App herunterladen
73.07% ล่านิรันดร์ / Chapter 19: บทที่ 18 รับฝากมารดา

Kapitel 19: บทที่ 18 รับฝากมารดา

หลังจากฮาวเวอร์กลับมา ทุกอย่างก็จัดแจงอย่างเป็นระเบียบอีกครั้ง อาคารสอนเด็กถูกขยายขอบเขตกว้างขึ้น นักขุดอุโมงค์เริ่มรู้ทิศทางที่ต้องขุดไปต่อ แม้เรื่องราวภายในฐานลับได้ถูกแก้ไขจนเสร็จ แต่เรื่องที่ต้องกลุ้มต่อไปนั้นก็คือ

"อะไรนะขอรับ? นายท่านเดินทางไปยังอาณาจักรริลกลิมเมื่ออาทิตย์ก่อน"

"อื้ม ช่วงนั้นข้ารู้สึกโกรธแค้นราชาไมนัส ก็เลยทำอะไรวู่วาม"

"แล้วอย่างนี้ราชาไมนัสก็รู้หมดแล้วน่ะสิขอรับว่าทางเราคิดจะทำอะไร"

"ก็คงใช่ ราช​าไมนัสเองก็รู้ความสามารถของข้าด้วย ถึงจะไม่แน่ใจว่าไปรู้มาจากไหนก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ ราชินีเกรสสัน ตั้งแต่มานี่นางก็ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลย บางทีการที่ถูกพามาที่นี่ได้ง่ายๆ คงเพราะ​มีบางอย่างอยู่ในตัวนางแน่ แต่ข้าสำรวจแล้วไม่พบ ความสามารถของราชาไมนัสผู้นั้นอยู่นอกเหนือมนต์ดำที่จะตรวจสอบด้วยได้เวทย์"

"ยังมีอะไรแข็งแกร่งกว่าพลังเวทย์อีกหรือขอรับ" ฮาวเวอร์มองโทมัสด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยากจะอธิบาย

"วิทยาศาสตร์"

"นั่นมันอะไรกันขอรับ? "

ฮาวเวอร์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเริ่มอธิบายให้เข้าใจง่าย "มันคือการสังเกตความเป็นไปของธรรมชาติอย่างเป็นระบบ มันครอบคลุมจากเรื่องง่ายไปจนถึงเรื่องยากๆ สิ่งที่ข้าสงสัยในตัวราชินีเกรสสันคือ นางอาจจะถูกสะกดจิตซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง​ของวิทยาศาสตร์​เกี่ยวกับ​การ​ทำงาน​ของ​สมอง"

"สิ่งนั้นมันบังคับจิตใจนางหรือขอรับ"

"อีกนัยหนึ่งก็ใช่ แต่ว่าการสะกดจิตนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าผู้สะกดจิตต้องการจะสั่งจิตของนางให้ทำอะไร ให้ทำตามคำสั่ง หรือลบเลือนความทรงจำ หรือทั้งสองอย่าง แต่ไม่ว่าอย่างไหนก็ล้วนเป็นอันตรายหากมีนางอยู่ใกล้ๆ"

"แต่ว่าเราจะให้นางไปไหนได้ขอรับ ท่านเองก็ไม่อยากแยกจากนางเช่นกันไม่ใช่หรือขอรับ"

"ก็ใช่ แต่ถ้ามันต้องขึ้นอยู่​กับชีวิตคนนับแสนข้าก็ไม่อาจเสี่ยง"

โทมัสนิ่งเงียบไปพลางคิดเรื่องที่ต้องหาที่พำนักใหม่ให้นาง "แล้วตอนนี้นางรู้แผนการเราบ้างหรือยังขอรับ"

"รู้เรื่องการตั้งกองกำลังปฏิวัติเพื่อต่อสู้กับอาณาจักร"

"ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ควรในนางอยู่ที่ค่ายกองกำลังสินะขอรับ"

"ใช่ ถึงฝากลอร์ดมาร์คัสก็ยากที่จะปิดบังแผนการ​เพราะยังไงเสียก็ไม่ได้อยู่​ห่างกันมากเท่าไหร่"

"ถ้าเช่นนั้น… ทำไมเราไม่ฝากไว้กับราชาไคออสกันล่ะขอรับ หากมีข้อแลกเปลี่ยนเพิ่มอีกเล็กน้อย เขาคงไม่ปฏิเสธ"

ฮาวเวอร์นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มออกมา "ไม่เลว เพราะต่อให้นางถูกบังคับจิตใจให้สังหารใครก็ตามในนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องกลัว ยังไงเสีย​ หนึ่งชีวิตก็ไม่สำคัญเท่าคนนับแสน"

"...ขอรับ"

หนังสือข้อแลกเปลี่ยนถูกเขียนขึ้นในทันที โทมัสสั่งให้คนเอาจดหมายไปส่งให้ถึงวังหลวงโดยไม่ผ่านแม่ทัพน็อลก่อน เขามารู้ทีหลังก็ตอนที่ข้อแลกเปลี่ยนนั้นได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว

