ช่องทางเดิมที่ทั้งสามคนขุดหลุมเข้ามา ตอนนี้มีบรรดาแมงมุมตัวใหญ่กำลังทยอยเขามาเกาะอยู่ด้านบนผนังถ้ำจนเต็มพื้น มองดูยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
'อ๊าาาาาาาาาาา แมงมุม! แมงมุม!!!'
ฮาวเวอร์ถึงกับกรีดร้องในขณะที่อีคอนกลับทำหน้าตานิ่งเฉย เขาไม่ได้รู้สึกกลัวแมงมุมเท่าแมลงสาบ จึงไม่ตกใจเท่าไหร่นัก ทันทีที่มองพวกอมนุษย์แมงมุมทยอยเข้ามาจนเสร็จ พวกมันก็ง้างธนูเตรียมยิงคนที่อยู่ตรงพื้น เหล่าแมลงสาบรีบหาที่หลบหนีลูกธนู หมูบ้านใต้ดินแห่งนี้กำลังเป็นสมรภูมิเลือดให้ถูกฆ่าแกงอยู่ฝ่ายเดียว
เฟี้ยว! เฟี้ยว! เฟี้ยว!
ลูกธนูถูกปล่อยให้ลอยเข้าหาเป้าหมาย แต่ก็หยุดกลางคันเสียก่อน เพราะถูกบางอย่างกั้นจนลูกธนูกลิ้งหล่นลงกับพื้น
"บาเรีย…"
ฮาวเวอร์สร้างบาเรียคลุมกันพื้นที่เป็นวงกว้าง แม้แต่แอดดี้ที่วิ่งไปหลบยังโผล่หัวมามองโดมบาเรียขนาดใหญ่ปกคลุมทั่วหมู่บ้าน
"ลิลลี่ ระหว่างเจ้ากับเผ่าอมนุษย์แมงมุม อะไรแข็งแกร่งกว่ากัน"
"ก็ต้องเป็นข้าอยู่แล้วสิ ถึงจะมาเป็นร้อย ก็ไม่คณนามือข้าได้หรอก!"
เธอกลายร่างเป็นสัตว์อสูรสี่ขาแล้วบินขึ้นเหนือบาเรียก่อนจะพ่นไฟออกจากปากใส่เหล่าแมงมุมยักษ์ตรงผนังถ้ำ ตัวที่โดนเผาก็ร่วงลงมาสู่พื้น พวกมันตอบโต้ด้วยการยิงธนูกลับแต่นางป้องกันด้วยการสร้างบาเรียขนาดเล็กดักลูกศรที่จะปักร่างของเธอ
ฮาวเวอร์มองเครื่องสังหารทำงานต่อไปก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่า เมื่อกี้ตัวเองสั่งให้ไปจัดการ แถมตอนนี้เธอก็เป็นลูกน้องเขาแล้วด้วย ความผิดของลูกน้อง เจ้านายก็อาจจะมีเอี่ยวด้วย ตอนนี้เขายังอยู่ในป่าที่มีอันตรายล้อมรอบไปหมด ถ้าหากเขาลงนรกหนึ่งร้อยวันตามจำนวนฆ่า เจ้าอีคอนต้องไม่รอดในป่านี้แน่ๆ บางทีอาจจะตื่นขึ้นมาในท้องของเสือหรือฮิปโปก็ได้ น่าเป็นห่วงจริงๆ
"ลิลลี่! พอได้แล้ว!"
แม้ไม่เข้าใจว่าฮาวเวอร์ต้องการอะไร แต่เธอก็หยุดตามคำสั่ง ก่อนจะบินลงมาหา เพราะคิดว่าคงทำอะไรผิดไปแน่ๆ
"มีอะไรหรือ? ฮาวเวอร์"
ฮาวเวอร์ไม่ตอบก็วิ่งไปที่บาเรียชั้นนอกที่มีเหล่าแมงมุมนอนดิ้นกำลังจะตายเพราะไฟลวก
"ฮิลลิ่ง"
เขารีบรักษาคนที่มีอาการหนักที่สุดก่อนจะสั่งให้แอดดี้ไปอุ้มคนที่ดูอาการหนักที่สุดมาหาเขาก่อน แอดดี้มีท่าทางกลัวๆ แต่ก็ยอมทำตาม คนป่วยถูกแยกออกจากกันตามคำสั่งของฮาวเวอร์ เจ็บหนักให้รักษาด้วยฮิลลิ่งของเขา คนที่เจ็บเบาก็ให้รักษาตัวเอง และให้ลิลลี่เป็นคนคุมความประพฤติคนไม่ดีที่จับได้เอาไว้ แมงมุมบางตัวที่เหลือรอด มองการกระทำนั้นอย่างแปลกใจก่อนจะเดินเข้ามาใกล้อย่างกับตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง
"เจ้ามีนามว่าอะไรรึ? "
แมงมุมตัวหนึ่งตะโกนถามเข้ามา ฮาวเวอร์กำลังตั้งสมาธิกับแมงมุมที่ดูมีอาการหนักที่สุดก่อนจะตวัดสายตาไปมองคนถามอย่างเหลืออด
"ถ้าว่างมากก็ไปตามหาคนบาดเจ็บมากองตรงนี้ แล้วเอาพวกที่พักฟื้นแล้วไปพักผ่อนที่มุมนู้น ถ้าไม่อยากให้พวกมันตายหมดก็อย่าปล่อยให้คนเจ็บรอดสายตา!!"
