป็นคู่หูที่รู้ใจกันและตัวติดกันตลอดเวลา
คุณไมตรีอารมณ์ดีอยู่เสมอและเป็นคนคุยเก่ง ในขณะที่คุณราเชนทร์ผู้เงียบขรึมหน้าตานิ่งเฉยและพูดน้อย แต่ทั้งคู่ก็นับว่าเป็นผู้บริหารที่ใจกว้างกับพนักงานเท่าๆกัน
"ผมกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนเครื่องแบบยามของคุณประยุทธ์เค้าดีไหม ที่มีอยู่ตอนนี้มันดูไม่ค่อยขึงขัง นี่ผมกำลังดูแบบของต่างประเทศอยู่ ว่าที่นั่นพนักงานรักษาความปลอดภัยเขาแต่งตัวกันยังไง"
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนได้ไหมคะ วันนี้ลินมีเรื่องอื่นอยากคุยกับคุณไมตรีมากกว่าค่ะ"
ปกติฉันไม่เคยปฏิเสธที่จะคุยสัพเพเหระกับคุณไมตรี เราสองคนสามารถคุยกันได้อย่างสนุกสนานถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้เป็นชั่วโมง แต่ตอนนี้ฉันร้อนใจเรื่องของคุณเซนมากกว่า
"คุณเซนแกเข้ามาเปลี่ยนอะไรเยอะแยะเลย คุณไมตรีไม่ปรามอะไรแกบ้างหรือคะ คุณเซนยังเด็กอยู่เลย ประสบการณ์ทำงานแกอาจจะน้อย"
ฉันโพล่งออกไปตรงๆเพราะรู้ว่าคุณไมตรีจะไม่มีวันถือสา
คุณไมตรีชะงักจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วเอนหันพิงพนักจ้องมองฉันนิ่งๆ แล้วพูดขึ้นช้าๆด้วยใบหน้าอ่อนโยนใจดีเหมือนเคย
"คุณราเชนทร์แกปล่อยมือแล้วครับ คุณเซนสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อย่างที่คุณเซนต้องการ"
"แต่คุณราเชนทร์เป็นพ่อไงคะ แกอาจจะอยากตามใจลูกชาย ถ้าคุณไมตรีทักท้วง คุณราเชนทร์ก็คงฟังคุณไมตรีนะคะ" เหมือนฉันจะไม่พยายามเข้าใจสิ่งที่คุณไมตรีต้องการจะสื่อ
"แต่คุณเซนแกไม่ฟังผมหรอกครับ นี่ผมอุตส่าห์ย้ำแกไปว่าแกเป็นถึงเป็นผู้บริหารใหญ่สุดในบริษัทวันแรกต้องใส่สูทมาทำงานนะ แกยังใส่กางเกงยีนมาเลยครับ เฮ้อ"
คำพูดเหมือนจะตำหนิ แต่ใบหน้านั้นยิ้มแย้ม เหมือนคุณไมตรีจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการแต่งกายจริงๆ นี่ยังดีนะที่ในออฟฟิศเราไม่บังคับเรื่องนี้กับทุกคน ยกเว้นตำแหน่งยามกับแม่บ้าน แต่ถ้าเป็นที่โรงงาน โอ้โห เป็นระเบียบเรียบร้อยมายูนิฟอร์มเดียวกันหมดเลยจ้า
"คุณไมตรีก็อยู่บริษัทเรามานานมาก คุณไมตรียอมรับได้หรือคะ ที่ผู้บริหารคนรุ่นใหม่จะเข้ามาทำอะไรตามใจตัวเอง"
ชายสูงวัยพยักหน้าน้อยๆก่อนจะค่อยๆเอ่ยออกมา