ราชินีเกรสสันเดินทางเข้าไปพำนักที่คฤหาสน์ของลอร์ดมาร์คัสก่อน พอรู้ว่าราชินีเกรสสันจะมา เขาก็เร่งตกแต่งคฤหาสน์ใหม่ไม่ให้น้อยหน้า ฮาวเวอร์เดินเข้ามาส่งนางพลางมองไปรอบๆ แล้วก็ทำหน้ากรุ้มกริ่มคล้ายจะล้อเลียน

"อู้ววว คฤหาสน์ของท่านลอร์ด​ช่างงดงามสูงศักดิ์ยิ่งนัก ข้าได้เข้ามายลกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเบื่อสายตาเลย"

"ขอบพระทัย เจ้าชายฮาวเวอร์"

ทั้งคู่ยิ้มหน้าแข็งใส่กันโดยมีราชินีเกรสสันคั้นกลาง​ก่อนจะถูกเชิญเข้าไปด้านในเพื่อคุยสารทุกข์สุกดิบ

"ข้าต้องขออภัยจริงๆ ท่านลอร์ดมาร์คัสที่ต้องรบกวนท่าน ลูกชายข้ายืนกรานว่าไม่อยากให้ข้าอยู่ด้วย​ ข้าถึงต้องลำบากอาณาจักรของพวกท่าน" ฮาวเวอร์ทำหน้าซังกะตายเมื่อได้ยินอย่างนั้น เพราะกว่าเขาจะโน้มน้าวใจราชินีเกรสสันได้ก็ใช้เวลาหลายวัน แถมบทบาทใจร้ายอย่างนั้นเจ้าอีคอนก็ทำไม่ได้​ แถมยังใจอ่อนให้นางอีก

"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกขอรับ ทางเรายินดีที่จะช่วยเพียงแค่ท่านเท่านั้น ข้าเข้าใจนะขอรับว่าทำไมเจ้าชายฮาวเวอร์ไม่ต้องการให้ท่านพักอาศัยอยู่ในค่ายทหาร ที่นั่นมีแต่ชายหยาบกร้าน ทำงานจนเหงื่อออกเหม็นคละคลุ้งทั้งยังสกปรกเปื้อนดินโคลนกันทุกวัน ถ้าเป็นข้า ข้าก็คงทนอยู่ที่นั่นได้ไม่นานแน่"

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ลอร์ดมาร์คัสพูด​ ก็คงหมายถึงเหล่าทหารที่ฮาวเวอร์ใช้แรงงานอย่างหนัก ให้ทั้งฝึกซ้อมพลังกายทุกวัน อ่านหนังสือ ทำสวนทำไร่ แถมยังต้องสร้างอาคารเรือนให้ฮาวเวอร์อีก ทหารพวกนี้ทำงานหนักอย่างกับทาสก็ไม่ป่าน

"นั่นสินะเจ้าคะ"

ทั้งคู่หัวเราะเบาพลางขบขันการเหน็บแนมนั้น ฮาวเวอร์ได้แต่ถอนหายใจ เขากลายเป็นลูกชังของราชินีเกรสสันไปแล้ว ลอร์ดมาร์คัสเองก็ชังน้ำหน้าเขาไม่ต่าง เพราะตัวเขาเองก็ชอบแกล้งและเหน็บแนมมาร์คัส​อยู่บ่อยๆ

'แต่ช่างปะไร ยังไงข้าก็จะกลั่นแกล้งเจ้าอยู่ดี มาร์คัส!' ฮาวเวอร์คิด

'...เพราะอย่างนี้ไง​ เจ้าถึงได้ไม่เป็นที่รักใคร่​' อีคอนตอบ

เหมือนฮาวเวอร์จะเริ่มคิดเรื่องที่จะตอบโต้ลอร์ดมาร์คัสได้ ก็เริ่มเกริ่นขึ้นมา

"ท่านแม่จำเรื่องโรคกระสันได้ไหมขอรับ? โรคที่ทำให้คนกระสันในกามารมณ์แล้วท้องได้ง่ายๆ ไม่ว่าชายหรือหญิง"

"แม่จำได้ เจ้าพูดถึงเรื่องนี้ทำไมหรือ"

ลอร์ดมาร์คัสมองมาที่เขาอย่างไม่ไว้ใจ ฮาวเวอร์เองก็มองกลับอย่างท้าทายก่อนจะเริ่มพูดต่อ

"จริงๆ แล้วเด็กที่เกิดจากเพศชายนั้นจะคลอดเป็นไข่ และถูกขนานนามว่าเป็นไข่มาร จึงเรียกกันทั่วไปว่า มารฝังไข่ แต่ภายหลังทุกคนถึงรู้กันทั่วว่าเด็กที่เกิดจากไข่นั้น ตามจริงไม่ใช่มารแต่เป็นเด็กธรรมดา แม้แต่บรรดาอมนุษย์ก็ยังรู้กันได้เอง เหตุเพราะเจ้าพวกนั้นต้องคลุกคลีกับเหล่ามารเป็นประจำจึงรู้ว่ามารเหล่านั้นไม่สามารถตั้งท้องได้​ เพราะหลังจากจุติใหม่ ร่างกายของพวกมันไม่ต่างจากตายไปแล้ว และเพราะอย่างนั้นจึงตัดเรื่องที่เด็กในไข่เป็นลูกของมารไปได้เลย นั่นหมายความว่าแม้แต่บุรุษก็ท้องได้ หากเป็นเช่นนี้ ใครก็ตามที่ท้องลูกให้ข้าได้ก็สามารถเป็นภรรยาของข้าได้ใช่ไหมขอรับ"

