บทที่ 5
[นับหนึ่ง]
เลิกเป็นเพื่อนแล้วมาเป็นคนรัก
ผมรู้สึกตื่นเต้นกับคำนี้ที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวซะจนลิ้นแข็งลิ้นคับปากพูดไม่ออกเลยขอตั้งสติสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเพื่อที่ผมจะได้พูดออกไปอย่างชัดเจนไม่มีสะดุด
"และเปลี่ยนจากเพื่อน..."
ผัวะ! โครม!
เอ๊ะ เอ๋!?!
จู่ๆ ก็เจ็บแปลบไปครึ่งหน้าและเซล้มกระแทกไปกับโซฟาด้านหลัง ผมยกมือขึ้นจับบริเวณที่ปวดแล้วหันไปมองหน้าควินซ์อย่างมึนงงปนไม่เข้าใจว่ามันต่อยผมทำไม
"ควินซ์..."
นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่ควินซ์ลงไม้ลงมือกับผม!
"ไม่ต้องมาเรียกชื่อกู!" เสียงเกรี้ยวกราดตะคอกกลับจนผมสะดุ้งแล้วหุบปากฉับทันทีและได้แต่มองร่างสูงโปร่งตรงหน้าตาปริบๆ
"..."
ควินซ์ตัวสั่นด้วยความโกรธและมองผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ "จู่ๆ มึงเป็นบ้าอะไรขึ้นมา!"
เอ่อ ทำไมควินซ์ต้องโกรธด้วย ผม ผมทำอะไรผิดวะ
เมื่อผมอึกอักเพราะยังสับสนอยู่ว่าตัวเองทำอะไรผิดพูดอะไรผิดก็ยิ่งทำให้ควินซ์โมโหมากกว่าเดิม คนหน้าสวยแค่นยิ้มแล้วส่งเสียงเหอะออกมาเบาๆ "ได้! มึงอยากเลิกคบกับกูใช่มั้ย ได้! ไอ้เหี้ย! อยากตัดเพื่อนใช่มั้ย เออ!"
"เฮ้ย ไม่ใช่นะ!"
ผมเบิกตาโตขึ้นมาทันทีเมื่อรับรู้และเข้าใจแล้วว่าคำพูดของตัวเองนั้นกำลังทำให้ควินซ์เข้าใจผิดอย่างแรง รีบลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อจะคุยแก้ไขความเข้าใจผิดแต่ควินซ์ผลักผมออกอย่างแรง
"ถอยไป!" ผลักผมออกเสร็จก็ก้าวขายาวๆ เดินออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีก
"ควินซ์!" รีบตามไปสิ ผมรีบตามเขาออกไป
ปกติควินซ์ไม่ใช่คนเดินเร็วแต่ตอนนี้เดินไปนู้นแล้วจนผมยังอึ้งและตามเขาแทบไม่ทัน แต่ผมก็เบาใจเรื่องหนึ่งเพราะที่นี่ห่างจากถนนใหญ่หารถกลับไม่ได้ ยังไงซะควินซ์ก็ไปไหนไม่ได้
"ควินซ์! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!" ผมตะโกนเรียกเสียงดัง
เจ้าของชื่อยังคงเดินต่อไปแถมยังเร่งเท้าเดินหนีผมอีก ผมแสยะยิ้มเพราะยังไงควินซ์ก็หนีไปไหนไม่รอด... ซะที่ไหน!
จู่ๆ บริเวณหน้าร้านก็มีแท็กซี่เคลื่อนเข้ามาจอด เมื่อควินซ์เห็นก็รีบวิ่งไปหารถแล้วผลักคนที่น่าจะเป็นคนโทรเรียกรถให้มารับเข้าไปและสอดตัวเองเข้าไปนั่งตามจากนั้นก็ปิดประตูดังโครมก่อนจะหันไปพูดอะไรกับคนในรถสักอย่าง
"ควินซ์!" ผมร้องเสียงหลงอย่างไม่อยากจะเชื่อการกระทำบ้าบิ่นของควินซ์
เท้าของผมหยุดลงได้แต่ยืนโง่งมอยู่ตรงลานจอดรถอย่างทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองรถแท็กซี่เคลื่อนออกจากร้านไปอย่างรวดเร็วและพาควินซ์จากไป มิหนำซ้ำก่อนจะไป ไอ้เลขาตัวแสบยังหันกลับมาเปิดกระจกและชูนิ้วกลางใส่ผมอีก
"ไปตายซะ ไอ้คนเฮงซวย!"