แมงมุมตัวนั้นถูกสั่งเสียงแข็ง แทนที่จะรู้สึกโมโหกลับซาบซึ้งใจที่คนแปลกหน้าผู้นี้มีน้ำใจรักษาเพื่อนร่วมเผ่าของเขา แมงมุมตัวอื่นรีบเร่งหาเพื่อนที่รู้จักเข้ามารักษากับฮาวเวอร์เฉพาะที่มีอาการหนัก อาการเบาเจ้าพวกนี้ก็รักษากันเอง
เมื่อฮาวเวอร์รักษาเสร็จจนเหลือคนสุดท้าย แมงมุมตัวเดิมก็เดินเข้ามาพร้อมถามคำถามอย่างเดิมที่ยังไม่ได้คำตอบ
"เจ้ามีนามว่าอะไรรึ? "
"ข้าชื่อ ฮาวเวอร์"
"เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าอมนุษย์แมลงสาบกัน แล้วเจ้าเป็นอสูรสายพันธุ์อะไร"
"ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเผ่าอมนุษย์แมลงสาบ และก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา"
แมงมุมตัวนี้พอได้ยินก็ถึงกับตาค้าง เผ่ามนุษย์ไม่มีทางช่วยเหลือเหล่าอมนุษย์โดยไม่หวังผลประโยชน์ แต่ถึงอย่างนั้นเผ่าอมนุษย์แมลงสาบมันมีประโยชน์อะไรด้วยหรือ
"ข้าขอถามอีกนิด เดิมทีมนุษย์ไม่ช่วยเหลือเผ่าอมนุษย์หากไม่มีผลประโยชน์ร่วมกัน การที่เจ้าช่วยพวกเราเผ่าอมนุษย์ทั้งสองสายพันธุ์ เจ้าจะได้ประโยชน์อะไร"
ฮาวเวอร์ทำหน้าจริงจังก่อนตอบ "ไม่ได้อะไรเลย แถมยังเสียพลังเวทย์อย่างเปล่าประโยชน์อีก"
"แล้วทำไมเจ้า…"
"เพราะชีวิตทุกชีวิตมันมีค่า (ติดสถานะไร้ร่าง แล้วส่งจิตผู้ฆ่าไปยังนรกเป็นล้านวันตามจำนวนการฆ่า) ข้าจึงไม่อยากปล่อยให้เสีย (เวลาอย่างเปล่าประโยชน์) ไป"
"เจ้าช่างเป็นผู้มีจิตใจน่านับถือ แต่ถึงเจ้าจะช่วยข้าพ้นวันนี้ไปได้ วันหน้าก็ใช่ว่าข้าจะรอด"
'เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าไม่ได้ตายด้วยน้ำมือข้าก็พอ'
"เพราะคำสั่งของมารงูสินะขอรับ การที่เผ่าเราไร้ประโยชน์ต่อสายตานาง แถมยังอุตส่าห์รอดมาได้ถึงขนาดนี้ นางจึงโกรธและสั่งให้มาสังหารทุกคนที่ไม่อยู่ในอาณัติ เดิมทีเราไม่คิดจะขัดขืนที่อยู่ใต้คำสั่งของนาง แต่นางไม่ชอบรสชาติของพวกเราจึงต้องการจะทำลาย" เอโดเลียกล่าว
'เรื่องนั้นใครอยากฟังวะ'
"ว่าแต่เจ้าเดินทางมาที่ป่าอาถรรพ์ทำไมกันหรือ มนุษย์อย่างเจ้าน่าจะมีที่ให้พักอาศัยอยู่แล้วไม่ใช่หรือ"
"เรื่องนั้นข้าต้องการตั้งฐานพักรบไว้ที่ป่าแห่งนี้ ในเขตที่ไม่ไกลจากอาณาจักรริลกลิมมากนัก"
"ฐานพัก? มนุษย์เนี่ยนะจะเข้ามา ที่นี่ไม่ได้เหมาะให้พักสักเท่าไหร่หรอกนะ ทั้งอสูร ทั้งมารคอยแต่จะฆ่ากันตายเพื่อเอาวิญญาณ"
"วิญญาณ? เจ้าพวกนั้นจะเอาวิญญาณไปทำไม"
"การจะอัพสถานะได้คือการนำวิญญาณมาหลอมรวมกับร่าง ให้สิ่งนั้นเป็นพลังขับเคลื่อนในตัว ยิ่งมีวิญญาณเยอะก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น"