"ถ้าลูกข้าต้องการจะรักใคร่กับใคร ข้าห้ามเจ้าได้ด้วยหรือ แต่ธรรมเนียมของราชาในอาณาจักรเรา ผู้ที่ขึ้นครองราชย์จะต้องมีทายาทสืบทอดต่อ เพราะอย่างนั้นไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็สามารถครองบัลลังก์ได้ถ้าหากมีทายาทสืบต่อให้ราชวงศ์​"

ฮาวเวอร์ยิ้มมุมปาก มาร์คัสก็เหงื่อซึมออกจากกรอบหน้าทันที "บรรดาผู้เป็นโรคกระสันมักจะถ่ายทอดโรคเหล่านั้นไปให้บุตรด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้เสพโรคกระสัน หรือเป็นโรคกระสันเสียเอง หากข้าถึงช่วงวัยที่จะได้หมั้นหมายกับใครแล้วล่ะก็ ข้าจะสืบเสาะหาคนที่มีคุณสมบัติน่าสนใจมาไว้ในกำมือ​ แล้วจับมาหมั้นเสีย​ไม่ให้หลุดมือ"

ลอร์ดมาร์คัสลอดมองไปด้านหลังของฮาวเวอร์แวบหนึ่ง​ ฮาวเวอร์ก็หันขวับตามสายตานั้นทันที ปรากฏเด็กน้อยผมสีดำด้านแปลกๆ ยืนอยู่ด้านหลังประตูก่อนจะวิ่งหนีหายเข้า​ไปด้านใน ฮาวเวอร์หันกลับมามองลอร์ดมาร์คัสอีกทีก็ยิ้มอย่างมีชัยให้รอบหนึ่ง

"แต่ยังไงเจ้าก็ยังเป็นเด็กน้อยของแม่อยู่ เหตุใดต้องพูดเรื่องหมั้นหมายเอาตอนนี้ด้วย ตัวเจ้าเองก็พูดไม่ใช่หรือว่าเวลานี้ต้องต่อสู้เพื่อประชาชน เจ้าไม่มีเวลามาเสพสุขอยู่ผู้เดียว เพราะเจ้าพูดอย่างนั้นแม่ถึงต้องยอมมาพำนักอยู่ในอาณาจักรโพราเท็ส"

เมื่อมารดาพูดขึ้นขัด​ ฮาวเวอร์ก็ต้องหยุดการกลั่นแกล้งลงเพียงเท่านั้น ลอร์ดมาร์คัสเองก็ถอนหายใจโล่งอก ทั้งคู่คุยได้สักพักหนึ่งฮาวเวอร์ก็ขอตัวกลับไปค่ายเพื่อคุยธุระต่อ

คนทั้งคู่ยืนมองแผ่นหลังของฮาวเวอร์เดินจากไป ลอร์ดมาร์คัสก็ถอนหายใจออกเบาๆ ทันที

"ขออภัยด้วยที่ฮาวเวอร์หยอกล้อท่านรุนแรงเกินไป ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้เจ้าคิดเจ้าแค้นและชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นเป็นชีวิตจิตใจ"

"คงเพราะขาดความอบอุ่นกระมัง ถึงได้เรียกร้องความสนใจ" ลอร์ดมาร์คัสตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าจนลืมตัว

"คงจะเป็นอย่างที่เจ้าพูด ข้าคงต้องหาคู่หมั้นมาเติมเต็มความอบอุ่นที่หายไปให้เขา" เกรสสันพูดทั้งยิ้มอย่างมีเลศนัย

"ท่านก็…" ลอร์ดมาร์คัสพูดไม่ออกก็ได้แต่ถอนหายใจ เขารู้แล้วว่านิสัยขี้แกล้งของฮาวเวอร์นั้นได้จากผู้ใด

ฮาวเวอร์เดินกลับมายังค่ายทหาร แม่ทัพน็อลก็ยืนจังก้ากอดอกอยู่ด้านหน้า ฮาวเวอร์เหนื่อยใจกับมารดาตัวเองแล้วยังต้องมาเหนื่อยใจกับแม่ทัพน็อลอีก เขาพยักพเยิดหน้าไปทางเต็นท์บัญชาการก่อนทั้งคู่จะเดินเข้าไป เมื่อนั่งประจำตำแหน่งแล้วก็เริ่มอธิบายทันที

"เหตุผลที่ข้าต้องส่งราชินีเกรสสันไปยังปราสาทโพราเท็สก็เพราะนางอาจมีบางอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ เพราะเหตุนั้นจึงต้องส่งนางไปยังสถานที่ที่ไกลพอจะรู้แผนการทั้งหมดของเรา"

"นายท่านจะบอกว่าเราไม่ควรไว้ใจนางหรือขอรับ แต่นางเป็นถึงมารดาของท่าน"

"เพราะเป็นมารดาถึงต้องระแวง นางอยู่ในคุกใต้ดินตั้งกี่ปี ชีวิตที่หดหู่เช่นนั้นทำไมนางกลับไม่โศก​เศร้าเท่าที่ควรจะเป็น​ เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือไง นางอาจถูกทำให้ลืมความเจ็บปวด ลืมความทรงจำบางอย่างที่เราไม่อาจนำกลับขึ้นมาได้"

