"ท่านเทวดา…" เด็กหนุ่มคาดเดาจากเงาว่าสิ่งนั้นเป็นมนุษย์เพศชาย โชคดีที่พ่อของเขาไม่ได้กดทับเขาเอาไว้แน่น ยังเหลือช่องว่างให้ร่างของเขาพอขยับเขยื้อนได้อยู่ เอลมิคใช้ข้อศอกลากตัวเองออกมาจากจุดนั้นจนหลังเขาชนเข้ากับลำต้นแข็ง ๆ แล้วสายตาเขาก็จดจ้องไปที่ผู้ชายคนนั้นทันที จากการกราดสายตาและมองดูจากระยะไกล ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะอายุมากกว่าเขาเพียงสามปี แม้รูปร่างจะไม่สูงใหญ่ราวกับเทพบุรุษ ผิวพรรณจะไม่เปล่งแสงนวลใสออกมา แต่ด้วยท่าทางและแสงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยสาดแสงลงไปยังตำแหน่งที่เขายืนอยู่ ก็ช่วยทดแทนรัศมีในจินตนาการของเอลมิคให้กับชายหนุ่มได้
ชายผมตั้งสั้นสีดำสนิท ดวงตาสีน้ำตาลไม้ สวมชุดคลุมขนสัตว์สีน้ำตาลอ่อนซีดที่ดูซอมซ่อแต่ก็หนาพอสมควร มือซ้ายของเขาจับคันธนูยกขึ้นตั้งฉากกับพื้นไว้แน่น ปากเขาขมุบขมิบราวกับกำลังบ่นบางอย่างกับตัวเอง
"ฮึ่ม หนาจริงด้วยแหะ" ชายหนุ่มพยายามคิดคำนวนบางอย่างในขณะที่ศัตรูของเขายังคงแผดเสียงร้องอันน่าสยดสยองอย่างไม่ลดละ เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ร่างของสิ่งนั่น แล้วใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าหนังสัตว์ข้างเอวที่มีลายแกะสลักอยู่รอบกระเป๋า ลวดลายบนนั้นดูพิลึกราวกับไม่ใช่งานศิลปะของมนุษย์ยุคปัจจุบันแต่ก็ไม่แปลกมากเกินไปจนสะดุดตา หนังแข็ง ๆ ของมันไม่หย่อนลงเมื่อชายหนุ่มสอดมือเข้าไปในช่องกระเป๋า สายที่ทำจากหนังย่น ๆ คาดพาดไหล่อีกด้านของเขาแล้วห้อยยาวลงมายึดกับหนังด้าน ๆ สองฝั่งของกระเป๋า มันยึดติดราวกับถูกเย็บหรือเชื่อมติดด้วยอะไรบางอย่างคล้ายเวทมนตร์แต่ก็ดูเหนียวและแข็งแรงใช่เล่น หากเขาขยับกระเป๋าทรงประหลาดนี้ไปไว้ที่แก้มก้นสักข้างมันคงจะครอบคลุมได้จนเกือบหมด แต่เมื่อมือของเขาโผล่พ้นออกมาจากกระเป๋า มันก็ติดลูกศรที่มีความยาวเกือบเท่าขาออกมาด้วยได้อย่างมหัศจรรย์ ความยาวของลูกศรกับขนาดของกระเป๋านั้นดูผิดสัดผิดส่วนกันอย่างชัดเจนแต่เขาก็สามารถดึงมันออกมาได้จนสุดและเมื่อลูกศรอยู่ในมือ เขาก็ไม่รอช้ารีบยกลูกศรง้างกับสายแล้วดึงมาแนบแก้ม
*ฟิ้ว* *ฉึก* ครั้งที่สามเสียบเข้าไปที่ขาหน้าด้านขวาของมัน แม้จะไม่ลึกมากแต่หัวลูกศรก็ฝังอยู่ข้างในแล้วเรียบร้อย