'เพราะอย่างนี้เองสินะถึงได้ส่งวิญญาณเกิดใหม่มาล่ามนุษย์อมตะ เพราะบางทีก็ไม่ได้มีแต่พวกที่ตายไม่ได้ ยังมีพวกไม่ยอมตายอีก แถมยังดูดเอาวิญญาณที่ต้องหมุนเวียนโลกเก็บไว้เป็นของตัวเอง ไม่ปล่อยให้วิญญาณเหล่านั้นได้ตายแล้วเกิดใหม่ในโลกที่อาจมีใครคอยพบเขาอยู่'
"เผ่าอมนุษย์แมลงสาบก็ไม่ได้ถูกล่าเพียงไร้ประโยชน์อย่างเดียวน่ะสิ ก็แค่หาข้ออ้างมาฆ่าเอาวิญญาณเท่านั้น"
"ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด เผ่าของเราเองก็ต้องบูชายัญลูกหลานให้มันทุกปีอีก"
"เจ้าทนมานานขนาดนี้ได้ยังไง รวมหัวกันสู้กับพวกมันไม่ได้หรือไง"
"เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ ความเก่งของมารงูก็อีกเรื่องหนึ่ง ยังไม่รวมถึงมารตนอื่นที่จ้องจะเข้ามาสอดการปกครองพื้นที่เขตนี้อีก ถ้าหากไม่มีมารงูอย่างตอนนี้ เผ่าเราเองก็จะถูกล่าเอาวิญญาณไม่ต่างจากเผ่าอมนุษย์แมลงสาบ"
ฮาวเวอร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนหยิบเอาแผนที่ขึ้นมาวาดต่อ เส้นทางที่เขาเดินมามีสายธารไหลเข้าอาณาจักรโพราเท็สตัดผ่านอยู่ ไม่ไกลจากนั้นก็เป็นเผ่าอมนุษย์แมลงสาบ ตรงที่เขาอยู่ตอนนี้ยังเป็นพื้นที่ของฝั่งโพราเท็ส การจะเข้าไปฝั่งนั้นก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร
"เจ้าแมงมุม…"
"ข้ามีชื่อนะ! ข้ามีนามว่าโลอาโนเป็นรองหัวหน้าเผ่ามางามู"
"เจ้าดูแผนที่ตรงนี้หน่อยสิ ที่เขตนี้เป็นการปกครองของใคร? "
ฮาวเวอร์เมินชื่อโลอาโนก่อนจะยื่นแผนที่ให้ดู เขาทำหน้าฟึดฟัดก่อนจะดูแผนที่ตรงส่วนที่เขาไม่ได้วาดอะไร แต่ก็พอเดาออกว่าเป็นที่ไหน
"บริเวณนี้เป็นที่คาบเกี่ยวกันกับเผ่าคามาโดเป็นเขตปกครองตัวเองที่รวมเอาเผ่าประเภทเดียวกันเข้าร่วม ถึงจะไม่มีมารคอยคุ้มครองแต่เผ่านี้ทำสัญญากับปีศาจและสามารถเรียกมาต่อสู้ได้ทุกเมื่อ และอีกฝั่งคือเผ่าขนที่อยู่ในอาณัติของมารโมงุนเป็นศัตรูกับเผ่ามารงูอยู่ตอนนี้"
"สามเขตนี้ข้าต้องผ่านเข้าไปตั้งฐานทัพ พวกมารนี่พอจะเจรจากันได้ไหม? "
"ไม่มีทางหรอกขอรับ พวกเราเอาชนะกันด้วยกำลัง คนที่แพ้มีแต่ต้องศิโรราบและยอมทำตามคำสั่งอย่างไม่มีเงื่อนไข"
"ไม่มีทางเลือกอื่นเลยสินะ แต่ยังไงข้าก็ต้องไป หากว่าเจ้าพาข้าไปหามารงูได้ข้าอาจจะช่วยปลดปล่อยพวกเจ้าจากการถูกกดขี่แล้วช่วยแต่งตั้งผู้ปกครองใหม่ที่พวกเจ้าอยากจะเลือก"
"ไม่มีทางหรอกขอรับ ข้าบอกไปแล้วไงว่าถึงมารงูจะถูกฆ่าพวกเราก็ถูกหมายหัวอยู่ดี ทางที่ดีอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมันเลยขอรับ ตัดใจเรื่องตั้งฐานพักไปจะดีกว่า"
"นี่เจ้ากล้าสั่งเจ้าชายแห่งอาณาจักรริลกลิมอย่างนั้นหรือ ข้าอุตส่าห์จะช่วยให้พวกเจ้าเป็นอิสระโดยการตั้งพันธมิตรร่วมกับมนุษย์ผู้ปกครองอาณาจักรอย่างข้า เจ้ามองว่ามันเปล่าประโยชน์ด้วยอีกคนงั้นหรือ? "