"ถ้าหากเป็นมนต์ดำ…"

"ครั้งนี้ไม่ใช่ มันคือสิ่งที่อาจเกิดได้กับมนุษย์ทุกคนไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีพลังเวทย์หรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับราชินีเกรสสันมันเกินกว่าคนอย่างข้าจะช่วยได้"

แม่ทัพน็อลต่างเงียบลงเมื่อหาวิธีดึงราชินีกลับมาไม่ได้ "แล้วหลังจากนี้ท่านจะทำยังไงต่อขอรับ ทางนั้นมีมนุษย์อมตะถึงสองคน พวกเราเองก็ต่อกรกับเขาไม่ได้ มีแต่ท่านเท่านั้นที่พอจะสู้กลับพวกเขาได้"

"ที่สู้ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่ชนะ แต่เพราะข้าไม่อาจจะลงมือทำสิ่งนั้นได้" ฮาวเวอร์นึกย้อนไปความทรงจำก่อนถูกดึงวิญญาณออกจากร่าง วิญญาณแยกลูคัสที่กลายเป็นอมตะ โชคชะตาของเขากับลูคัสคือการได้ปกป้องคนผู้นั้น แต่จะให้ฆ่าคงทำไม่ได้แม้ว่านั่นจะเป็นการปลดปล่อยตัวลูคัสเองก็ตาม

'หากข้ารักคนผู้นั้นถึงขนาดยอมรับบาปทั้งหมดแทนได้ก็คงดี แต่ข้าไม่กล้าพอ'

"หากท่านทำไม่ได้ แล้วยังจะมีใครต่อกรกับเขาได้อีกกันเล่าขอรับ"

"ถ้าเช่นนั้น แทนที่จะต่อสู้แต่เปลี่ยนเป็นใช่เล่ห์กลให้มนุษย์อมตะผู้นั้นติดกับ​ดัก และจองจำตราบนานเท่านานดีหรือไม่ขอรับ"

"นั่นเป็นความคิดที่ดี ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเริ่มวางแผนใหม่ เมื่อท่านฮาวเวอร์ต่อกรกับราชาไมนัสจนได้รับชัยชนะ เราทหารหนึ่งแสนนายก็ต้องสร้างกลไกดักจับมนุษย์อมตะผู้นั้นเอาไว้ไม่ให้หนีไปได้"

"แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยากจะทำได้ มนุษย์อมตะผู้นั้นมีความสามารถเช่นใดเราก็ไม่อาจรู้"

"มีสิ่งหนึ่งที่ข้ารู้คือ เขาสามารถดึงวิญญาณคนออกมาได้"

ทุกคนต่างนิ่งเงียบ หากว่าดึงวิญญาณออกมาได้ แล้วขอบเขตอยู่ที่ไหน สามารถดึงในระยะไกลและจำนวนมากๆ ได้ไหม หากทำเช่นนั้นได้ก็เท่ากับว่าพวกเขาส่งทหารไปตายเปล่า

"ยังไงเสียตอนนี้ราชินีเกรสสันก็อยู่กับพวกเราแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจัดการให้เสียเรื่อง ทหารที่ลักลอบเข้าไปภายในก็ให้ทยอยส่งผู้ลี้ภัยออกมาอย่างลับๆ ให้คนพวกนั้นเข้าไปพักอาศัยในเขตปกครองฮาวเวอร์ที่ป่าอาถรรพ์ เราต้องกักเก็บประชากรที่มีชีวิตอยู่เอาไว้ ไม่ให้ตายและกลายเป็นผีดิบใต้คำสั่งของราชาไมนัส"

"ขอรับท่านฮาวเวอร์"

เข้าวันต่อมาฮาวเวอร์เดินทางไปที่คฤหาสน์ลอร์ดมาร์คัสเพื่อนั่งรถม้าไปส่งราชินีเกรสสัน รถม้าเดินหน้าเข้าหาเมืองหลวงของอาณาจักรโพราเท็สตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายของวัน การเดินทางเป็นไปอย่างเรียบง่ายไร้อันตรายใดๆ จนเข้าเขตเมืองหลวง เพราะรถม้าสูงศักดิ์ที่นั่งมามีราชินีของอาณาจักรริลกลิมนั่ง​อยู่​ บางคนถึงกับเดินตามรถม้าเพราะอยากรู้ว่ามีใครอื่นอีกที่นั่งภายใน

"ถึงปราสาทโพราเท็สแล้วเจ้าค่ะ" สาวใช้ของลอร์ดมาร์คัสกล่าวขึ้นแล้วเปิดประตูให้คนด้านในลง

