หลังจากนั้นเคียวก็ทำไม้ทำมือพูดกับอะไรสักอย่างที่กูณฑ์มองไม่เห็นอีกแล้ว ไม่นานเคียวก็กลับมา
"พี่สาวคนนั้นบอกทางให้แล้ว ไปทางทิศใต้ อีกไม่นานก็ถึง"
"พี่สาวคนไหน" กูถาม
เคียวพยักพเยิดไปทางแม่น้ำที่พวกเขาเพิ่งขึ้นบกมา "พรายน้ำที่อยู่ตรงนั้นไง
กูณฑ์หรี่ตามอง "ฉันไม่เห็นจะมีใคร"
มลตบหัวกูณฑ์เบา ๆ "เขาอยู่คนละภพกับเรา จะไปเห็นได้อย่างไร"
"แล้วทำไมเคียวเห็นล่ะ" กูณฑ์ย้อน
มลส่ายหน้าอย่างระอา "เจ้าสนิทกับเคียวมาก จนลืมไปแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่ภพเดียวกับเจ้า ที่เจ้ามองเห็นเขาเพราะสร้างกรรมร่วมกันมาต่างหาก"
"แล้วทิศใต้ไปทางไหน" กูณฑ์รีบเปลี่ยนเรื่อง
มลเงยหน้าขึ้นมองทิศจากดวงตะวันอีกครั้ง ก่อนจะออกเดินทางต่อไป การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างลำบากกว่าตอนแรกมาก มลพยายามหาทางที่เดินง่ายที่สุด แต่บางครั้งพวกเขาก็ต้องลุยน้ำ ลุยไม่พอยังต้องว่ายอีก มลบอกว่าช่วงนี้เป็นฤดูฝน น้ำท่วมเป็นเรื่องปกติ
"ทำไมผู้ว่าฯหิมพานต์ไม่มาดูแลบ้างเลย" กูณฑ์บ่น เมื่อต้องลุยน้ำท่วมเป็นครั้งที่สามของวัน
"ผู้ว่าฯอะไรของเจ้า" มลถามอย่างสนใจ เพราะที่หิมพานต์ไม่มีการปกครองแบบนี้
กูณฑ์อธิบายเรื่องผู้ว่าราชการจังหวัดให้มลฟังสั้น ๆ
มลเลิกคิ้ว "ผู้ว่าฯของพวกเจ้าเป็นเทพหรือ ถึงสามารถหยุดหายนะจากธรรมชาติได้"
กูณฑ์ยักไหล่ แต่ไม่ได้ตอบอะไร เขารู้แต่เพียงว่าพวกผู้ใหญ่เวลาน้ำท่วมจังหวัดก็จะออกมาด่าผู้ว่าฯ กูณฑ์ยังเด็ก เขาไม่เข้าใจหรอกว่าผู้ว่าฯมีอำนาจยับยั้งน้ำท่วมแค่ไหน
ในที่สุดหลังจากทั้งเดินทั้งว่ายน้ำมาเป็นชั่วโมง ๆ พวกเขาก็เห็นกำแพงเมือง ด้วยอารามดีใจ กูณฑ์รีบวิ่งเข้าไปทันที แต่กลับโดนอะไรบางอย่างรั้งไว้ไม่ให้ไปถึงกำแพงเมือง เด็กหนุ่มหันกลับมาก็พบว่าเคียวกำลังใช้มือยืดได้จับเอวเขาไว้อยู่
กูณฑ์พยายามแกะมือของเคียวออกจากเอว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้
"กลับมาเดี๋ยวนี้!" เสียงตะโกนของเคียวแทรกเข้ามาในสมองจนกูณฑ์สะดุ้ง เขาลืมไปเสียสนิทว่าเคียวติดต่อเขาทางนี้ได้
เด็กหนุ่มเดินกลับมา เขาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ทำไมเขาจะไปก่อนไม่ได้
เคียวกอดอก ทำหน้าบึ้งอยู่
"นายวิ่งไปอย่างนั้นได้ไง" ภูตหนังสือตำหนิ "นายรู้ไหมว่าเมืองมลิวันมีอะไรบ้าง เคยอาบรามเกียรติ์หรือเปล่า"
กูณฑ์ยักไหล่
"มันมีทั้งไฟกรด น้ำกรด วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปแบบนั้นได้ยังไง ถ้านายเป็นอะไรไป แล้วฉันจะอยู่กับใคร" เคียวถาม น้ำเสียงตอนท้ายของเขาแผ่วลงและแหบพร่า