มันจะมากไปแล้วนะ ควินซ์!
ริมฝีปากของผมเม้มเข้าหากันอย่างหงุดหงิด ยกมือขึ้นเสยผมตัวเองแล้วทึ้งมันอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด ล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ขึ้นมาจะสูบแต่นึกได้ว่าไม่มีไฟแช็กอยู่ที่ตัวจึงขยำกล่องบุหรี่และปาทิ้งลงพื้น
บัดซบเอ๊ย! นี่มันบ้าอะไรวะ!
ในระหว่างที่ผมกำลังยืนหงุดหงิดอยู่นั้นก็มีเสียงจากด้านหลังถามขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ
"เอ่อ คือ... เรือ เรือพร้อมแล้วครับ ขึ้นเรือได้เลยครับ"
ผมหันกลับไปถลึงตาใส่
"ขึ้นเรือบ้านแกสิ!"
"เอ่อ.."
"เมียกูหนีไปแล้วเห็นมั้ย!"
ปัดโธ่เว้ย!
จะสารภาพรักแต่ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ!
----
"เห ทำไมกลับบ้านมาได้เนี่ย"
เสียงทุ้มแหบของเด็กหนุ่มดังขึ้นพร้อมกับใบหน้างงๆ ของนับสองโผล่เข้ามาในสายตาของผม ไม่ได้ตอบน้องชายได้แต่ถอนหายใจแล้วก็ถอดรองเท้าเงียบๆ
ตอนนี้ผมกลับมาถึงบ้านแล้วทั้งที่คิดว่าวันนี้จะไปนอนคอนโดแต่คิดอีกที...กลับบ้านดีกว่า เฮ้อ
"นี่ก็บ้านพี่ ทำไมพี่จะกลับไม่ได้" ผมสวนกลับไปแล้วถอนหายใจเหมือนหมดอะไรตายอยาก "ในครัวมีอะไรกินบ้าง"
"ยังไม่ได้กินข้าวเย็นมาอีกเหรอ นี่จะเที่ยงคืนแล้วนะ" นับสองตำหนิแล้วขมวดคิ้ว "พี่ควินซ์ไม่เตือนรึไงว่าให้พี่กินข้าว"
พอได้ยินชื่อนี้แล้วท่าทางของผมยิ่งห่อเหี่ยว หน้าตาซึมเป็นหมามากกว่าเดิมเสียงทอดถอนหายใจยิ่งดังขึ้นไปอีกจนนับสองเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความสงสัย
"เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า"
ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดีที่น้องใส่ใจและถามไถ่ขนาดนี้
ตั้งแต่ที่พวกเราปรับความเข้าใจกันในหลายๆ เรื่องเมื่อหลายปีก่อนทำให้เราสนิทกันมากขึ้น นับสองเองก็ปรับปรุงตัวดีขึ้นมาก แน่นอนว่าผมต้องปรับปรุงตัวเยอะมากแต่มันก็ทำให้ผมเลี้ยงน้องได้ดีขึ้นมาก เป็นเรื่องน่ายินดี
นับสองดูแลใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้น ตอบแทนความรักความเอาใจใส่ของทุกคนอย่างเท่าเทียม(พี่ชายสามคนน่ะแบ่งความรักให้อย่างเท่าเทียมแต่กับไอ้เวรเก้านี่ลำเอียงสุด อิจฉาครับ!) อันนี้เป็นเรื่องที่พี่ชายอย่างผมที่เลี้ยงน้องมาตั้งเล็กแต่น้อยปลื้มปริ่มจนน้ำตาไหลจริงๆ
ผมรู้ดีว่าตัวเองกับพี่ไอศูรย์น่ะเลี้ยงนับสองมาตามใจขนาดไหนและผิดขนาดไหน นับสองมีนิสัยเสียยังไง พวกผมรู้ดีที่สุด ต่อให้เอาแต่ใจ พวกผมก็จะมองว่ามันน่ารักเสมอ น้องทำผิดก็แล้วไง ไม่ผิด