ชายหนุ่มยิ้มให้เมื่อเห็นผลลัพธ์แต่ก็ชะงักเล็ก ๆ เมื่อพบว่าดวงตาของศัตรูกำลังจ้องมาที่เขาไม่กะพริบ และดวงตานั้นก็กำลังปะทุไฟแค้นอันลุกโชนอยู่ข้างใน เขาไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองหลงระเริงแล้วเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ เขาสอดมือเข้าไปในกระเป๋าใบเดิมแล้วหยิบลูกศรขึ้นมาอีกดอก ความเร็วตั้งแต่การหยิบลูกศรไปจนถึงการง้างสายธนูขึ้นมาแนบแก้มนั้นราวกับสายฟ้าที่แลบออกมาเพียงชั่วครู่ยามฝนฟ้าคะนอง แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าคือการที่มือของเขาลากลูกศรเล่มยาวออกมาจากกระเป๋าใบอ้วนกลมนั้นได้ราวกับกระเป๋านั้นคือประตูมิติขนาดย่อม เขาปล่อยสายธนูที่ถูกดึงจนตึงออกไป หวังจะได้ลูกตาอีกข้างของเจ้าหมาป่า แต่มันไม่ง่ายเช่นนั้น เจ้าหมาป่าไม่ผงะหรือสะดุ้งสักนิดกลับโยกหัวของตัวเองเล็กน้อยแล้วใช้เกล็ดตรงหน้าผากรับลูกศรนั้นไว้อย่างง่ายดาย ลูกศรกระทบเข้ากับเกล็ดเกิดเสียงสะท้อนดังสนั่น ท่อนไม้หักครึ่งแยกเป็นสองส่วนหมุนติ้วอยู่กลางอากาศโดยไร้หัวลูกศรที่กระเด็นหลุดลอยออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ชายหนุ่มยิ้ม เขาไม่แสดงอาการตกใจแม้แต่น้อย หนำซ้ำกลับรีบดึงลูกธนูออกมาเพิ่มแล้วพ่นลูกธนูออกไปอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหมาป่าไม่คิดยืนเฉย มันรีบกระโจนเข้าไปใส่ศัตรูผู้สร้างบาดแผลให้กับตัวมัน แค่การกระโดดเพียงหนึ่งครั้งก็ตะปปถึงชายหนุ่มแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงแค่ในความคิดของเจ้าสัตว์ยักษ์ ชายหนุ่มเคลื่อนที่หลบเจ้าสัตว์ร้ายที่เข้ามาประชิดตัวได้อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ หนำซ้ำการเคลื่อนไหวของเขากลับเงียบเชียบและง่ายดายราวกับไม่ต้องพยายาม แต่เจ้าหมาป่าก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ปรับที่อ่อนหัด แม้ดวงตาที่แสดงออกถึงความบ้าคลั่งและไร้สติแต่การขยับเขยื้อนในแต่ละกระเบียดนิ้วนั้นผ่านการคำนวนมาเป็นอย่างดี ไม่มีการเคลื่อนไหวใดที่มันสร้างขึ้นนั้นเป็นไปอย่างสิ้นเปลือง แม้การจู่โจมจะพลาดไปในครั้งแรกแต่ก็สามารถเกิดครั้งที่สองตามมาได้อย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของมันละเอียดอ่อนดุจภาพวาดแต่ยักษ์ก็คือยักษ์ การกระโจนเข้าไปตะครุบครั้งนี้ดันทำให้ต้นไม้ที่อยู่รอบข้างหักขาดและล้มเทไปหมด เมื่อหนึ่งต้นล้มก็พาลเอาต้นที่อยู่รอบข้างสองสามต้นร่วงตามต่อกันไปเป็นลูกโซ่ ภายในพริบตาเดียวจากป่ารกชัฎก็ถูกเปลี่ยนเป็นลานโล่งเตียนที่มีซากต้นไม้หักกระจายอยู่ตามพื้น