มลย่นจมูก ส่ายหน้าและชี้ที่ตัวเอง คิดดู ภูตตนนี้บอกว่าไม่รู้จะอยู่กับใครถ้ากูณฑ์เป็นอะไรไป ทำอย่างกับถ้าเด็กหนุ่มหัวไฟนี่เป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ เขาจะไม่ต้องรับผิดชอบหอบหิ้วภูตตนนี้ไปด้วยอย่างนั้นแหละ
กูณฑ์รู้สึกผิดพอที่จะก้มหน้าลงเล็กน้อย เขาเอานิ้วชี้เกลี่ยแก้มเคียวเบา ๆ
"ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง"
เคียวปัดมือกูณฑ์ออก "ฉันไม่ได้เป็นห่วง"
"ไม่ได้เป็นก็ไม่ได้เป็น" กูณฑ์โอนอ่อนผ่อนตาม
"เอาล่ะ" มลขัดขึ้น "อยู่กันครบแล้ว เราไปเรียนวิชากับกาลฤๅษีดีกว่า ท่านตั้งอาศรมอยู่แถวนี้ รู้วิธีฝ่าด่านไฟกรดและน้ำกรด"
เด็กทั้งสามมากราบเรียนวิชากับกาลฤาษีซึ่งอีกฝ่ายเมื่อรู้ว่าพวกเขาเป็นมิตรกับมัจฉานุ พระราชาของเมืองก็สอนให้แต่โดยดี
"กาลฤาษีไม่คิดบ้างเหรอว่าเราอาจจะโกหกน่ะ" กูณฑ์กระซิบถามมล เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายช่างยอมสอนวิชาให้ง่ายเหลือเกิน
"ฤๅษีน่ะเหมือนแม่น้ำ ใครมาขอความช่วยเหลือ ท่านก็ให้ทั้งนั้น ท่านไม่สนหรอกว่าใครดีใครชั่ว อีกอย่างหนึ่งไฟกรดกับน้ำกรดก็เป็นแค่ปราการด่านแรกเท่านั้นเองเมืองมลิวันไม่ได้ยึดง่าย ๆ" มลอธิบาย
หลังจากที่กาลฤๅษีถ่ายทอดวิชาให้พวกเขาจนหมดไส้หมดพุง แต่มีเป็นเพียงมลเท่านั้นที่รับวิชาจากฤาษีได้ครบถ้วนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ส่วนเคียวนั้นจำได้แต่เพียงวิธีแก้ไฟกรดเท่านั้น กูณฑ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เพราะพยายามยังไงก็จำมนตร์ไม่ได้ ไม่ว่าจะวิธีแก้ไฟกรดหรือน้ำกรด
"ไม่ต้องคิดมากหรอก" เคียวตบบ่าปลอบใจ "ยังไงเราก็ไปด้วยกัน ฉันจะปกป้องนายเอง"
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงด่านไฟกรด ไฟนั้นน่ากลัวกว่าที่คิดไว้ มันโหมไปทั่ว กระทั่งเทพอัคนีอวตารก็ยังหวาดหวั่นอยู่ไม่ใช่น้อย ไฟนั้นทั้งสว่างจ้าจนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากเปลวไฟ อีกทั้งความร้อนของมันนั้นแทบจะทำให้กูณฑ์ไหม้เป็นเถ้าถ่าน
"จับมือข้าไว้" มลว่า
กูณฑ์และเคียวจับมือมลคนละข้าง เมื่อมลเห็นว่าเพื่อนทั้งสองคนจับมือเขาแน่นดีแล้วก็เริ่มร่ายคาถาที่ฤๅษีสอนสามครั้ง
ทันทีที่มลร่ายคาถาเสร็จ กูณฑ์ก็รู้สึกเย็นสบายเหมือนกับได้ดื่มน้ำอัดลมแช่เย็น เขาเย็นไปทั้งตัว เปลวไฟที่เคยร้อนแรง บัดนี้ไม่มีฤทธิ์อะไรอีกแล้ว ร่างกายของเด็กหนุ่มเย็นสบายเหมือนกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ จนเขาอดก้มลงมองตัวเองไม่ได้และก็ต้องตกใจเมื่อเห็นแต่อากาศว่างเปล่าแทนที่ขาของเขา