โชคดีที่โตมานับสองไม่ได้เสียคนขนาดนั้น เอ่อ จริงๆ อาจจะมีเสียคนไปช่วงหนึ่งแต่น้องก็กลับมาได้.... ต้องขอบคุณไอ้เก้า (ชิ ไม่อยากจะขอบคุณมันหรอกนะแต่ก็ต้องขอบคุณ)
"คิดอะไรอยู่ ผมถามป๋าอยู่นะ" เสียงเรียกอีกครั้งของนับสองทำให้ผมหลุดจากภวังค์ห้วงความคิด
"ไม่มีอะไร" หลบตาแล้วเดินผ่านน้องไปยังห้องครัว
นับสองเดินตามมาแล้วกวาดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า "สภาพหงอยเป็นหมาขนาดนี้ พี่ควินซ์ด่ามารึไง"
"ดูออกขนาดนั้นเลย" ผมหันไปจ้องหน้านับสองคอแทบหัก
"ทุกครั้งเวลาป๋าโดนพี่ควินซ์สวดพี่ควินซ์บ่นก็เป็นแบบนี้" ชี้นิ้วขึ้นลงแล้วส่ายหัว "นั่งซึมไปเป็นวันๆ เลยด้วย"
"ไม่ขนาดนั้นมั้ย พูดเหมือนป๋ากลัวควินซ์มากอ่ะ" ผมเถียงแล้วรีบเดินหนี
นับสองยิ่งเดินตามติด "ผมก็เห็นป๋ากลัวพี่ควินซ์จริงๆ นี่หว่า" น้องเดินตามผมมาถึงในครัวและยืนกอดอกมองผมที่กำลังหาของกินในตู้เย็นไม่ยอมจากไปง่ายๆ ทำไมเวลาแบบนี้ไอ้เก้ามันไม่มาตามน้องผมกลับไปเนี่ย
"ป๋าไม่ได้กลัว!" จริงๆ นะ ทำไมผมต้องกลัวไอ้ควินซ์ด้วย
พยายามเมินนับสองแล้วหยิบน้ำผลไม้กับชามผักสลัดออกมาจากตู้เย็น เดินเบี่ยงหลบน้องชายตัวดีไปนั่งที่โต๊ะทานอาหาร แต่น้องมันก็ยังตามมานั่งข้างๆ
"ไม่มีอะไรทำรึไง" ผมอดไม่ได้ที่จะออกบปากไล่อ้อมๆ
"ไม่ไปจนกว่าจะรู้ว่าพี่กับพี่ควินซ์ทะเลาะอะไรกันมา" นับสองโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อย "ปกติถ้าพวกพี่ทะเลาะกันวันนี้ พรุ่งนี้ก็ดีกันแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดขนาดนี้เลย"
พอนับสองพูดแบบนี้แล้วผมก็พาลคิดถึงวันพรุ่งนี้ที่เราตกลงกันตั้งแต่แรกว่าจะไม่เข้าบริษัทก็ปวดหัวขึ้นมา พรุ่งนี้ควินซ์ไม่เข้าบริษัทแน่ๆ แล้วไอ้ร้านสปงสปาร้านนวดที่ควินซ์ชอบไปมันร้านไหน ผมก็ไม่รู้อีก
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจหยิบน้ำสลัดงาเทราดใส่ผักแล้วตักกินโดยไม่พูดไม่จาจนนับสองยิ่งขมวดคิ้ว
"ทะเลาะกันหนักเลยเหรอ" น้องถามเสียงเบา
"ไม่เชิง" ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก "พี่พูดชวนให้เข้าใจผิดเอง ควินซ์เลยโกรธ"
"ยังไง"
จนแล้วจนรอดผมก็เล่าตั้งแต่ต้นจนจบให้นับสองฟังซึ่งน้องก็นั่งฟังเงียบๆ ไม่ขัดอะไร จนกระทั่งผมเล่าจบ... นับสองก็ยังไม่พูดอะไรจนผมหวั่นใจขึ้นมา
"พี่ควรทำยังไง" อดไม่ได้ที่จะถามก่อนอย่างคนไม่รู้จะทำยังไง
อันที่จริงผมตามควินซ์ไปถึงบ้านเขาแล้วด้วยแต่อีกฝ่ายไม่ได้กลับบ้าน แถมคอนโดควินซ์ในกรุงเทพมีเป็นสิบ ผมก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหน โทรหาก็ปิดเครื่องหนี สุดท้ายผมเลยต้องกลับบ้านมาก่อน เฮ้อ