"ผมแก่เกินไปแล้วครับ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว บริษัทเราต้องการคนรุ่นใหม่มาพัฒนาให้มันดีขึ้น ตัวคุณราเชนทร์เองเป็นถึงเจ้าของบริษัท แกยังไว้ใจในตัวลูกชาย ผมมันก็แค่ลูกจ้าง เถ้าแก่ว่ายังไง ผมก็ต้องว่าตามนั้นล่ะครับ"
ฉันจ้องมองชายวัยเกือบหกสิบตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เป็นทั้งความรู้สึกประหลาดใจที่เห็นแกปล่อยวางกับเรื่องของการทำงานอย่างง่ายดาย แต่ในขณะเดียวฉันก็เคารพในความคิดอันเปิดกว้างของแก
"แต่คนรุ่นใหม่ยังขาดประสบการณ์นะคะ"
ฉันยังไม่เชื่อว่าบริษัทของเราจะไปรอดภายใต้การบริหารงานของเด็กน้อยนั่น สามสิบกว่าปีที่คุณราเชนทร์ปลุกปั้นบริษัทนี้ขึ้นมา แล้วจู่ๆก็มายกให้ลูกชายที่เพิ่งจะกลับมาจากญี่ปุ่น ทำไมแกใจกล้าอย่างนี้หนอ
"ผมก็ยังอยู่ คุณราเชนทร์ก็ยังอยู่นี่ครับ มีอะไรคุณเซนแกก็ปรึกษาได้ อ้อ คุณลินอาจจะยังไม่ทราบ ผมคงจะไม่เข้าออฟฟิศทุกวันเหมือนเคยแล้วนะครับ ตอนนี้ผมนั่งตำแหน่งที่ปรึกษาแล้ว"
ฉันคิดว่าคุณไมตรีแกก็คงรอเวลานี้มานานเหมือนกัน หลังๆฉันสังเกตว่าแกดูเหนื่อยๆและหมดพลัง ไม่ต่างไปจากคุณราเชนทร์
"คุณลินอย่าเป็นกังวลไปเลยครับ เชื่อมั่นในตัวคุณเซนเค้าหน่อยนะครับ ให้เวลาเค้า เราอยู่ที่นี่มานานกว่า เรารู้จักตลาดในเมืองไทยและวัฒนธรรมการทำงานของคนไทยมากกว่า เราก็ต้องคอยเป็นพี่เลี้ยงให้คุณเซนกันครับ"
ดูเหมือนพ่อบ้านของบริษัทคนนี้จะวางใจในตัวเจ้าของบ้านคนใหม่มาก ไม่รู้ว่าคุณไมตรีเห็นอะไรในตัวเจ้าเด็กน้อยนั่น เค้าคงคุยๆกันมาก่อนหน้านี้ก่อนที่คุณเซนจะเข้ามาอย่างเป็นทางการ
ฉันถอนหายใจ ยิ้มให้คุณไมตรีอย่างเนือยๆ
ก็ได้… ฉันจะลองทำใจนิ่งๆ แล้วรอดูว่าโอปป้าของน้องเยลลี่คนนี้จะเป็นแม่ทัพพาพวกเราฝ่ามรสุมการแข่งขันทางธุรกิจในยุคปัจจุบันไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างที่คุณไมตรีและคุณราเชนทร์มั่นใจไหม…
อาทิตย์ถัดมา…
แค่การเปลี่ยนรูปแบบการนั่งทำงานแบบในคอกใครคอกมันมาเป็นการนั่งทำงานเผชิญหน้ากันแบบเปิดเผย นั่นก็น่าตกใจแล้ว
แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือ ในอาทิตย์ถัดมาที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการย้ายโต๊ะย้ายข้าวของไปยังผังที่ถูกจัดขึ้นใหม่