"ฉันหายไปไหน" กูณฑ์กำลังจะหันไปถามเพื่อน แต่เขาก็ไม่เห็นใคร นี่พวกเขาหายไปจากโลกแล้วหรือ แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่ากำลังจับมือมลอยู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เสียงของมลปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์
"ไปกันเร็ว" มลว่า ก่อนจะจูงมือเพื่อนทั้งสองไปด่านอีกชั้นหนึ่ง
ด่านน้ำกรดน่ากลัวพอ ๆ กับด่านไฟกรด ตอนแรกเมื่อกูณฑ์ได้ยินว่าเป็นน้ำกรด เขาก็ไม่คิดว่ามันจะหมายถึงแม่น้ำกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ มันใหญ่กว่าแม่น้ำใด ๆ ที่กูณฑ์เคยผ่านมาแล้ว ระลอกคลื่นก็ซัดสาดกระเซ็นอย่างน่ากลัว เด็กหนุ่มสาบานได้ว่าเขารู้สึกว่ามีละอองน้ำกระเซ็นมาถูกเขาด้วย แต่ที่น่ากลัวกว่าน้ำกรดก็คือพญานาคตัวเบ้อเริ่มที่กำลังพ่นพิษอยู่ งูอรหันว่าใหญ่แล้ว เทียบไม่ได้กับพญานาคตนนี้เลย กูณฑ์ไม่ได้กลัวพญานาค เขาเป็นมิตรกับพระนางมุจลินท์ แต่พญานาคตนนี้ดูต่างจากพระนางมาก ไม่ใช่เพราะว่าเขาหรือเธออยู่ในร่างงูหรอกนะ แต่เพราะอีกฝ่ายดูจะไม่มีสติควบคุมตัวเองเอาเสียเลย เพราะเอาแต่พ่นพิษอยู่อย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าอยู่ในมนตร์สะกดของอะไรสักอย่าง ใช่แล้ว มีรากษสตนหนึ่งกำลังทำพิธีอยู่จริง ๆ ด้วย
มลหยิบทรายขึ้นมากำหนึ่ง ร่ายคาถาอะไรบางอย่าง ก่อนจะซัดเข้าไปสามที แม่น้ำก็เหือดแห้งไป พญานาคเองก็ไม่ได้อยู่อีก รีบดำทรายหายไปทันที
หลังจากฝ่าด่านไฟกรดกับน้ำกรดมาได้ ธรรมชาติสองข้างทางก็มีแต่ความรื่นรมย์ หากตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีธุระด่วน กูณฑ์ก็คงชวนเคียวให้ชมฝูงนกที่ต่างขับขานร้องเพลง ชมดอกไม้งาม ๆ ตามทาง แต่เพราะว่าพวกเขามีงานต้องทำจึงได้แต่จ้ำอ้าวไปข้างหน้าโดยไม่หยุดชมธรรมชาติที่สวยงามด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะรีบเพียงใด เด็กทั้งสามก็ไม่อาจไวไปกว่าพระอาทิตย์ได้ เมื่อพวกเขามาถึงภูเขา พระอาทิตย์ก็ตก แม้จะมีพระจันทร์ขึ้น แต่ก็ไม่สว่างพอที่จะเดินทางกันต่อ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจค้างคืนบนต้นไม้ พอถึงรุ่งเช้าสามสหายก็เดินทางกันต่อไป กูณฑ์กำลังนึกสงสัยอยู่ว่าทำไมเมืองมลิวันถึงไม่คึกคักเอาเสียเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นเมืองใหญ่ และแล้วคำตอบก็ปรากฏตรงหน้าเมื่อพวกเขาเข้าเขตเมืองกันจริง ๆ ทำให้กูณฑ์รู้ว่าทางที่พวกเขาฝ่ากันมานั้นเป็นเพียงชายแดนเท่านั้นจึงแทบไม่มีผู้คนอยู่ แต่ข้างในเมืองก็ออกจะคึกคัก มีทั้งรากษาและลิงใหญ่เดินสวนกันไปมาคับคั่ง ชาวเมืองมลิวันมีมากจนไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขาเลยด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่ควรจะสังเกตเห็นได้ด้วยเพราะตอนนี้พวกเขายังล่องหนอยู่
