บทที่ 7 : วันแรกของการทำงาน
TurKish_TEA >> แปล + เช็ก + เกลา
CM >> ตรวจ
********************************
วันจันทร์
เทพแห่งท้องฟ้าคงจะอารมณ์ไม่ดี วันนี้หมอกจึงลงหนัก
นี่เป็นวันแรกที่จางเย่จะเริ่มงาน เขาสวมสูทผูกเนคไทเรียบร้อย ก้าวอย่างมาดมั่นเข้าไปยังสถานีวิทยุนครหลวงอีกครั้ง และเดินหาออฟฟิศของช่องวรรณกรรมจนพบที่ชั้นบน สถานีวิทยุของพวกเขากระจายเสียงคลอบคลุมเขตจิงจินจี้*เป็นหลัก แต่หลายเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือก็สามารถรับคลื่นสัญญาณได้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบกับสถานีวิทยุส่วนกลางได้ แต่ถ้าเทียบกับสถานีท้องถิ่นในระดับเดียวกันแล้ว จำนวนผู้ฟังถือว่าเหนือกว่ามาก
ที่ห้องหัวหน้า
จางเย่เคาะประตูเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงจากข้างใน “เข้ามาได้” จึงผลักประตูเข้าไป คนที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานเป็นคนที่จางเย่พบตอนสัมภาษณ์งาน ชื่อว่าจ้าวกั๋วโจวอายุสี่สิบกว่าปี และยังเป็นคนดูแลรับผิดชอบช่องวรรณกรรมของสถานีวิทยุอีกด้วย ตำแหน่งนี้ในเมืองหลวงและหลายๆ เขตเรียกกันทั่วไปว่าผู้อำนวยการ แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นเป็นบางที่ เช่นทางเซียงหนาน เซียงเป่ยจะเรียกว่า ‘ผู้ตรวจการ’
“หัวหน้า”
“จางน้อยมาแล้ว นั่งลงสิ เตรียมเอกสารมาครบใช่ไหม?”
“ครบครับ”
“ดีเลย เดี๋ยวแผนกบุคคลจะทำเอกสารเข้าทำงานให้ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ดื่มน้ำดื่มท่าให้เรียบร้อยเสียก่อน เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปแนะนำกับทุกคนในออฟฟิศ”
“ขอบคุณครับ รบกวนคุณด้วยนะครับ”
จางเย่ค่อนข้างใส่ใจและระมัดระวัง แม้แต่กับบทสนทนาทั่วไป
หลังจากนั้น จ้าวกั๋วโจวก็เดินยิ้มพาจางเย่ไปยังช่องวรรณกรรม ออฟฟิศของช่องอยู่บนชั้นเดียวกันนี่เอง พื้นที่กว้างขวาง มีโต๊ะทำงานสามถึงสี่สิบตัว อาจเป็นเพราะรายการของวันนี้อัดเทปล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงไม่ได้อยู่ในสภาวะเร่งรีบแต่อย่างใด พวกที่เล่นเกมก็เล่นเกมไป พวกที่ชอบคุยก็จับกลุ่มคุยกัน จนเมื่อเห็นหัวหน้าเดินเข้ามา พวกเขาจึงวางเกมในมือลง วงสนทนาก็หยุดคุยเช่นกัน
“หัวหน้า”
“หัวหน้าอรุณสวัสดิ์ครับ/ค่ะ”
ทุกคนกล่าวทักทาย