ชายหนุ่มหลบหลีกความพังพินาศที่เกิดขึ้นได้โดยไม่หลั่งเหงื่อแม้เพียงสักหยด เขากลับยิ้มเหยาะชอบใจในการกระทำของเจ้าสิ่งนั้น "เล่นกวาดต้นไม้ล้มแบบนี้ คิดจะไม่ให้ข้าหลบเลยสินะ เจ้าหมาน้อย" สีหน้าและน้ำเสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เขาต้องการหยอกล้อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาให้นานที่สุดเพราะนั่นเป็นแผนที่เขาคิดเอาไว้ เมล็ดพันธุ์ที่เขาได้หว่านทิ้งเอาไว้ในร่างของมันกำลังงอกเงยเพียงแต่เขาไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเพียงใดกว่ามันจะออกผล สิ่งที่ควรเขาทำในตอนนี้คือการรอคอยและคอยหลบไม่ให้เล็บขนาดยักษ์ของมันตัดหัวเขาไปเสียก่อน
แต่เจ้าหมาที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังถูกลูบคมกลับดูไม่สนุกไปด้วย มันเริ่มแยกเขี้ยวออกมา หากใครผ่านมาได้เห็นเขี้ยวยักษ์ที่มีขนาดเท่าลำตัวท่อนบนของคนคงเป็นลมล้มพับไป น้ำลายที่ไหลเอ่อออกมาจากปากจนหยดลงไปบนพื้นเพราะเก็บอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวไว้ไม่อยู่ยิ่งทำให้เจ้าสัตว์ประหลาดนั้นดูน่าสยดสยองเข้าไปใหญ่
"บาเก็สต์ หมาโลหิตเกล็ดหิน…เห็นชื่อตามที่เขียนไว้ในภารกิจก็นึกว่าเจ้าจะดูน่ารักกว่านี้ แต่ไหงกลับเป็นตัวประหลาดแบบนี้ไปได้กันนะ" ชายหนุ่มพูดกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้า "ดูท่าแล้ว แค่ ณาน ระดับหยาบก็เพียงพอจะตามการเคลื่อนไหวของเจ้าทันแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงก็ห้ามประมาท" คันธนูที่อยู่บนมือซ้ายในทีแรกได้เปลี่ยนกลายเป็นท่อนไม้ผิวเรียบตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ มันดูคล้ายปล้องไม้ไผ่ที่มีสีน้ำตาลอ่อนเหมือนเนื้อต้นสักและบนพื้นผิวก็มีลวดลายแกะสลักซึ่งดูคล้ายกับลวดลายบนกระเป๋าข้างเอวนั่น ภาพแกะสลักนั่นมีอยู่รอบท่อนไม้นั่นจนไม่เหลือที่ว่างและมันก็ดูเงาวับเมื่อต้องสะท้อนแสง ชายหนุ่มหยุดนิ่งไม่ขยับเหมือนกับกำลังจ้องอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า แต่ดวงตาของเขาไม่ได้ไปหยุดที่เจ้าหมายักษ์นั่นแต่อย่างใด
"ข้าขอค้อนสงครามหน่อย" เขาพูดขึ้นมาเสียงดังฟังชัดและในทันทีที่เขาพูดจบ ท่อนไม้ที่อยู่ในมือซ้ายของเขาก็เรืองแสงจ้าราวกับหิ่งห้อยนับร้อยตัวมาต่อกันเป็นโครง ปลายทั้งสองด้านของมันถูกยืดออก ปลายข้างหนึ่งถูกยืดไปจนติดกับพื้นขยายความหนาและความกว้างของมันออกเป็นก้อนสี่เหลี่ยมโดยที่ผิวหน้าด้านข้างข้างหนึ่งถูกทำให้โค้งเว้าจนมุมทั้งสี่มีลักษณะเป็นปลายแหลมยื่นออกมา อีกผิวหน้าด้านตรงกันข้ามถูกยืดดัดเป็นจงอยแหลมจนไม่เหลือเค้าทรงสี่เหลี่ยมซึ่งต่างจากอีกด้านโดยสิ้นเชิง