"ข้าจะร่ายคาถาให้พวกเจ้ากลับมาปรากฏตัวแล้วนะ" มลเตือน
กูณฑ์พยักหน้า แต่ก็คิดขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นจึงทำเสียงรับในลำคอแทน
การปรากฏตัวของเด็กทั้งสามไม่ได้ทำให้ชาวเมืองแตกตื่นตกใจเลย อาจจะมีสายตามองมาแวบหนึ่ง แต่ก็แค่นั้น
"คิดถึงนายจัง" กูณฑ์หยอกเคียวทันทีที่มองเห็นอีกฝ่าย
มลเบะปาก ให้ตายสิ ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาเสียเลย
"รีบไปกันได้แล้ว" มลว่า
กูณฑ์คิดว่าพวกเขาจะได้เจอมัจฉานุเลย ดังนั้นมลก็ควรนำเขาไปวัง แต่มลกลับพาเขาไปที่ศาลาลูกขุนแทน รากษสที่อยู่บนศาลากำลังเอกเขนกตามสบาย รากษสสาวกำลังป้อนองุ่นให้เหมือนกับเป็นเด็กทารก เมื่ออีกฝ่ายเห็นเด็กทั้งสามก็เหลือบมองนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร
"นายพาเรามาที่นี่ทำไม" กูณฑ์ถาม ก่อนจะมองไปที่รากษสนั้นอย่างขยะแขยง เขาช่างต่างจากไวยวิกเหลือเกิน ไม่มีสง่าราศีเลยสักนิด
มลไม่ตอบ แต่กลับเดินเข้าไปหารากษสตนนั้นแทน
"ท่านเสนา" วิทยาธรน้อยพูดด้วยเสียงดังฟังชัด
'ท่านเสนา' ผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที
"มีอะไร" เขาถามเสียงยานคาน พลางมองสำรวจคณะผู้มาใหม่ทั้งสามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ให้ตายสิ กำลังเพลินอยู่เชียว
"พวกข้าจะมาเฝ้าพญาหนุราช"
เสนาเลิกคิ้ว "พวกเจ้าน่ะหรือ จะมาเฝ้าพญาหนุราช" เขาถามอย่างดูถูก ดูยังไงพวกนี้ก็ไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้ถือสาส์น ดูสภาพสิ ดูแทบไม่ได้ วิทยาธรที่หน้าตาเหมือนผี ผีจริง ๆ ตนหนึ่ง และเด็กมนุษย์ท่าทางอ่อนแอ
"ใช่" มลกัดฟันตอบ "ข้ามีข้อความจากพญาไวยวิก"
ชื่อของไวยวิกทำให้รากษสลังเลขึ้นมานิดนึง ก่อนจะถอนหายใจ และรีบเข้าไปในวังเพื่อรายงานเรื่องแขกไม่ได้รับเชิญให้นายเหนือหัวฟัง
"ใครคือพญาหนุราช" กูณฑ์ถาม
"ชื่อของมัจฉานุหลังจากได้ครองเมืองแล้ว" มลตอบสั้น ๆ
มีทหารเรียกให้พวกเขาไปเข้าเฝ้าในท้องพระโรง มัจฉานุหรือพญาหนุราชนั่งอยู่บนบัลลังก์ เสนาอำมาตย์ที่มีทั้งลิงและรากษสปนกันหมอบกราบอยู่
มัจฉานุลุกขึ้นจากบัลลังก์มาต้อนรับเมื่อเห็นเด็กทั้งสาม ปกติแล้วพระมหากษัตริย์แห่งกรุงมลิวันไม่ได้มีโอกาสรับแขกเมืองมากนักหรอก และยิ่งเสนาบอกว่าเป็นทูตจากเจ้าพี่ไวยวิก มัจฉานุก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ถึงจะแปลกใจนิด ๆ ที่เจ้าพี่เลือกใช้เด็กพวกนี้มาเป็นทูตก็เถอะ