ท่านประธานคนใหม่โอปป้าคิมซูฮยอนของเยลลี่ก็เดินเข้ามาพร้อมกับโน้ตบุ๊คหนึ่งตัว เหลียวซ้ายแลขวา แล้วก็จับจองโต๊ะว่างตัวหนึ่งริมทางเดินใจกลางห้อง นั่งแปะลงที่โต๊ะทำงานอันแสนจะว่างเปล่าและแสนจะธรรมดาตัวนั้น ก่อนที่จะประกาศด้วยหน้าตาเฉยๆว่า
"ผมอยากจะนั่งทำงานร่วมกับพวกคุณทุกคนด้วย"
ห๊า! ท่านซีอีโอเด็กน้อยจะมานั่งทำงานรวมกับพวกเราด้วย โอ้ว มายกอช นี่เด็กน้อยเค้าคิดอะไรของเค้า เน้นความรักใคร่กลมเกลียวกันในออฟฟิศหรือไง
แล้วถ้ายังงี้ฉันจะแอบเม้าท์กับวิสกี้เพื่อนรักในเวลางานได้ยังไงกันล่ะ ทำไมชีวิตอิสระในห้องทำงานส่วนตัวน้อยๆของฉันต้องถูกลิดรอนไป ทำไมระดับหัวหน้าแผนกอย่างพวกฉันต้องระเห็จออกมานั่งรวมกับพนักงานคนอื่นๆ
แต่เด็กน้อยนั่นก็พูดจริงทำจริง ขณะที่พวกเรายังวุ่นวายกับการจัดโต๊ะทำงาน เอาข้าวของเครื่องใช้สิ่งละอันพันละน้อยขึ้นมาจัดเรียง กรอบรูปแฟนเอย ที่ใส่ปากกาลายกบเคโระ กระถางต้นกระบองเพชร
แต่หันไปมองทางท่านประธานบ้างค่ะ เด็กน้อยเค้าตั้งหน้าตั้งตามีสมาธิในการทำงานหน้าตาเฉย เฉพาะยามเมื่อต้องโทรศัพท์คุยงานสำคัญ เขาถึงจะเข้าไปคุยในห้องกระจกที่อดีตเคยเป็นห้องทำงานของหัวหน้าแผนกต่างๆอย่างพวกฉัน
"ซิส แล้วคราวนี้พวกหนูจะแอบเล่นเฟซกันยังไงอ่ะ" คิตตี้วิตกจริตขึ้นมาตามเคย
ทีมงานฉันเคลื่อนตัวมาจับกลุ่มกันล้อมรอบตัวฉันในทันทีเมื่อเห็นทีท่าไม่ชอบมาพากลของเจ้านายใหญ่
"หรือคุณท่านจะมาแอบมาสอดแนมความเคลื่อนไหวของพวกเรา" สุกรีคิดไปไกล
"นั่นสิ คุณเซนดึระเค้าคิดไงของเค้านะ" ฉันเห็นด้วยกับทีมงาน
"พี่ลินคะ เค้ามีแต่ 'ซึนเดเระ' รึเปล่าคะ" เยลลี่เอ่ยทักท้วงฉายาที่ฉันเรียกเจ้าเด็กน้อยนั่น
"ความหมายเดียวกันก็เป็นอันใช้ได้ค่ะน้องเยล" ในบางครั้งฉันก็เรียกแค่ชื่อเล่นสั้นๆของชื่อเล่นจริงๆของน้องเค้าเพื่อการประหยัดเวลา
"น้องลิน พี่เพ็ญว่าอย่างนี้ไม่โอนะคะ หัวหน้าจะมานั่งทำงานรวมกับลูกน้องได้ยังไง มันขาดความเป็นส่วนตัวนะคะ น้องลินเข้าใจพี่ไหมคะ"
คราวนี้พี่เพ็ญสาวใหญ่ประจำแผนกจัดซื้อผู้ซึ่งไม่นิยมความเปลี่ยนแปลงใดๆในชีวิตเคลื่อนตัวเข้ามากระซิบข้างหูฉัน
ขาดความเป็นส่วนตัวของหัวหน้า หรือขาดความเป็นส่วนตัวของพี่เพ็ญเองคะ?