ลอร์ดมาร์คัสลงจากรถม้าก่อนแล้วตามด้วยฮาวเวอร์ คนทั้งคู่ยื่นมือเตรียมรับสตรีด้านในให้ลงมา แต่เพราะฮาวเวอร์เตี้ยกว่าจึงเอื้อมไม่ถึง ราชินีเกรสสันแตะลงที่มือของลอร์ดมาร์คัสเบาๆ ก่อนจะก้าวลงอย่างสง่างาม และยื่นมือไปจับกับมือฮาวเวอร์ให้เขาเดินเคียงข้างไปด้วย สองแม่ลูกเดินเข้าท้องพระโรงกว้างขวาง เรือนร่างบางเยื้องกรายไปข้างหน้าช้าๆ แต่ก็ไม่ช้าจนเกินไป บรรดาขุนนางต่างมองราชินีผู้อาภัพคนนี้พลางพูดคุยลับหลัง บ้างก็เกือบหลุดขำเมื่อมองไปทางฮาวเวอร์ที่เดินมาพร้อมกัน เดิมทีหน้าฮาวเวอร์ก็อัปลักษณ์ดูน่าอดสูอยู่​แล้ว​ แต่พอแต่งเติมเครื่องสำอางเพื่อยกระดับตัวเองให้สมเป็นเจ้าชายจึงต้องผลัดแป้งแต่งแก้มเล็กน้อย แต่แทนที่จะดูรูปงามขึ้น กลับดูตลกจนบางคนกลั้นขำไม่อยู่

ช่วยไม่ได้ พวกทหารในกองทัพไม่อยากให้อาณาจักรดูน้อยหน้าจึงต้องแต่งกายให้เขาตามประสาผู้ชายหัดแต่งตัว แม้ราชินีเกรสสันจะกล่าวเตือนบ้างแต่ในเมื่อเจ้าพวกนั้นอุตส่าห์แต่งให้เขาก็ไม่อยากจะขัดน้ำใจเจ้าพวกนั้น

"ยินดีต้อนรับราชินีเกรสสัน และเจ้าชายฮาวเวอร์"

ราชาไคออสยิ้มต้อนรับเล็กน้อยด้วยใบหน้าแข็งทื่อ ราชินีเกรสสันคำนับเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบ

"ขอบพระทัยเจ้าคะ ราชาไคออสที่อุตส่าห์ยอมรับเราแม่ลูก"

ใบหน้าผ่องนวลยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากก่อนช้อนสายตามองขึ้นมา เหตุที่นางไม่อยากมาอาศัยในปราสาทของราชาไคออสไม่ใช่ว่าที่นี่ไม่สุขสบาย หรือเกรงกลัวการถูกรังแก แต่เพราะฮาวเวอร์อาจต้องยอมแลกผลประโยชน์บางอย่างเพื่อให้นางเข้ามาเสวยสุขที่นี่​ แม้ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่นางก็พอเดาได้ว่าต้องมากพอให้ฉุดดึงอาณาจักรเล็กๆ แห่งนี้ที่อยากขึ้นมาเป็นใหญ่ทัดเทียมอาณาจักรของตนจนตัวสั่นได้แน่

งานเลี้ยงเล็กๆ ถูกจัดขึ้นเพื่อต้อนรับการมาเยือนของราชินีเกรสสัน ฮาวเวอร์ต้องอยู่ร่วมภายในคืนนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่มารดาตน บรรดาภรรยาและบุตรสาวของขุนนางก็เข้าไปพูดคุยทักทายเกรสสันอย่างอบอุ่นตามคำสั่งของสามีและพ่อ ถึงจะรู้อย่างนั้นเกรสสันก็มีมารยาทพอที่จะพูดคุยสังสรรค์พอเป็นสังคม ไม่ให้ฮาวเวอร์ต้องอับอายหรือคอยเป็นห่วง

ทางด้านฮาวเวอร์เมื่อไร้มารดาข้างกายก็ไปสูดอากาศหายใจนอกระเบียง ที่ซึ่งมีบุรุษต่างยืนพูดคุยและสูบยาเส้นอยู่ไม่ห่าง

"พวกเจ้าว่าจะเป็นไปได้ไหม อาณาจักรของเรามีราชาซึ่งเป็นพ่อหม้ายลูกติด กับฝั่งอาณาจักรริลกลิมที่มีราชินีอาภัพถูกสามีสั่งฆ่าแถมยังมีลูกชายหน้าตา​อัปลักษณ์เดินตามหลังอีก ทั้งสองคนต้องอาศัยอยู่ในปราสาทเดียวกัน​ พวกเจ้าไม่คิดว่าสักวันพวกเขาจะรู้สึกเห็นใจซึ่งกันและกันจนเกิดเป็นความ​รักกันหรือเปล่า"

"เจ้าก็พูดเป็นเล่น​ไป สตรีอาภัพที่เคยมีสามีมาแล้วจะเป็นที่ต้องตาต้องใจได้ยังไง ถ้าเทียบกับบุตรีคนที่สี่ของราชาไรลีย์แห่งอาณาจักรอาเรียดแล้ว ยังเทียบไม่ติด"

"แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเพียงบุตรีของภรรยาคนที่สอง ไม่ได้มีศักดิ์ใหญ่โตเท่าราชินีเกรสสัน"

"อย่าพูดเช่นนั้นเลย หากเทียบศักดิ์ทั้งคู่ ยังไงบุตรีของราชาไรลี่ย์ก็ไม่มีทางสูงกว่าอยู่แล้ว แต่เพราะอย่างนั้นถึงดีกว่า หากว่าราชินีเกรสสันกับราชาไคออสเกิดต้องใจกันขึ้นมา เจ้าคิดว่าใครจะปกครองอาณาจักรเป็นคนต่อไป" เหมือนพูดไปก็ขนลุกไป