จ้าวกั๋วโจวพยักหน้าให้พลางตบไหล่จางเย่ “ทุกคนหยุดสักเดี๋ยว ฉันจะแนะนำเพื่อนร่วมงานใหม่ให้รู้จัก นี่คือจางเย่ เพิ่งเรียนจบจากวิทยาลัยการสื่อสารกระจายเสียง คณะวิทยุและโทรทัศน์กระจายเสียง เขาจะมาร่วมงานกับพวกเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอให้ทุกคนต้อนรับด้วย” มหาวิทยาลัยการสื่อสารมวลชนนั้นแต่ก่อนคือวิทยาลัยการสื่อสารกระจายเสียงนครหลวง เพิ่งเปลี่ยนชื่อได้ไม่นาน ดังนั้นหลายคนจึงยังติดปากเรียกด้วยชื่อเก่า “...ที่นี่มีบางคนเป็นศิษย์เก่าสถาบันเดียวกับจางน้อย เท่ากับเป็นรุ่นพี่โดยตรง ฝากทุกคนช่วยกันดูแลคนใหม่ด้วยนะ”
เสียงปรบมือดังขึ้นประปราย บางคนมองมาอย่างกังขา
จางเย่ฉวยโอกาสนี้กล่าวทักทายและแนะนำตัวพอสังเขป
จากนั้นจ้าวกั๋วโจวก็หันไปเรียกชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูอายุไล่เลี่ยกับจางเย่หรือถ้าแก่กว่าก็คงแค่ไม่กี่ปี อย่างไรก็ตาม หากเทียบหน้าตากันแล้ว เขาหล่อเหลากว่ามากนัก “เถียนปิน เธอเป็นดีเจเหมือนกัน ช่วงนี้ช่วยดูแลจางน้อย สอนให้เขาคุ้นเคยกับงานด้วยนะ”
เถียนปินเข้ามาจับมือทักทายจางเย่ “สวัสดีจางน้อย ถ้าสงสัยอะไรก็ถามฉันได้เลย”
จางเย่รีบเขย่าตอบด้วยสองมือทันที “พี่เถียน ต่อไปคงต้องรบกวนพี่แล้ว”
จ้าวกั๋วโจวหันมาพูดกับจางเย่ “เสี่ยวเถียนเป็นดีเจรายการ ‘เรื่องสยองขวัญยามค่ำคืน’ เรียนรู้ฝึกฝนจากเขาไว้จะเป็นประโยชน์ต่อเธอมาก” ก่อนหน้านี้ช่องวรรณกรรมที่โลกเดิมของจางเย่ก็มีรายการเล่าเรื่องผีเหมือนกัน แต่ชื่อรายการต่างออกไป คงถูกแหวนเกมเปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง
หลังจบการแนะนำตัว จางเย่ไปจัดการเอกสารเข้าทำงาน กว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็สิบโมงครึ่งแล้ว จากนั้นจึงกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองตรงมุมห้อง ปกติแล้วโต๊ะมุมห้องจะเป็นทำเลยอดนิยมของใครหลายคน เพราะหลบเลี่ยงสายตาเจ้านายได้ดีทำให้อู้งานได้ ทว่ามุมที่จางเย่ได้ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหนึ่งมันอยู่ใกล้ประตูเข้าออก และสองมันอยู่ติดกับเครื่องกดน้ำดื่ม จึงมีผู้คนแวะเวียนมายังตรงนี้บ่อยครั้ง ในฐานะเด็กใหม่จางเย่ไม่มีทางเลือกมากนัก ถึงแม้ว่าตำแหน่งดีเจจะได้เงินเดือนสูงกว่าเลขานุการหรือบรรณาธิการในออฟฟิศ แต่เด็กใหม่ก็คือเด็กใหม่ ไม่มีที่นั่งเหลือให้เลือกได้
เถียนปินนั่งอยู่ตรงข้ามเขาโดยมีบอร์ดคั่นระหว่างกลาง
จางเย่ได้แต่มองไปรอบๆ อย่างไม่มีอะไรทำ ไม่มีใครให้งานเขาทำเลย เขาลุกขึ้นไปถาม “พี่เถียน พี่ว่าผมควรเริ่มทำหรือเรียนรู้อะไรก่อนดี?”