ไม่ทันที่แสงสว่างในมือข้างซ้ายจะก่อร่างเสร็จสมบูรณ์ดี เจ้าหมาตัวนั้นก็กระโจนพุ่งเข้าใส่เขาอีกรอบ และแน่นอนว่าเขาไม่พลาด ชายหนุ่มก้าวเท้าซ้ายขวาเพียงไม่กี่ก้าวก็พ้นการโจมตีของมัน เขาเขยิบออกไปทางด้านขวา การหลบหลีกของเขาพลิ้วไหวและสวยงามเหมือนกับกำลังเต้นระบำอยู่บนทุ่งหญ้า ทันทีที่เขาเริ่มหาสมดุลได้ ปลายเท้าข้างหนึ่งก็จิกแน่นอยู่บนพื้นแล้วเกร็งสะโพกบิดหมุนตัวพร้อมส่งแรงเหวี่ยงไปที่มือซ้ายขวาที่กำค้อนไว้แน่น ตัวของเขาหมุนจนเกือบเสียสมดุลแต่ก็หยุดนิ่งเมื่อค้อนของเขาไปกระทบกับอะไรบางอย่างบนร่างของเจ้าหมายักษ์ที่กำลังลอยค้างอยู่ในอากาศ
*แพล้ก* เสียงอันน่าสยดสยองเกิดขึ้นเมื่อเขารับรู้ได้ถึงแรงกระแทกที่ส่งกลับมา เขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน เมื่อครั้งที่เขาไปยืนดูการประหารที่ลานเฟรดเซีย ณ เมืองท่า เพชรฆาตผิวดำสวมหน้ากากเทพแห่งการทำลายที่ถูกใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหน้ากากที่เคยมีสีขาวนวลมีสีแดงซีดไปทั้งใบ เขายกค้อนเล่มโตขึ้นเหนือหัวแล้วเหวี่ยงตัวของเขาทั้งตัวขึ้นไปบนฟ้า เมื่อส่วนหนา ๆ ของค้อนเล่มยักษ์นั่นฟาดลงไปที่กระโหลกใบโตของนักโทษที่กำลังนอนคว่ำหน้าลงบนพื้นพร้อมกับสวดภาวนาให้สิ่งนี้จบลงไปโดยเร็วไว เสียงทั้งสองแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน ต่างกันตรงที่ตอนนี้ไม่มีเสียงและกลิ่นอ้วกเหม็น ๆ ของชาวเมืองที่มาดูการประหารรอบข้าง
"อั่ก" ชายหนุ่มกระอักเบาๆ
แม้ศัตรูของเขาจะจู่โจมพลาดเป็นครั้งที่สอง แต่มันก็ไม่ได้โง่เขลากลับเรียนรู้ได้เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อปลายเท้าหน้าทั้งสองของมันแตะลงไปที่พื้น มันรีบดีดตัวไปข้างหน้าพร้อมกับหมุนตัวกลับมากระโจนเข้าใส่อีกครั้ง ชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งสติดีและไม่มีเวลาจะคิดหาทางโต้คืน เขากระโดดพุ่งสวนไปด้านหน้าและหวังจะลอดไปใต้ท้องมันให้ได้ซึ่งก็สำเร็จไปได้อย่างฉิวเฉียด เส้นผมตั้ง ๆ ถูกดันลู่ไปข้างหลังเมื่อสัมผัสกับใต้ท้องของสัตว์ยักษ์ แต่เจ้าสุนัขป่านั้นดุร้ายกว่าที่คิด เมื่อมันกระโจนตกลงมาแล้วไม่พบเหยื่อ มันก็หมุนตัวพร้อมใช้หางของมันที่เต็มไปด้วยเกล็ดหินแข็ง ๆ กวาดพื้นรอบตัวโดยหวังว่าชายหนุ่มจะผลัดโดนหางของมันบี้ร่างจนแหลก โชคดีนักที่รัศมีการโจมตีครั้งนี้ไม่โดนเขาจัง ๆ แต่แรงกระแทกจากลมและเศษดินที่ถูกขุดขึ้นมาพัดกระแทกส่งตัวเขาลอยถอยออกไปสี่ห้าก้าว