"แน่นอนว่าไม่ใช่เจ้าชายลีโออย่างแน่นอน และคนที่ดูเป็นไปได้ แถมฉลาดเป็นกรดอย่างเจ้าชายฮาวเวอร์ยังมีโอกาสมากกว่า หากว่าเขาขึ้นเป็นราชาของทั้งสองเมืองจริงๆ แล้วละก็…"

"ข้าก็พอเห็นแววความเจริญอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนขุนนางอย่างเราจะใช้ชีวิตลำบากขึ้น" ท่ามกลางบุรุษยืนคุยกันอยู่นั้น ก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาสอด

"ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลยน่ะสิ! นั่นหมายความว่าพวกไม่มีสมองจะถูกกดลงและเชิดชูคนเก่งขึ้นมายืนทัดเทียม ต่อให้บรรพบุรุษเจ้าจะยิ่งใหญ่มาจากไหนก็ไม่อยู่ในสายตาท่านฮาวเวอร์ เพราะสายเลือดมหาราชาได้กลบความดีเล็กๆ น้อยๆ นั่นไปหมดแล้ว คราวนี้ขุนนางอย่างเราจะได้แสดงฝีมือกันอย่างซึ่งๆ หน้าโดยไม่ต้องเกรงกลัวอำนาจใคร" คนพูดคือชายชื่อเอริคที่เคยเห็นในตลาดมืด

"ท่านก็พูดได้น่ะสิ ขุนนางเล็กๆ อย่างเรายังต้องเกรงบารมีขุนนางสูงศักดิ์บ้าง ไม่อย่างนั้นก็ถูกรังแกให้อับอาย"

"ข้าถึงบอกไงว่าการให้เจ้าชายฮาวเวอร์ขึ้นเป็นกษัตริย์ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้หรอก ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า"

ฮาวเวอร์เดินหลบการพูดคุยนั้นออกมาพลางก่นด่าพวกปากเปราะ ใครจะอยากให้แม่ตัวเองไปแต่งกับคนเจ้าเล่ห์กัน ข้อแลกเปลี่ยนครั้งนี้ยังไม่เป็นผลเพราะราชาไคออสจะให้เขาติดไว้เป็นหนี้บุญคุณไปก่อน และนั่นยิ่งน่าเป็นห่วง เขาเองก็ไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องตกปากรับคำให้เรื่องในครั้งนี้ยังคงค้างคาให้ต้องสะสาง

ทางฝั่งราชินีเกรสสัน เมื่อพูดคุยเรื่องจิปาถะกับบรรดาสตรีจนเบื่อก็ขอตัวไปเด็ดดอกไม้ก่อน นางแสร้งเป็นหลงทางเดินเข้าสวนงามที่ด้านหลัง

สวนดอกไม้ที่นี่นิยมปลูกดอกไม้หลากสี ยกเว้นสีแดง ผิดกับอาณาจักรริลกลิมที่ถึงแม้จะมีหลังคาสีทองเหลือง ประชาชนก็นิยมแต่สีทอง สีเหลืองหรือสีเขียวมรกต เพราะเอกลักษณ์ของเส้นผม และสีตาของทายาทมหาราชา แต่ภายในราชวังนั้นกลับมีแต่สีแดง ดอกไม้แม้จะหลากหลายพันธุ์แต่ก็เน้นเพียงสีแดง ผ้าม่าน ธง หรือชุดอัศวินก็ยังเป็นสีแดง ดูภายนอกเหมือนมหาราชาแสดงตนว่ามิได้เกรงกลัวราชาทรราชผู้ซึ่งถูกกำราบไปแล้ว​ จึงได้ใช้สีแดงคำสาปประดับราชวังภายใน แต่ก็มีเรื่องเล่าที่ไม่อาจพิสูจน์ได้กล่าวขานกันภายในด้วยเช่นกัน เกรสสันนางอยู่มาหลายช่วงอายุก็ไม่เคยเห็นผู้ใดคิดจะเปลี่ยนจนรู้สึกเอียนกับสีแดง แต่พอตอนนี้ที่จากมา กลับโหยหาที่จะเห็นมัน

เมื่อทอดมองไปในสวนเรื่อยเปื่อยก็พบเข้ากับอะไรบางอย่างที่แปลกตาจนต้องยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไปดู

'ดอกไม้สีแดง ไม่จริงน่า!'

นางรีบวิ่งเข้าไปใกล้ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ดอกไม้อย่างที่คิด สิ่งนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง สองตาสีครามสะท้อนแสงจันทร์ดูแวววาวราวกับน้ำใส พอเห็นว่านางเป็นคนแปลกหน้าก็เดินถอยออกไปสองก้าว

"ถะ ถ้าเจ้าจะทำร้ายข้า ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ!"