ฉันรู้ว่าพี่เพ็ญก็เหมือนกับคิตตี้ ชอบโทรศัพท์เม้าท์กับเพื่อนสนิทมิตรสหายเป็นชั่วโมงในเวลางาน ใครๆก็ได้ยินกันทั่ว แต่ไม่มีใครเดือดร้อนจากเรื่องนี้ เพราะเอ่อ… ใครๆก็ทำกัน ทุกคนก็ทำงานไปเม้าท์โทรศัพท์เรื่องส่วนตัวกันไป …เป็นเรื่องปกติในออฟฟิศนี้
แต่เอาจริงฉันก็ชักสับสน การนั่งกันแบบเปิดเผยแบบไร้ศักดินากับบรรดาหัวหน้า มันดีหรือไม่ดียังไงกันแน่ ฉันไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน
แต่มันต้องไม่ดีแน่ๆ ไม่งั้นใครๆเค้าก็ทำแบบนี้กันไปนานแล้ว เพราะเท่าที่ฉันเคยรู้มา ไม่มีบริษัทไหนทำแบบนี้
"นั่นสิคะ แล้วอย่างนี้ความลับบริษัทไม่ออกมาถึงหูพนักงานหรือ" ฉันกระซิบตอบพี่เพ็ญไป
"ผมไม่มีความลับอะไรกับพวกคุณ และฝ่ายบริหารของเราก็ไม่มีความลับอะไรกับพวกคุณเช่นกัน พวกเราทุกคนในบริษัทไม่มีความลับต่อกัน"
ราวกับเด็กน้อยนั่นมีหูทิพย์ ตอนนี้พนักงานห้าสิบกว่าชีวิตเดินเข้ามารุมล้อมจ้องมองดูท่านประธานหน้าเด็กราวกับเป็นตัวประหลาด
"แล้วเอกสารต่างๆที่อยู่ในแฟ้มล่ะคะ เอกสารทางบัญชี ทางการผลิต คุณเซนจะให้พนักงานเดินไปเปิดดูได้ตามสบายหรือคะ คุณเซนเข้าใจไหมคะว่าบางอย่างมันต้องเป็นความลับ เข้าใจกันบ้างไหมคะเนี่ย" พี่เพ็ญแสดงความกล้าหาญทักท้วงออกไป
เอ ฉันชักเริ่มจะสงสัยตงิดๆแล้วว่า พี่เพ็ญมีความลับอะไรซ่อนอยู่ ทำไมถึงออกตัวต่อต้านนโยบายใหม่นี้แรงขนาดนั้น
"เราจะลดจำนวนการพิมพ์เอกสารลง ผมมีนโยบายจะใช้กระดาษให้น้อยที่สุด เอกสารจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบไฟล์เท่านั้น เอกสารความลับส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เช่นเรื่องเงินเดือน จะถูกใส่พาสเวิร์ดเอาไว้ เปิดได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง ตอนนี้เราจะเปลี่ยนมาทำงานกันบนเสิร์ฟเวอร์ส่วนกลาง จะไม่มีใครเก็บไฟล์ใดๆไว้บนเครื่องส่วนตัวอีกต่อไป ทุกคนจะต้องล็อกอินเข้าระบบทุกครั้งที่เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา"
เสียงฮือฮาพึมพำดังไปทั่ว มันเป็นสิ่งใหม่สำหรับพวกเราจริงๆ
"ส่วนเรื่องที่พนักงานคนอื่นจะแอบมาใช้เครื่องคอมพ์ของเรานั้นไม่ต้องกลัว เพราะหน้าจอของแต่ละคนจะถูกล็อกเอ้าท์โดยอัตโนมัติ หลังจากที่ไม่มีการเคลื่อนไหวบนหน้าจอเกินห้านาที เพราะฉะนั้นสบายใจได้หากคุณเดินไปเข้าห้องน้ำ"
เสียงฮือฮาพึมพำดังไปทั่วแล้วทั่วอีก มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับพวกเราจริงๆ
"ผมว่าสามนาทีน่าจะเหมาะสมกว่านะครับ" สุกรีหาญกล้าทักท้วงบ้าง
"โอเคครับ สามนาทีที่พวกคุณห่างจะหน้าจอ คุณจะถูกล็อกเอ้าท์ออกโดยอัตโนมัติ นโยบายของบริษัทในเรื่องไอทีและซีเคียวริตี้จะตามออกมาในไม่ช้า ทางแผนกไอทีของเรากำลังปรึกษากับฝ่ายทนายของบริษัทอยู่ครับ" คนผมตั้งอธิบายช้าๆด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างใจเย็น
เสียงฮือฮาพึมพำดังไปทั่วทุกตารางนิ้ว เหมือนท่านซีอีโอจะมีความคิดที่ก้าวไกลไปกว่าพวกเราหลายสเต็ปนัก
มันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ มันคือการเริ่มต้นใหม่สำหรับพวกเรา!
"การทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เราต้องการออฟฟิศแบบเปิด เพื่อให้พนักงานได้เดินคุยกันได้" คุณเซนดึระยังคงมีไอเดียที่ก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆโดยไม่สนสีหน้างุนงงของพวกเราแม้แต่น้อย
"แล้วอย่างแผนกจัดซื้อนี่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ด้วยหรือคะ" เสียงพี่เพ็ญถามออกไปด้วยน้ำเสียงท้าทาย
วันนี้พี่เพ็ญเค้ามาแรงแซงโค้งมาก ไม่รู้ว่าเพราะพี่เพ็ญอดรนทนไม่ไหวจริงๆที่จะอดเม้าท์ทางโทรศัพท์ในเวลางานแล้ว หรือพี่เพ็ญไม่ได้รู้สึกเกรงใจประธานหน้าอ่อน หรือพี่เพ็ญอยากเป็นตัวแทนของพวกเราในการต่อต้านความอยุติธรรม
"ไม่ว่าคุณจะทำตำแหน่งอะไร แผนกไหน ทุกแผนกต้องการหัวคิดที่สร้างสรรค์ครับ อย่างคุณเพ็ญศรีนี่ แผนกจัดซื้อใช่ไหมครับ ยิ่งต้องสร้างสรรค์ใหญ่เลย คุณจะแค่คิดว่าซัพพลายเออร์เจ้าไหนให้ราคาดีกว่าเท่านั้นไม่พอ แต่ต้องผนวกรวมไปกับว่าเค้าส่งของตรงเวลาไหม เค้าเสนอสิ่งที่ดีที่สุดที่เค้ามีอยู่ให้เราหรือเปล่า" น้ำเสียงและสีหน้ายังคงเรียบเฉยขณะอธิบาย
โอววววว…..
เสียงฮือฮาดังไปทั่ว ฉันคิดว่าไม่ใช่เพราะความหลักแหลมของเจ้านายใหม่ในการแจกแจงเรื่องของความสร้างสรรค์ที่จำเป็นต่อแผนกจัดซื้อ
แต่ทุกคนกำลังทึ่ง ว่าคุณเซนจำ
ชื่อของพี่เพ็ญได้ยังไง!
แล้วฉันก็คิดไปไกลกว่านั้น เจ้าเด็กนี่จะรู้จักชื่อของยามหน้าบริษัทด้วยหรือเปล่านะ หรือชื่อของแม่บ้านล่ะ หาเรื่องทดสอบดีกว่า
"แล้วตำแหน่งยามล่ะคะ ต้องสร้างสรรค์ไหม" พี่เพ็ญยังไม่ยอมแพ้ ยกนี้สนุกมาก ขอบอก!