แม้จะรู้ว่าเสียมารยาท แต่กูณฑ์ก็อดมองสำรวจที่ก้นของมัจฉานุไม่ได้ ใช่ว่าเขาเป็นพวกโรคจิตที่ชอบแอบมองก้นคนอื่นหรอกนะ แต่เขาเคยได้ยินมาว่ามัจฉานุเป็นลูกของหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉา ดังนั้นจึงมีร่างเป็นลิงเผือกเหมือนพ่อ แต่มีหางปลาเหมือนแม่ ของแปลกอย่างนี้ก็ต้องขอดูให้เป็นบุญตาสักหน่อย แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เห็นหางปลาเลยแม้แต่น้อย นี่ใช่มัจฉานุตัวจริงหรือเปล่านะ หรือเป็นลิงเผือกที่ไหนก็ไม่รู้ปลอมตัวมา
สายตาของเด็กหนุ่มมนุษย์ทำให้มัจฉานุอดรำคาญไม่ได้ ตอนแรกก็จะทำเป็นไม่สนใจอยู่หรอก แต่หมอนี่กลับจ้องเขาเหมือนกับเป็นตัวประหลาดอย่างนั้นแหละ
"เจ้ามองอะไรนักหนา" มัจฉานุว่าอย่างไม่สบอารมณ์
กูณฑ์ผู้ตกอยู่ในภวังค์ไม่ได้ยินคำถาม เขายังคงจ้องอยู่อย่างนั้น ร้อนถึงเคียวที่ต้องหยิกให้เขารู้ตัว
"โอ๊ย!" กูณฑ์สะดุ้งโหยง หลุดจากภวังค์ทันที
"พญาหนุราชรับสั่งกับนาย" เคียวว่า
"มีอะไรเหรอครับ" กูณฑ์ถาม
"เราถามว่าเจ้าจ้องเราทำไม"
"เอ่อ คือผม สงสัย" กูณฑ์พูดตะกุกตะกัก
"สงสัยอะไร" มัจฉานุถาม
"คุณไม่มีหางเหรอครับ" กูณฑ์พูดเร็วจนแทบฟังไม่ทัน
"อะไรนะ"
"หางครับ หางปลา"
"อ๋อ หางนั่นหรือ องค์พระรามทรงตัดให้ข้านานแล้ว เจ้าไปอยู่ไหนมา"
"อ๋อ ครับ"
หลังจากที่คลายข้อสงสัยให้แก่เด็กหนุ่มผู้อยากรู้อยากเห็น มัจฉานุก็หันมาสนใจเรื่องสำคัญกว่า
"แล้วไหนล่ะสาส์นของพวกเจ้า" เจ้าเมืองมลิวันถาม
เด็กทั้งสามมองหน้ากันไปมา
"พวกเราไม่มีสาส์นหรอกครับ" กูณฑ์ว่า
มัจฉานุเลิกคิ้ว "เราคิดว่าเจ้าเป็นทูตของพระเชษฐาเสียอีก"
"ความจริงแล้ว.." กูณฑ์กำลังจะพูด แต่โดนเคียวเอามือปิดปากไว้เสียก่อน
"ขอเดชะ องค์พญาหนุราช" มลพูดอย่างเป็นทางการ "ถึงพวกกระหม่อมจะไม่มีสาส์น แต่พวกกระหม่อมก็มีข้อความจากพระเชษฐามาบอกพระองค์จริง ๆ พระเจ้าค่ะ"
"ไร้มารยาทที่สุด" เสียงของรากษสแก่ ๆ ที่หมอบอยู่ข้างหน้าสุดดังขึ้น
ถ้าเคียวไม่ได้อุดปากกูณฑ์อยู่ เด็กหนุ่มคงโวยวายไปแล้ว
"ไม่ทราบว่าท่านหมายความว่าอย่างไร" มลถามอย่างสงบ
"ข้าคิดว่าพวกเจ้าถือสาส์นจากท้าวไวยวิกจึงไม่หมอบกราบ แต่เมื่อเจ้าไม่มีสาส์น เหตุใดจึงกล้ายืนต่อหน้าพระพักตร๋"
มัจฉานุโบกมือ "ไม่เอาน่า ว่าแต่พี่เราบอกมาว่าอย่างไรหรือ"
มลรายงานเรื่องให้คู่สนทนาทราบ
"ดี" มัจฉานุว่า ก่อนจะหันไปสั่งเสนาอำมาตย์ให้เตรียมจัดขบวนไปเมืองบาดาล