เด็กน้อยพูดทั้งตัวสั่นหลบอยู่หลังพุ่มไม้ ราชินีเกรสสันยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

'แสดงว่า เรื่องเล่านั้นเป็นเรื่องจริงสินะ'

นางนั่งลงตรงพื้นหญ้าไม่ห่างจากเด็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน

"เด็กน้อย ข้ามีนามว่าเกรสสัน เจ้ามีนามว่ากระไรหรือ"

เด็กน้อยเมื่อเห็นว่านางไม่ได้เข้ามาทำร้ายก็เอ่ยชื่อออกไป "ข้ามีนามว่า ลีโอ เจ้าเป็นใครกัน แล้วเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง"

"ฮึฮึ ข้าเป็นอสูรที่จะจับเด็กหน้าตาน่ารักมาจับกินเป็นอาหาร" นางทำหน้ายู่ใส่เด็กน้อย เขายิ้มขำก่อนจะโผล่หัวออกมา

"อสูรเข้ามาที่นี่ไม่ได้หรอก ท่านพ่อร่ายเวทย์ปกคลุมที่นี่ไว้หมดแล้ว" เด็กน้อยอธิบายด้วยท่าทางอวดดีก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับเกรสสัน "เจ้าบอกมาซะดีๆ ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่"

เกรสสันยิ้มขำกับท่าทีนั้นก่อนจะตอบอย่างจำยอม "ข้าเป็นราชินีจากอาณาจักรริลกลิม ข้าถูกสามีกลั่นแกล้งจนต้องหนีมาไกล เจ้าจะต้อนรับข้าไหมหากข้าต้องอยู่ที่นี่" นางพูดด้วยสีหน้าแสร้งเศร้า

"ข้าไม่ขัดข้องอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่อิจฉาเส้นผมสีแดงสดของข้าจนเข้ามาทำร้าย​ล่ะนะ"

"มีคนทำอย่างนั้นกับเจ้าด้วยหรือ?" นางพูดเพราะเป็นห่วงจริงๆ เรื่องเมื่อพันปีก่อนเป็นที่คับแค้นใจของคนในดินแดนนี้มากเท่าไหร่นางย่อมรู้ดี

"ก็มี…ตอนที่ข้ายังอยู่ในวิหาร แต่ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีใครกล้าทำอะไรข้าได้ เพราะท่านพ่อจะเป็นผู้ปกป้องข้าเอง"

"ท่านพ่อของเจ้าช่างกล้าหาญเสียจริง" นางพูดทั้งเหม่อมองไปทางเด็กน้อยนัยน์ตาสีคราม

"แล้วเจ้า… ไม่รู้สึกรังเกียจเส้นผมสีแดงของข้าหรือ?"

เกรสสันมองเขาพลางนึกขำ "สีผมของเจ้าทำให้ข้านึกถึงบ้าน เจ้าอยากฟังเรื่องเล่าที่บ้านเกิดข้าเล่าให้ฟังไหม? เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายที่ชื่นชอบบุรุษผมสีแดง…"

ลีโอถึงกับตาลุกวาวในทันที เขาไม่เคยได้ยินใครชอบสีแดงมาก่อน รวมถึงเขาเองก็รู้ตัวดีอยู่แล้วด้วยว่าตัวเองถูกรังเกียจเพราะมีเส้นผมสีนี้ ต่อให้อีคอนพูดปลอบใจ ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่มีคนเกลียดเส้นผมสีแดงจริงๆ

"เรื่องมันเป็นมาอย่างไรหรือ?"

"ต้องย้อนเรื่องราวไปก่อนหนึ่งพันปีที่แล้ว มีราชาทรราชเข่นฆ่าผู้คนในที่แห่งนี้ยาวนานถึงสองพันปี ตระกูลของเขายิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยสีแห่งการนองเลือดคือสีแดง ราชาผู้นี้มีลูกหลานหลายร้อยคนที่สืบสายเลือดและมีเส้นผมสีแดง ลูกหลานของเขาก็มีนิสัยไม่ต่างจากบรรพบุรุษ ทั้งโหดร้ายและป่าเถื่อนเพราะไร้การอบรมที่ถูกต้องจึงสร้างความบาดหมาง​ไม่จบสิ้น​ จนกระทั่งผู้สืบทอดคนหนึ่งนามว่า คาร์ลตัน ผู้ที่ซึ่งมีอัตลักษณ์ต่างจากต้นตระกูล เขาอ่อนโยนและมีจิตใจงดงาม เป็นผู้ที่ยอมช่วยเหลือผู้อื่นแม้ไม่ได้ถูกสอนให้ทำ และเพราะอย่างนั้นจริงเป็นที่ต้องตาต้องใจของชายที่ชื่อว่า พาวเวอร์ เขาไม่ใช่คนสูงศักดิ์ เติบโตในฐานันดรที่ต่ำกว่า แต่ว่ามีใจรักมั่นเพียงท่านคาร์ลตันผู้เดียว

คาร์ลตันถูกส่งไปยังสนามรบที่ใด เขาก็จะตามไปร่วมรบจนได้ชัยชนะมา เมื่อคาร์ลตันได้ความดีความชอบจากผลงานของพาวเวอร์ เขาก็เริ่มถูกอิจฉาจากคนในตระกูล และมีคนออกอุบายให้คาร์ลตันไปสนามรบโดยไม่มีพาวเวอร์ จนคาร์ลตันถูกจับเป็นเชลย ครอบครัวกลับปล่อยให้ตายเพราะเห็นว่าไร้ประโยชน์ พาวเวอร์แทบขาดใจเมื่อคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าคนผู้เป็นที่รักอีกจึงรีบดิ่งตามไป แม้ว่าจะช่วยคาร์ลตันมาได้ แต่เขาก็ไม่อาจส่งคาร์ลตันคืนให้ราชาทรราชได้อีก เขาเริ่มรวบรวมกำลังต่อกรกับอำนาจของราชาทรราชจนได้รับชัยชนะมา เมื่อนั้นก็เริ่มมีการเข่นฆ่าคนในตระกูลเพราะความเคียดแค้น พาวเวอร์พาคาร์ลตันหลบหนีไปไกล แต่พอหนีไม่พ้นก็สร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ ปิดบังคนผู้นั้นไว้ภายในราชวังจนกระทั่งทั้งคู่ได้ตายจากกันไป"

"ทำไมพวกเขาถึงตายหรือ?"