แต่การโจมตีที่ไม่ถูกจุดไม่ใช่ความผิดพลาดที่แท้จริง ความผิดพลาดจริง ๆ ของมันคือการใช้หางกวาดถูให้ฝุ่น หญ้าและใบไม้ลอยคุ้งเต็มอากาศจนเกิดเป็นหมอกฝุ่นหนาบดบังวิสัยทัศน์ของมัน มันพยายามชะโงกหัวมองหาศัตรูของมันแต่ก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านอากาศที่อัดแน่นไปด้วยฝุ่นดินและดูคล้ายจะไม่จางหายไปง่าย ๆ
ชายหนุ่มเริ่มตั้งตัวได้ สิ่งแรกที่เขาทำคือการประคองแขนขวาของตนและอุทานออกมาในใจ
'อึก แขน…แขน' ถ้าเทียบขนาดของค้อนที่ทำจากเหล็กกล้าชั้นดีกับแขนทั้งสองของเขาก็คงเหมือนนำตะเกียบไปเทียบกับท่อนซุง เขาไม่ใช่ชายร่างยักษ์ที่จะสามารถเหวี่ยงโยนค้อนสงครามไปมาราวกับเชือกได้ หนำซ้ำการเหวี่ยงในครั้งนั้นเขายังต้องใช้แรงหมุนทั้งตัวถึงจะเหวี่ยงไปโดนเป้าหมายได้อย่างจัง ถึงจะเข้าเป้าแต่แรงสั่นสะเทือนที่ส่งกลับมาก็ทำเอาร่างของเขาชาจนไม่รู้สึก เมื่ออาการชาหายไปอาการล้าก็ก่อเกิดขึ้นตามมา แขนทั้งสองของเขาสั่นไม่หยุด เขาไม่สามารถที่จะแบกค้อนเล่มโตนั้นไว้ได้แล้ว ตอนนี้ในมือขวาของเขาถูกแทนที่ด้วยท่อนไม้แกะสลักท่อนเดิมมาสักพักแล้ว
'ข้าไม่น่าอยากลองดีในเวลาแบบนี้เลย แต่ทำไงได้ล่ะ ก็คนมันอยากรู้นิ ว่าตัวอักษรสีแดงมันต่างจากตัวอักษรสีดำยังไง 'คุณลักษณะของท่านไม่เหมาะสมกับอุปกรณ์' งั้นหรอ 'ความแข็งแรงไม่ถึงเกณฑ์' ยังงั้นหรอ หึ ก็เจ้าให้ข้าเสกมันออกมาได้ ข้าก็นึกว่าข้าใช้มันได้ หรือเจ้าเองก็นึกสนุกอยากหลอกให้ข้าลองใช้มันละสิ เจ้ากระเป๋าบ้า' มุราห์รำพึงในใจ
ถึงแม้สภาพร่างกายของเขาจะพร้อมไม่เต็มร้อยแต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่เอื้ออำนวยให้เขาได้หย่อนใจเมื่ออากาศที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ใสแจ๋ว เมื่อเศษใบไม้และเศษฝุ่นลอยหายไปก็เผยให้เห็นรูปร่างขนาดมโหฬารร่างหนึ่งลอยพุ่งตรงดิ่งมาที่เขา แม้สมาธิจะเริ่มอ่อนลงแต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ยังคงน่าทึ่ง เขาก้าวหลบการพุ่งกระโจนของเจ้าสุนัขได้อีกครั้ง แต่เขาไม่มีโอกาสได้สวนกลับเนื่องจากความเร็วในการพลิกตัวกลับของเจ้าสุนัขพร้อมการกระโจนพุ่งเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาไม่สามารถจะนึกวิธีต่อกรกับมันได้ทัน