ฮาวเวอร์ทำท่าข่มขู่ให้อีกฝ่ายยอมจำนนแล้วเข้าร่วม โลอาโนเองก็คิดหนักก่อนจะเริ่มหาทางออกอย่างอื่นที่นึกขึ้นได้เมื่อกี้
"ข้าก็อยากจะเข้าร่วมกับท่านอยู่หรอก แต่ท่านต้องพิสูจน์ก่อนว่าตัวเองแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้กับผู้ปกครองทั้งสามเขตนี้"
"แล้วจะให้ข้าพิสูจน์ยังไง"
โลอาโนพาฮาวเวอร์ออกมาจากหมู่บ้านใต้ดินพร้อมผู้ติดตามของตัวเองอีกสองคน และของฮาวเวอร์อีกสองคนเช่นกัน เมื่อเดินมาถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่งก็หยุดมองก่อนจะกล่าวความนัย
"ถ้ำแห่งนี้เป็นที่อาศัยของหมียักษ์ มันเป็นลูกผสมระหว่างยักษ์กับอมนุษย์หมี เพราะความแปลกแยกจึงทำให้มันถูกเนรเทศออกจากกลุ่มแล้วมาอาศัยอยู่ที่นี่แทน ความแข็งแกร่งของมันเทียบกับมารได้เลย แต่เพราะไม่มีความเชื่อใจในพวกพ้องถึงเลือกที่จะอยู่อย่างสันโดษ"
"งั้นข้าจะทำให้มันจำนน แต่ก็ไม่ถึงกับฆ่าให้ตายก็แล้วกัน"
"นั่นก็แล้วแต่ความประสงค์ของทาน"
ฮาวเวอร์เดินเข้าถ้ำไปเพียงลำพัง มองถ้ำกว้างยาวลึกเข้าไปถึงภายใน ไม่รู้ว่าเจ้าหมีนั่นยังอยู่ที่เดิมไหมแต่ก็เข้าไปเรื่อยๆ และคิดว่าไม่นานก็คงเจอ
เฟี้ยว!
เงาดำพุ่งเข้ามาหาฮาวเวอร์ด้วยความเร็วสูง โชคดีที่เขายังหลบได้ เขาหลบเข้าหลังโขดหิน สิ่งที่พุ่งเข้ามาเป็นก้อนเมือกที่ดำเลื่อมยาวยื่นออกมาจากความมืดภายในถ้ำ มันค่อย ๆ หดตัวเข้าไป แต่ฮาวเวอร์ไม่ปล่อย เขาใช้ดาบเข้าฟันมันจนขาดเป็นสองท่อน เมื่อก้อนเมือกนั้นมันแยกออกจากกันก็ดิ้นพล่านราวกับไส้เดือน ส่วนที่เชื่อมกับตัวในถ้ำมันรีบหดกลับจนหายไปในความมืด ฮาวเวอร์ค่อย ๆ เดินออกมาดูอีกส่วนที่ยังดิ้นอยู่ ภายในเมือกสีดำมีซากกระดูกของสิ่งมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะของสัตว์หรือของอมนุษย์
'เจ้าโลอาโนมันให้ข้าสู้กับตัวอะไรกันแน่เนี่ย!'
ฟ้าว ฟึบ
เมือกสีดำมันพุ่งออกมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันพุ่งมาเร็วกว่าเดิม มันไม่ได้พุ่งในแนวตรงอย่างเดียวกลับตวัดไปมาราวกับจะคว้าร่างของฮาวเวอร์ให้ได้ เมื่อมันไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็ยิ่งเร่งความเร็วและเพิ่มจำนวนเมือกดำเข้ามาควานหาตัวฮาวเวอร์อีก เมื่อหลบหลีกได้ยากฮาวเวอร์ใช้ดาบด้ามเดิมฟันเมือกดำจนขาดวิ่น ดูท่ามันคงไม่โผล่หัวออกมาให้เห็น ฮาวเวอร์จึงต้องตวัดดาบเข้าไปในถ้ำแบบสุ่ม ภายในไม่มีเสียงตอบกลับ แถมไม่ได้ยินเสียงกระทบของแรงดาบปะทะกลับผนังถ้ำใด ๆ เลย
'ข้างในมันคือตัวอะไรกันแน่วะ?!'
เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรก็มีแต่ต้องเข้าไปให้เห็นกับตาเท่านั้น แต่เพราะความมืดด้านใน ต่อให้เขาเข้าไปก็อาจไม่เห็นมันอยู่ดี มีแต่ต้องล่อมันออกมาเท่านั้น
เฟี้ยว!
ก้อนเมือกที่ถูกตัดก่อนหน้านี้มันรวมตัวกันเป็นก้อนก่อนจะพุ่งมาทำร้ายเขาจากด้านหลัง ฮาวเวอร์ไม่ทันหลบมันก็โดนเมือกนั้นเข้าอย่างจัง นอกจากความจุกจากแรงปะทะแล้วไอ้ก้อนเมือกมันก็ลุกลามไปรอบจนตรึงตัวไม่อาจขยับได้อย่างอิสระ ความเหนียวหนืดของมันยิ่งทำให้รู้ว่าต่อให้สัตว์ป่าหรืออมนุษย์ที่ตัวใหญ่แรงเยอะมากแค่ไหนเมื่อถูกสิ่งนี้ก็อาจตายได้อย่างง่ายดายเหมือนกับซากอื่นๆ ในเมือกมีแต่ผู้หลบหนีชะตากรรมของตัวเองไม่ได้ แต่กับฮาวเวอร์นั้นไม่ใช่ ระหว่างที่มันลุกลามร่างกายเขาจนทั่วเหลือแต่มือข้างขวาที่พยายามจะหาสิ่งของมาดึงเมือกนี้ออก ในที่สุดเขาก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคยจากเมือกมรณะนี่ กลิ่นของสิ่งที่เขาเคยรู้จักจากซากเรือล่มที่อ่าวทะเลทิศใต้ของประเทศเมอเรตาร์จากชาติก่อน มันคือปิโตรเลียม มหันตภัยบนทะเลที่พรากสิ่งมีชีวิตและทำลายระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ ดีแลนใช้เวลาหลายปีกว่าจะกำจัดมันออกจนหมดและคืนสภาพแวดล้อมการเป็นอยู่ของสัตว์ในทะเลกลับคืนมา ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าน้ำมันชนิดนี้จะก่อตัวเป็นสิ่งมีชีวิตขยับได้และไล่เขมือบสัตว์ตัวอื่นๆ อย่างตัวที่อยู่ในถ้ำ แปลกจริง การที่น้ำมันปิโตรเลียมจะเกิดขึ้นได้ต้องใช้เวลาหลายล้านปีโดยมีองค์ประกอบอื่น ๆ ประกอบด้วย เท่ากับว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้มันอยู่มาหลายล้านปีแล้ว รวมถึงสร้างองค์ประกอบที่เหมาะกับการเป็นอยู่ของตัวเองจนมีสภาพร่างกายเป็นอย่างนี้ อะไรคือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้มันขยับได้ นอกจากขยับได้แล้วมันยังมีสติปัญญาด้วยหรือเปล่า หรือตัวปิโตรเลียมเป็นเพียงเครื่องมือของสิ่งที่อยู่ภายใน
ฮาวเวอร์กลั่นกรองความคิดก่อนจะร่ายเวทย์ไฟใส่ตัวที่อยู่ด้านหน้าตัวเองก่อน ไฟลุกท่วมตัวมันก่อนจะลามเข้ามาถึงตัวเขา ฮาวเวอร์ไม่สนไฟที่ลุกไหม้ตัวเอง คอยดูปฏิกิริยาของมันจนกระทั่งมันระเหยหดตัวลงจนเหลือเพียงซากกระดูกภายใน แถมบางส่วนที่อยู่บนตัวเขาก็ระเหยออกไปจนไม่เหลือ ทิ้งไว้เพียงรอยแผลไหม้ลามไปทั้งตัว ฮาวเวอร์ฮิลลิ่งร่างกายจนกลับเป็นปกติก่อนจะใช้เวทย์ย้อนกลับคืนสภาพเสื้อผ้าให้กลับมาอย่างเดิม เขาเดินเข้าไปในถ้ำทั้งยังสร้างบาเรียกั้นตัวเองพร้อมสร้างลูกไฟไว้บนฝ่ามือส่องแสงไสวในความมืดแล้วเดินเข้าไปในถ้ำ