"ก็เพราะชีวิตมนุษย์ไม่ได้ยืดยาว สักวันคนเราก็ต้องเบื่อที่จะใช้ชีวิตและตายลง"

"แล้วทำไมพาวเวอร์ถึงแข็งแกร่งนักล่ะ เป็นเพราะความรักหรือ?"

"ความรักไม่ได้ทำให้แข็งแกร่งขึ้น แต่เป็นเพราะรักจึงตั้งมั่นที่จะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อปกป้องคนที่รัก และเพื่อไม่ให้มีสิ่งใดพลัดพรากทั้งสองออกจากกันได้โดยง่าย นั่นต่างที่รักสามารถก่อให้เกิดขึ้นได้"

"แล้วเป็นเพราะรักหรือเพราะความแข็งแกร่งกันล่ะ? ที่ทำให้พาวเวอร์ไม่เกรงกลัวต่อเส้นผมสีแดง"

"เรื่องนี้คงเป็นเพราะความรักล่ะนะ ถึงได้ไม่กลัว"

"งั้นอีคอนก็รักข้างั้นหรือ? เขาไม่เห็นกลัวผมของข้าเลย"

'อีคอน? อีกหนึ่งจิตของลูกเรา'

เกรสสันนั่งงงได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าหนักก็เดินเข้ามาพร้อมลากเด็กน้อยออกไปให้ไกลจากนาง

"นั่นเจ้ากำลังจะทำอะไร!"

"ราชาไคออส ข้าแค่เล่านิทานให้เด็กคนนี้ฟัง ไม่ได้ตั้งใจจะรังแกเขานะเจ้าคะ อีกอย่างท่านก็น่าจะรู้ว่าตระกูลของข้าไม่มีใครกลัวผู้ที่มีผมสีแดง"

"ข้ารู้เรื่องนั้นดี แต่เจ้าต่างหากที่มีจุดประสงค์อื่นถึงได้เข้าหาลูกข้า!"

"จะกล่าวหาอะไรข้าก็พูดให้มันชัดแจ้งเถอะเจ้าคะ เกรงว่าผู้อื่นไม่เข้าใจ​ จะหาว่าข้ารังแกเด็ก"

"จะให้ข้ากระดากปากพูดไปทำไมในเมื่อเจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจ!"

"รู้เรื่องอะไรกันเจ้าคะ? ข้าไม่เข้าใจ"

"ก็เรื่องที่เจ้าจะทาบทามลูกชายเราให้เจ้าฮาวเวอร์นั่นไง! คิดว่าข้าไม่รู้แผนการของสองแม่ลูกอย่างพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?"

'ทาบทามให้ฮาวเวอร์? '

"ท่านพูดเรื่องอะไร เจ้าชายลีโอเพิ่งอายุไม่กี่ขวบปีเอง ฮาวเวอร์อายุก็ยังน้อยแถมยังต้องออกสงครามในอีกไม่กี่ปี เขาจะมาสนใจเรื่องรักใคร่ได้ยังไง มีแต่ท่านที่คิดไปเอง"

นางกล่าวต่อว่าราชาไคออสว่าเพ้อเจ้อ ไคออสเองก็เริ่มลังเลใจแต่ก็ไม่อยากให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันนานๆ จึงได้พาลีโอเดินหนีไป

'หึ! ถ้าเด็กคนนี้เป็นที่หมายตาของอีคอนล่ะก็ แม่คนนี้จะเปิดทางให้เจ้าเอง!'


AUTORENGEDANKEN
LOANO LOANO

ฉันว่าฉันก็เขียนเท่าเดิมนะ แต่ทำไมมันเยอะขึ้น (;=-=)

Load failed, please RETRY

Wöchentlicher Energiestatus

Rank -- Power- Rangliste
Stone -- Power- Stein

Stapelfreischaltung von Kapiteln

Inhaltsverzeichnis

Anzeigeoptionen

Hintergrund

Schriftart

Größe

Kapitel-Kommentare

Schreiben Sie eine Rezension Lese-Status: C19
Fehler beim Posten. Bitte versuchen Sie es erneut
  • Qualität des Schreibens
  • Veröffentlichungsstabilität
  • Geschichtenentwicklung
  • Charakter-Design
  • Welthintergrund

Die Gesamtpunktzahl 0.0

Rezension erfolgreich gepostet! Lesen Sie mehr Rezensionen
Stimmen Sie mit Powerstein ab
Rank NR.-- Macht-Rangliste
Stone -- Power-Stein
Unangemessene Inhalte melden
error Tipp

Missbrauch melden

Kommentare zu Absätzen

Einloggen