"เท่าที่ผมสังเกตดูนะครับ คุณประยุทธ์แกเป็นคนสร้างสรรค์พอตัว แกจัดให้ที่สำหรับให้รถจักรยานยนต์จอดแบบเป็นระเบียบ"
"บร๊ะเจ้า! คุณเซนรู้จักชื่อลุงยุทธ์ด้วย!" เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกรอบ
หน้าตาก็ออกจะไร้ใจ แต่ทำไมรู้จักชื่อพนักงานไปทั่ว
"เจ๊ลินพูดอะไรบ้างสิครับ" น้องเอกกระซิบข้างหูฉัน น้องเอกเป็นเด็กที่ความจริงแล้วมาฝึกงานด้านบัญชี แต่ชอบเข้ามาป้วนเปี้ยนที่แผนกฉัน
"แล้วห้องทำงานเก่าของคุณเซนล่ะ ตอนนี้ทำเป็นห้องประชุมอีกงั้นหรือคะ" ฉันตอบสนองน้องเอก โดยการเปลี่ยนเรื่อง
"ผมให้จัดเปลี่ยนเป็นมุมพักผ่อนของพวกเราทุกคน มีชั้นหนังสือนิตยสาร และเราจะตกแต่งห้องด้วยโซฟาแบบต่างๆของบริษัทเรา ใครอยากจะเข้าไปนั่งเล่นตอนไหน หรือใช้เป็นที่โทรศัพท์คุยกับใครเมื่อไหร่ ก็ตามสบาย จะนอนพักสายตาซักงีบช่วงบ่ายๆก็ยังได้นะครับ"
"ห้ะ!"
"โอ้ว! ไม่เคยมีมาก่อน"
"อิหยังวะ?"
"เฮ้ย! นั่งเล่นในเวลาทำงานเนี่ยนะ!"
เสียงฮือฮาของพนักงานดังขึ้นเป็นรอบที่ล้านสำหรับวันนี้ ฉันเองก็จ้องมองคุณเซนอย่างประหลาดใจ โอเค คนเราต้องมีความคิดสร้างสรรค์ แต่การมีห้องให้คนไปนอนเล่นนั่งเล่นบนโซฟาในที่ทำงานแบบนี้ มันสร้างสรรค์เกินไปหน่อยมั้ย
แต่แม้เรื่องห้องนั่งเล่นจะเป็นเรื่องใหญ่ตอนนี้ ฉันก็อดที่จะแอบสำรวจการแต่งกายของคนหน้าเด็กไม่ได้ วันนี้เค้ามาด้วยเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม แล้วก็ยีนลักษณะเดิม เอ หรือจะใส่ตัวเดิมซ้ำๆกันเป็นอาทิตย์ แล้วนี่จะคุมโทนสีเสื้อผ้าไปถึงไหน ในชีวิตเค้าเคยใส่เสื้อสีแดงหรือสีเหลืองบ้างหรือเปล่า
"บริษัทเราขายโซฟา ผมอยากให้พวกคุณได้มีโอกาสใช้เวลากับโซฟาของแผนกออกแบบเค้าบ้าง"
กลับมาเรื่องห้องนั่งเล่น… คือยังไง ไม่เข้าใจ?
"ผมรู้ว่า โซฟาของเราราคาอาจจะสูงไปหน่อย หลายคนอาจจะไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ และหลายคนคงยังไม่เคยใช้เวลานั่งโซฟาของเราเกินห้านาที ตอนนี้ก็เป็นโอกาสของพวกคุณแล้วที่จะทำความรู้จักสนิทสนมกับโซฟาของเราให้มากขึ้น"
คำพูดนั้นหากฟังเผินๆดูจะเหมือนจะเป็นการให้ความสำคัญกับพนักงานอย่างยิ่ง แต่หากฟังดีๆ…
คุณเซนเค้ากำลังแอบแขวะฉันอยู่ต่างหาก! จะบอกว่าราคาโซฟาที่ฉันออกแบบมันสำหรับไฮโซโดยเฉพาะเรอะ! เอ้อ… ก็ใช่ ขนาดฉันเองยังต้องเก็บเงินตั้งนาน กว่าจะได้ผลงานของตัวเองไปประดับบ้านสักตัวหนึ่ง นี่ขนาดได้ราคาพนักงานแล้วด้วยนะเนี่ย
แต่ถึงงั้นก็เถอะ แหม พ่อเซนดึระ พ่อช่างแขวะ!…