โลอาโนและผู้เห็นเหตุการณ์จากภายนอกมองเข้าไปเห็นการต่อสู้ภายใน เมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ภายในไม่ใช่หมียักษ์ต่างก็หวาดกลัว แถมมันยังน่ากลัวกว่าหมียักษ์หลายเท่า จอมเขมือบที่ขึ้นชื่อเรื่องการกินไม่เลือก มันย้ายที่อยู่อาศัยมานี่แถมยังเขมือบหมียักษ์ไปแล้วด้วย ใช่ว่าอมนุษย์เผ่าอื่นจะไม่เคยต่อสู้กับตัวข้างใน พวกเขาสู้จนรู้วิธีหลบหนีมันได้ แต่ไม่รู้วิธีเอาชนะหรือกำจัดมัน จึงต้องปล่อยให้มันเร่ร่อนไปมาและพยายามแจ้งการเคลื่อนไหวของมันตลอด แต่บางทีถ้ำที่มันอาศัยก็สามารถทะลุไปทั่วป่าอาถรรพ์ได้จึงจับไม่ได้ว่ามันอยู่ที่ไหนบ้าง แต่เหนือสิ่งอื่นใด จอมเขมือบนั่นยังมีสิ่งที่เขาหาคำพูดใดมาอธิบายความน่ากลัวของมันไม่ได้อยู่ ความน่ากลัวที่ว่านั่นคือสิ่งที่อมนุษย์อย่างเขาไม่อาจเอาชนะมันได้ เพราะมันไม่อ่อนแรง ไม่เหน็ดเหนื่อย และที่สำคัญคือ มันไม่ตาย…
ทางฝั่งฮาวเวอร์ เขาเดินเข้ามาโดยที่ไม่ถูกมันโจมตีกลับ ระยะทางไกลจนไม่อาจจินตนาการได้ว่าขนาดตัวมันต้องใหญ่แค่ไหนถึงได้ยืดเมือกพวกนั้นออกไปนอกถ้ำได้ มิน่าเล่า ตอนที่เขาเหวี่ยงดาบเข้าถ้ำมันถึงได้เงียบกริบ แต่ถึงอย่างนั้นก็หมายความว่าที่มันโจมตีเขาออกมาได้ แสดงว่ามันมีสัมผัสการรับรู้ที่กว้างไกลเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะทำได้ และต่อให้เป็นอณูเวทย์ที่เขาเคยใช้ก็มีระยะเพียงแค่ 100 เมตรเพียงเท่านั้น จากที่ฮาวเวอร์เดินมามันนานพอจนทำให้พลังเวทย์อันมหาศาลของเขาอ่อนลง ฮาวเวอร์ต้องปลดบาเรียออกเหลือเพียงลูกไฟบนฝ่ามือก้อนเล็ก ๆ พอให้เห็นทาง เส้นทางเริ่มเล็กลงเรื่อย ๆ แต่ก็กว้างพอสำหรับเด็กอย่างฮาวเวอร์เดินเข้าไปอีกจนบรรจบลงที่กำแพงถ้ำ ตอนแรกเขานึกว่ามันจะสิ้นสุดลงตรงนี้แต่กลับกลายเป็นว่าด้านล่างตรงปลายเท้าของเขามีหลุมลึกให้ลงไปอยู่
ฮาวเวอร์โยนลูกไฟบนมือลงไปแสงสว่างของมันไล่ตามความมืดลึกลงไปสู่ด้านล่าง แต่ยังไม่ทันถึงพื้นก็ปรากฏความประหลาดให้เห็น ท่ามกลางความมืดมีลูกตาดวงใหญ่จ้องมองเขาจากภายใน ลูกไฟกระทบลงพื้นและดับลง ความเงียบเพียงชั่วขณะถูกทำลายลงด้วยการขยับตัวครั้งใหญ่ของสิ่งประหลาดภายใน มันโถมร่างเข้าปะทะฮาวเวอร์จนท่วมทั้งถ้ำ ฮาวเวอร์ไม่อาจหลบหนีขนาดตัวของมันได้ แต่ยังดีที่สร้างบาเรียไว้ทันทำให้เมือกนั่นไม่สามารถพันธนาการเขาได้อีกเป็นครั้งที่สอง
เจ้าสิ่งนี้มีสติปัญญาหรือใช้เพียงสัญชาตญาณนักล่าล่อเขาเข้ามาในถ้ำกันแน่ ให้ฮาวเวอร์หมดทางหนี และถูกจองจำในร่างเมือกนี้ตราบนานเท่านาน แต่ถึงอย่างนั้นฮาวเวอร์ก็ไม่ยอมรับ เขาใช้ลูกไฟเผาร่างของสิ่งมีชีวิตประหลาดจนมันหดหนี ร่างของมันค่อย ๆ คายเขาออกแต่ก็ไม่หยุดโจมตี มันพ่นลูกเมือกใส่เขาและปล่อยให้มันเกาะตัวกันเป็นเมือกอีกก้อนไว้ปะทะกับเขา ถ้าเป็นอย่างนี้หมายความว่า ร่างต้นมีบางอย่างสำคัญให้ต้องปกป้องอยู่