เถียนปินเหลือบมองเขา แต่สีหน้าของเถียนปินกลับไม่เหมือนตอนที่อยู่ต่อหน้าหัวหน้าอีกต่อไป บอกอย่างไม่สนใจไยดี “นายก็ทำตัวให้คุ้นเคยไปก่อนสิ”
“อ้อ” จางเย่ไม่ถามอะไรอีกต่อไป
พักเที่ยงที่ห้องอาหารของสถานี จางเย่ใช้โอกาสนี้ทักทายเพื่อนร่วมงานในแผนก “สวัสดีพี่สาวหวัง ผมเพิ่งมาใหม่ ขอฝากตัวด้วยครับ”
หวังเสียวเหม่ยกวาดตามองหน้าของเขา ส่งเสียงอืมในลำคออย่างไร้ท่าที ก่อนหันไป
จางเย่ตั้งใจจับมือทักทายกับเธอ ผลลัพธ์กลับต้องเก้อกระดากเสียเอง
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มจับความได้จากที่ทุกคนพูดคุยสนทนากันว่า หวังเสียวเหม่ยที่อายุประมาณสามสิบปีคนนี้ เป็นเดือนในหมู่ดาวของออฟฟิศ เป็นพี่สาวอันดับหนึ่งของช่องวรรณกรรม เธอเป็นผู้จัดรายการ ‘พูดคุยรอบโลก’ ที่มียอดผู้ฟังสูงสุดในช่องของพวกเขา เป็นรายการที่เกี่ยวกับมนุษยชาติและประวัติศาสตร์ โดยหยิบยกทั้งอดีตและปัจจุบันมาพูดคุยกัน หวังเสียวเหม่ยเป็นผู้จัดรายการที่เก่งและหน้าตาดี อันที่จริงเธอไม่ได้สวยจนน่าตื่นตะลึงเหมือนเหราอ้ายหมิ่น แต่ทุกคนที่เห็นต่างต้องยอมรับว่าเธอเป็นคนสวย เพียงแต่จางเย่ไม่ได้หลงใหลไปกับเธอ เพราะแม้ว่าหวังเสียวเหม่ยจะหน้าตาดี แต่กลับไม่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เทียบกับคุณน้าเจ้าของห้องของเขาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ตลอดทั้งวันจางเย่พยายามพูดคุยทักทายสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ แต่ดูเหมือนจะไร้ผล ราวกับว่าไม่มีใครอยากผูกมิตรกับเขาเลย เหมือนเป็นเพียงส่วนเกิน
เถียนปินก็คนหนึ่งแล้ว
หวังเสียวเหม่ยก็อีกคน
จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงานจางเย่จึงรู้สาเหตุ เมื่อบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างพนักงานรับโทรศัพท์กับเถียนปินและสาวสวยคนหนึ่งเข้า สาวสวยคนนี้น่าจะเป็นภรรยาของเถียนปินเสียด้วย ดูจากการที่ทั้งสองจับมือถือแขนกัน เธอคงมาหาสามีหลังจากเลิกงาน
“พี่เถียน จางเย่คนนั้นถูกรับเข้ามาได้ยังไงกันน่ะ?” พนักงานรับโทรศัพท์ถาม
เถียนปินเบ้ปากพลางส่ายหัว “ใครจะไปรู้ล่ะ แค่เห็นหน้าฉันก็ให้ตกแล้ว”
พนักงานรับโทรศัพท์ถอนใจ “นั่นน่ะสิ หน้าตาอย่างนั้นรับเข้ามาเป็นดีเจได้ยังไง? ไม่รู้ว่าทางช่องคิดอะไรอยู่ เป็นฉันยังดีเสียกว่า”
เถียนปินสำทับ “จางเย่ไม่มีวันดังได้แน่นอน”
พนักงานรับโทรศัพท์กล่าวต่อ “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องดังไม่ดังเลย จะได้จัดรายการหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ ทุกรายการของช่องวรรณกรรมต่างก็มีดีเจประจำอยู่แล้ว อย่างมากเขาก็เป็นได้แค่ตัวสำรองเอาไว้เผื่อใครลาใครป่วยเท่านั้น คิดเหรอว่าเขาจะได้จัดรายการน่ะ? รอยันปีหน้าก็ยังไม่ได้ทำหรอก เหอะ นี่ถ้าไม่เป็นเพราะดีเจตัวสำรองคนก่อนถูกย้ายไปช่องข่าว คนหน้าตาอย่างนั้นคงไม่มีวันได้มาทำงานในช่องวรรณกรรมหรอก”