แม้ชายหนุ่มจะดูคุ้นชินและคุ้นเคยกับการต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาดประเภทนี้และคล้ายว่าเขาจะทำมันได้อย่างเชี่ยวชาญ (โดยการปล่อยให้เจ้าหมายักษ์ทำลายป่าที่อยู่รอบข้างจนไม่เหลือเค้าเดิมและตัวเขาเองก็คอยแต่วิ่งหลบไปเรื่อย ๆ ) แต่เขาก็สารภาพกับตัวเองในใจตลอดการต่อสู้ว่านี่เป็นสัตว์สร้างที่แกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา ทั้งขนาดตัว ทั้งความเร็ว และสัญชาตญาณในการไล่ล่าเหยื่อของมัน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมาเผยตัวในป่าที่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านของคนเช่นนี้ได้ เหตุผลที่เขายังรอดชีวิตอยู่ได้ไม่ใช่ว่าเขาแข็งแกร่งกว่ามัน แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาเลือกรับบทเป็นเหยื่อของมันต่างหาก เหยื่อที่เคลื่อนที่ได้อย่างว่องไวและคล่องแคล่วเพื่อประวิงเวลารอให้ผู้ล่าของมันเหนื่อยไปเองเสียก่อน แต่ดูจากรูปแบบการหายใจของตัวเขาเองในตอนนี้แล้วเห็นทีว่าเขาจะต้องคิดใหม่
การไล่ล่าครั้งนี้กินเวลาไปนานพอสมควร ดวงอาทิตย์ค่อยๆคล้อยหายไปหลบใต้ใบไม้และกิ่งไม้ที่อยู่ห่างออกไป แสงสว่างเริ่มจางลงออกไปจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน ทั้งสองฝ่ายกระโดดเคลื่อนที่ไปมาในพื้นที่ที่โล่งเตียนนับร้อยก้าวก็ยังไม่ถึงตัวกันเสียที
ชายหนุ่มเริ่มหอบหนักและใบหน้าที่เคยเนียนใสตอนนี้ก็ดำเลอะไปด้วยฝุ่นและคราบเหงื่อ เขาเริ่มเปลี่ยนวิธีคิดใหม่เมื่อปลายเท้าของเขาที่จิกลงไปบนพื้นเริ่มสั่น มือขวาของชายหนุ่มที่ถือท่อนไม้เอาไว้เริ่มส่องแสงอีกครั้ง ครั้งนี้มันกลับหดเล็กลงแต่ขยายขนาดความกว้างออก หิ่งห้อยนับร้อยตัวประกอบกันออกมาเผยให้เห็นโครงร่างของดาบเล่มหนึ่งที่ดูคล้ายกับมีดแต่มีความยาวมากกว่า ดาบสั้นเล่มนี้ไม่ได้ดูใหญ่จนน่ากลัวแต่ด้านคมทั้งสองนั้นดูอันตรายอย่างบอกไม่ถูก เหล็กกล้าสะท้อนแสงที่ยังคงหลงเหลือเล็ดลอดผ่านลงมาเงาวับสว่างจ้า ด้วยรูปร่างที่เล็กโปร่งของชายหนุุ่มและความแข็งแกร่งของร่างกายที่ไม่ได้มาก ทำให้เขาไม่ถนัดการจับถือดาบหรือกระบี่ที่มีความยาวสักเท่าไหร่นักและการจะเข้าไปฟาดฟันในระยะประชิดก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาโปรดปรานเช่นกัน แต่ถ้าหากจำเป็นต้องทำดาบสั้นก็เป็นอาวุธที่เขาเลือกใช้อยู่เสมอ
แต่ในขณะที่หัวของเขาคิดแต่เรื่องของการนำคมมีดไปปักศัตรู เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขี้ยวเล็บของเจ้าสุนัขได้เข้ามาถึงตัวเขาเรียบร้อยแล้ว การเหม่อลอยเพียงแค่เสี้ยววินาทีของเขาก่อให้เกิดหายนะขนาดใหญ่ที่ปิดฉากการไล่ล่าครั้งนี้ เจ้าสุนัขวาดขาของมันแล้วฟาดเล็บขนาดใหญ่เข้าใส่ลำตัวของเขาที่หุ้มเพียงแค่ชุดคลุมบาง ๆ
*แคร้ก*