ฮาวเวอร์ต่อสู้กับร่างเล็กจนตรึงมือ ร่างใหญ่ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ คอยโจมตีเขาตอนที่ตั้งหลักไม่ทัน การต่อสู้นี้เป็นไปอย่างไม่จบไม่สิ้น ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ฮาวเวอร์ยังคงต่อสู้กับมันจนพลังเวทย์เริ่มลดลง แถมร่างกายก็เหนื่อยหอบจนหลบการโจมตีอื่นไม่ทัน ความเหนื่อยล้าเข้าถาโถมอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งต้องเผชิญ แต่สัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ต้องเผชิญกับสิ่งนั้น มันไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยอย่างฮาวเวอร์ แถมสิ่งที่พ่นมาจนติดไฟหายไปนั้นก็ยังไม่หมด อากาศภายในก็ลดลงเพราะถ้ำลึก ถ้าเขาไม่ตายเพราะเมือกดำก็ตายเพราะภาวะพร่องออกซิเจนเสียก่อน
ฮาวเวอร์พยายามถอยไปตั้งหลักที่ปลายหลุมแต่เจ้าสิ่งนั้นไม่ยอมปล่อย เมื่อหมดหนทางต่อสู้ ฮาวเวอร์ค่อยๆ ถูกกลืนเข้าไปในเมือกสีดำ ความเหนื่อยล้าถูกบรรเทาลงกับความเย็นเยือกภายในตัวมัน ฮาวเวอร์ยังไม่สิ้นใจตายในขณะที่ร่างค่อย ๆ ถูกกัดกร่อนจนชา แต่ในความมืดนั้นเขาสัมผัสอะไรบางอย่างที่เย็นเฉียบยิ่งกว่าเมือกของสัตว์ประหลาด ขนาดของมันเรียวเล็กและไล่เลื้อยมาที่มือเขา ซอกนิ้วทั้งห้าถูกกุมเอาไว้คล้ายมือของใครสักคน
'ไม่มีทาง ใครมันจะอยู่ในเมือกได้นานขนาดนี้ หรือนี่จะเป็นร่างต้นที่มันปกป้องอยู่!!'
'ช่วยด้วย…'
ในจิตสำนึกของฮาวเวอร์มีเสียงเรียกอื่นนอกจากความคิดของเขาเองหรืออีคอน ฮาวเวอร์คิดว่าตัวเองคงประสาทหลอนเพราะกำลังจะตาย แต่เมื่อมือที่กุมอยู่เริ่มดึงเขาเข้าไปกอดในอ้อมอกที่ไม่อาจจินตนาการได้ว่าเป็นชายหรือหญิง รู้เพียงว่าร่างนี้บอบบาง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจคิดได้ว่าบนโลกที่เขามาเกิดนี้จะมีโทรจิตอยู่ด้วย
'ช่วยข้าที… เหงา…เหงาเหลือเกิน…. อยากได้...สักคนอยู่ด้วย อยู่ด้วยกัน กับข้า'
'ขยะแขยงวะ ต่อให้อยู่ในนี้ไปพร้อมกับเจ้า ข้าก็ไม่เติมเต็มความเหงาเจ้าหรอก'
'ฮึก…ฮืออออ ทำไม…'
ฮาวเวอร์ขยับดาบแทงเข้าร่างที่กอดเขาอยู่หลายครั้งจนหมดแรง ตัวเมือกไหวสั่นรุนแรงจนพรากเขาออกจากอ้อมกอดปริศนา ตัวฮาวเวอร์ถูกผลักออกจากเมือกดำจนกระแทกกับผนังถ้ำ เมื่อได้รับอากาศหายใจอีกครั้งยิ่งตอกย้ำให้เขาต้องเผชิญกับความอันตรายต่อ ในเมื่อเขารู้ว่าข้างในมีร่างของมนุษย์อีกคนคอยควบคุม เขาก็ไม่ต้องเสียเวลากับร่างเมือกดำอีกต่อไป แถมตอนที่เข้าไปในเมือกก็รู้สึกเหมือนถูกสูบความเหนื่อยล้าออกจากร่างไปด้วย ฮาวเวอร์ใช้ลูกไฟที่เพิ่งฟื้นพลังเวทย์ปาใส่มันอีกครั้ง ร่างหลักของมันหลบเลี่ยงลูกไฟได้หมดอย่างกับรู้ทิศทางล่วงหน้า ในเมื่อต่อสู้ระยะไกลไม่ได้ก็ต้องวิ่งเข้าใส่ ฮาวเวอร์พุ่งตัวเข้าฟันมันกับตัวพลางร่ายลูกไฟเอาไวในมือ เมื่อมันหลบการโจมตีระยะประชิดไม่ได้ ร่างหลักมันก็ลุกเป็นไฟ เมือกดำใหญ่มันรีบพุ่งตัวออกจากส่วนที่ติดไฟจนขนาดเล็กลง และแบ่งร่างขนาดเท่ากันกับตัวหลักเพิ่มขึ้น คราวนี้ดูไม่ออกเลยว่าร่างไหนคือร่างจริงที่มีมนุษย์ซ่อนอยู่ ฮาวเวอร์ใช้ท่าเดิมกับมันอีกครั้งจนก้อนเมือกที่มันสร้างลดลง
'แกเสร็จฉันแน่ไอ้ก้อนขี้มูก!'