ภรรยาของเถียนปินเหยียดยิ้ม “กระทั่งคนอย่างนั้นยังถูกจ้างเนี่ยนะ? น่าตลกจริงๆ”
เถียนปินกล่าวต่อ “หัวหน้ายังใช้ฉันสอนงานด้วยอีก ดูสิฉันมีเวลาที่ไหนกัน”
ภรรยาเขาพูด “ก็ไม่ต้องไปสนใจเขาสิ ถ้าเขาไม่มีรายการเป็นของตัวเอง เดี๋ยวทางสถานีก็ย้ายเขาไปแผนกอื่นเองแหละ”
ทั้งสามคนเดินไปคุยไป ไม่สังเกตว่าจางเย่ที่อยู่ตรงทางเข้าตึกพลอยได้ยินไปด้วย นินทาฉันลับหลังเรอะ? อยากให้ฉันโดนย้ายออกไป? คนพวกนี้มันเป็นอะไรกันวะเนี่ย! เห็นชัดว่าพนักงานรับโทรศัพท์อิจฉาความโชคดีของจางเย่ ส่วนดีเจคนอื่นๆ ต่างก็ไม่คิดว่าจางเย่จะประสบความสำเร็จ ในสายตาของพวกเขาจางเย่เป็นแค่ดีเจสำรอง ไม่ได้แตกต่างไปจากตัวสำรองทั่วไป เมื่อเป็นแบบนี้ จึงไม่มีใครในช่องวรรณกรรมสนใจเขา
ใครบอกพวกนายว่าฉันจะไม่ดัง?
ใครบอกพวกนายว่าฉันจะไม่ได้จัดรายการ?
คอยดูเถอะ ฉันจะทำให้พวกนายแหกตาดูฉันใหม่!
ผู้คนไล่ตามชื่อเสียงและทรัพย์สินเพื่อชีวิตตนเอง จางเย่ไม่ได้โลภแบบนั้น เขาต้องการเพียงชื่อเสียงไม่ใช่เงินทอง เขาจะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อโด่งดังให้ได้ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุดที่แหวนเกมตั้งไว้ นั่นก็คือ “ได้เป็นซูเปอร์สตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”! ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น เขายอมละทิ้งทุกสิ่งเพื่อไขว่คว้าหาชื่อเสียง ไม่เชื่อหรอกว่าจะทำมันไม่ได้! ส่วนเรื่องอื่นๆ อย่างพวกเงินทองน่ะเหรอ? หึ เรื่องเงินจะสักเท่าไรเชียว มันจะไปเทียบกับชื่อเสียงได้ยังไง? เขาไม่แยแสเรื่องขี้ผงพรรค์นั้นหรอก ไม่สนใจเรื่องเงินเลยแม้แต่น้อย ไม่สนใจจริงๆ….
เอ๋ เดี๋ยวนะๆ!
จางเย่ชะงักกึกตรงทางเข้าทิศตะวันตกของสถานีรถไฟ ก่อนยื่นเท้าไปเหยียบของบางอย่างไว้ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนสังเกต ก็ก้มลงเก็บเงินสิบเฟิงที่ไม่รู้ใครทำตกไว้ใส่กระเป๋าอย่างเนียนๆ ก่อนออกเดินต่อ
จริงสิ เมื่อกี้พูดถึงไหนนะ?
อ้อ ใช่แล้ว! ใครบอกว่าฉันจะไม่ได้จัดรายการ? หา? ใครบอกพวกนายแบบนั้น?
(* ผู้แปล: เขตจิงจินจี้ หมายถึงเขตเศรษฐกิจตอนเหนือของประเทศจีน ครอบคลุมนครปักกิ่ง นครเทียนจิน และมณฑลเหอเป่ย)
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
TurKish_TEA : เจอคำว่า เครื่องกดน้ำแล้วคิดถึงตอนนั้นแฮะ ยังคงเข้าใจว่าเป็นลานน้ำพุ จน CM เข้ามาถึงรู้ว่าเป็นเครื่องกดน้ำต่างหาก ลั่นมั่กกกกกก 55555
Teepo_V : -/////-”