"อันที่จริงผมก็อยากด่าพี่เหมือนกัน" นับสองส่ายหัวไปมา "พูดอะไรโง่จริงๆ เลย"
มึงด่ากูแล้วครับน้อง
นับสองเคาะโต๊ะไปมาอย่างใช้ความคิดแล้วอดไม่ได้ที่จะแขวะผม "ปกติเห็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มีตลอดคู่ควงไม่ขาดสายแต่ทำไมพอเป็นพี่ควินซ์ถึงทำตัวเหมือนเด็กสิบสี่เพิ่งมีความรักได้เนี่ย"
ใบหูของผมแดงก่ำแล้วพูดระรัว "คู่ควงพวกนั้นไม่มีแล้วเถอะ แล้วอีกอย่างคนพวกนั้นเป็นคนเข้าหาพี่ก่อน พี่ไม่เคยจีบใคร"
"ลืมไป...พี่เคยจีบไอ้จินแต่ก็จีบไม่ติด" ทำไมต้องขุดเรื่องเก่าเก็บมาแขวะกันด้วย! "ผมเชื่อแล้วว่าพี่จีบใครไม่เป็นจริงๆ"
"อย่าพูดดังได้มั้ย" ผมเอ็ดนับสองเบาๆ "แล้วตกลงมีคำแนะนำให้พี่มั้ย"
"ตอนนี้คิดไม่ออก" ยักไหล่แล้วหยิบแก้วน้ำผลไม้ของผมไปกิน
ผมถามเชิงขู่ "อยากรีบแต่งงานกับไอ้เก้ามั้ย"
"โอเค ผมคิดออกแล้ว" น้องผมมันกลับกลอกที่หนึ่ง!
พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ง้างมือตบกะโหลกน้องชายสุดที่รัก หันกลับมากินสลัดผักต่อเงียบๆ ปล่อยให้นับสองนั่งคิดไป น้องเงียบไปพักหนึ่งได้แล้วค่อยพูดขึ้น
"ยังไงพรุ่งนี้พี่ควินซ์ก็ต้องไปทำงาน พี่ต้องหาโอกาสอธิบายกับพี่ควินซ์ตรงๆ ไปเลย ไม่อยากเป็นเพื่อนไม่ใช่ตัดเพื่อนแต่อยากเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนมาเป็นคนรักต่างหาก"
"พรุ่งนี้พี่กับควินซ์ไม่เข้าบริษัท" ผมว่าเสียงอ่อย "พวกเรานัดจะไปร้านนวดแผนไทยร้านสปากัน"
"งั้นพี่ก็ตามไปง้อพี่ควินซ์ที่ร้านสิ" นับสองดีดนิ้วดังเป๊าะ "จ่ายเงินค่าคอร์สค่านวดค่าสปาให้พี่ควินซ์ หาจังหวะอธิบายยังไงพี่ควินซ์ก็ยอมฟังอยู่แล้ว พี่ควินซ์เขายอมพี่จะตาย บางทีตอนนี้พี่ควินซ์อาจจะนั่งเครียดที่ตัวเองเผลอต่อยหน้าพี่อยู่ก็ได้"
ผมจินตนาการถึงภาพควินซ์กำลังทำหน้าเครียดเพราะผมทันควันจากนั้นก็หลุดยิ้ม
แน่นอน ควินซ์ต้องคิดถึงผมและแคร์ผมอยู่แล้ว ตอนนี้ต้องหายโกรธผมแล้วแน่ๆ หรือบางทีอาจจะกำลังคิดมาง้อผมก่อนก็ได้นะ!
"ควินซ์เขาแคร์พี่มากใช่มั้ย" ผมถามอะไรโง่ๆ ออกไป
"แน่นอนสิ ดูไม่ออกรึไง"
เออ ดูไม่ออก!
ดูออกจะถามมั้ย
"แล้วมันมีโอกาสที่ควินซ์จะแอบชอบพี่อยู่บ้างมั้ย แบบแอบชอบอยู่ลึกๆ อะไรแบบนี้" ผมถามอย่างตื่นเต้นและมองนับสองอย่างคาดหวังในคำตอบ
น้องทำหน้าครุ่นคิดแล้วพยักหน้า
"ผมว่ามีโอกาสที่พี่ควินซ์จะชอบพี่นะ"
ตึกตัก ตึกตัก
"แต่อาจจะเลิกชอบไปแล้วรึเปล่า เพราะพี่ผมมันคนเจ้าชู้วววว"
ให้ความหวังและตัดความหวังกันขนาดนี้
ต่อยกันสักยกมั้ย นับสอง!