พึบ!
ลูกไฟที่ร่ายออกมาค่อยๆ หายและดับไปกับตา ไฟรอบ ๆ ที่ลุกลามก้อนเมือกก็มอดดับไปด้วย ฮาวเวอร์เริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกจนหน้ามืด แสงไฟไม่มี อากาศไม่มี หายนะของจริงกำลังเริ่ม เมือกดำเริ่มกลับมารวมตัวอีกครั้งและโถมตัวเข้าใส่ฮาวเวอร์ ความเย็นเยือกโอบล้อมร่างกายเขาอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าเมือกของมันจะช่วยฟื้นพลังเวทย์ แต่ถ้าไม่มีไฟ ไม่มีอากาศหายใจ โอกาสชนะก็เท่ากับศูนย์ แต่หมาจนมุมอย่างฮาวเวอร์หรือจะยอมแพ้ หากเขาตายก็คงฟื้นมาในเมือกนี่อีกอยู่ดี ถ้าหลุดออกจากมันไม่ได้ก็จะถูกขังเอาไว้คุยเป็นเพื่อนเล่นกับมนุษย์ในเมือกนั่นจนกระทั่งโลกแตก! ข้อตกลงที่ทำไว้ก็ยุติ ดีแลนจะไม่ได้เกิดในโลกที่ดีขึ้น แถมเขายังไม่ได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์ที่มีแต่เหล่าลูคัสอีก!
ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!
'ถ้าต้องอยู่อย่างนี้ ขอสู้จนตายซ้ำตายซากยังจะดีกว่า!!'
ฮาวเวอร์แกว่งดาบในเมือกอย่างบ้าคลั่ง ดาบที่เขาถือคือดาบที่ใช้พลังเวทย์ของผู้ใช้เป็นหลักมันจะขยายขอบเขตการโจมตีตามพลังของผู้ใช้ ฮาวเวอร์ที่พลังเวทย์มหาศาลบวกกับความคลั่งของเขาในตอนนี้ แม้แต่เมือกเหนียวก็ถูกผ่าออกจากกันเป็นชิ้น ๆ ทั้งผนังถ้ำและก้อนหินเองก็ถูกผ่าเช่นเดียวกัน ร่างของเมือกเหนียวหลุดออกจากกันและปนกับก้อนหินจนเละเหลว เมื่อมีอะไรให้ยึดเหนี่ยวฮาวเวอร์ก็รีบคว้าก้อนหินยักษ์เพื่อดึงตัวขึ้น ดูเหมือนว่าแรงดาบของเขาจะฟาดไม่ยั้งจนผนังถ้ำแตกออก แต่ความลึกและตัวถ้ำหนาแน่นคงไม่ถล่มลงมาง่าย เมื่อหลุดออกจากพันธนาการก็วิ่งไปตามก้อนหินและกระโดดออกจากหลุมจนรู้สาเหตุของอากาศที่หายไป เมือกที่แยกตัวออกมาในตอนนั้น มันใช้โอกาสที่เขาพุ่งโจมตีเมือกอื่นๆ ให้เมือกอีกก้อนขึ้นมาปิดทางเข้าออกของผนังถ้ำ เพราะความเหนียวของมันปิดซอกหินอย่างมิดชิดทำให้อากาศถ่ายเทได้ยาก พอไม่มีออกซิเจนไฟก็ไม่เกิดการเผาไหม้ ไม่รู้ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนี่รู้วิธีนี้มาจากไหน แต่นับว่ามันเก่งไม่เบา ฮาวเวอร์ฟันดาบผ่าก้อนเมือกที่ปิดทางออก แสงริบหรี่จากปลายอุโมงค์ส่องเข้ามา อากาศเริ่มถ่ายเทจนหายใจออก
'คราวนี้แหละ แกได้ปิดฉากจริงๆ แน่'
ภาวะพร่องออกซิเจน
เกิดจากการได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้มีปริมาณออกซิเจนในเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะต่าง ๆ ต่ำกว่ามาตรฐาน ส่งผลให้การทำงานของร่างกายและสมองบกพร่อง
หากออกซิเจนลดลงมาก ๆ จะกระทบต่อระบบหายใจ ระบบเลือด สมอง ประสาท กล้ามเนื้อ และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย จนเสียชีวิตได้
อ้างอิง http://fresho2pureair.com/th/รู้จักภาวะ-hypoxia/