"จู่ๆ มาบอกชอบมาจีบปุ๊บปั๊บแบบนี้...มันเชื่อได้เหรอ"
ผมงึมงำพูดกับตัวเองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองดูผ้าเช็ดหน้าแห่งความหลังแล้วได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างอับจนหนทาง ใจที่สับสนวุ่นวายมาตั้งแต่บ่ายพลันปั่นป่วนอีกครั้ง
ยกมือขึ้นลูบผ้าเช็ดหน้าผืนสำคัญเบาๆ ก่อนจะพับเก็บมันวางลงไว้ที่เดิม จากนั้นก็ลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดไปรเวทชุดทำงานชุดสูทมาวางกองบนเตียงก่อนแล้วเดินไปลากกระเป๋าลากใหญ่มากางบนพื้นตรงปลายเตียง
จัดการพับเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพียงไม่นาน กระเป๋าเดินทางของผมก็อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าแทบล้น ไปตั้งหนึ่งเดือนเชียวนะ ไม่ให้เยอะได้ยังไง
"อาบน้ำก่อนดีกว่า" ของที่เหลือที่ต้องเก็บเป็นพวกเครื่องสำอางครีมบำรุงผิวดังนั้นผมเลยไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยออกมาเก็บของกระจุกกระจิกใส่กระเป๋าเดินทางขนาดกลาง
ผมใช้เวลาอาบน้ำประมาณครึ่งชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย สดชื่นเบาสบายตัวสุดๆ หลังจากแต่งตัวแล้วก็หันไปเก็บของต่อ ครีมบำรุงหรือน้ำหอมนำขึ้นเครื่องได้ไม่เยอะ ผมเลยเลือกอันที่จำเป็นจริงๆ
อันไหนหาซื้อได้ก็ไปซื้อที่เมืองจีนเอา
ก๊อกๆ
กำลังเก็บของเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู กำลังจะบอกว่าประตูไม่ได้ล็อกดันนึกได้ว่าล็อกห้องไปก่อนหน้านี้ จึงรีบวางของในมือลงแล้วเดินไปเปิดประตูให้นับหนึ่ง
"เข้ามาก่อนสิ" ผมตามความเคยชินแล้วผลักประตูออกให้เปิดกว้างขึ้น
นับหนึ่งเดินเข้ามาแล้วมองดูกระเป๋าเดินทางของผมเล็กน้อย "ยังเก็บของไม่เสร็จเหรอ"
"เห็นว่าเสร็จยังล่ะ" เออ มีตาก็ดูเอาสิ
"งั้นเดี๋ยวค่อยมาเก็บต่อ" อีกฝ่ายแนะนำ "ลงไปกินข้าวก่อนเดี๋ยวมันจะเย็นหมด"
"ตอนนี้กี่โมงแล้ว"
"ตอนนี้หนึ่งทุ่มกว่าแล้ว" คนตัวสูงพลิกดูนาฬิกาข้อมือ "ยังเหลือเวลาอีกเยอะ ไปกินข้าวก่อน"
ผมคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินตามหลังนับหนึ่งลงไปกินข้าวก่อน เมื่อเดินมาถึงโต๊ะอาหารแล้วต้องประหลาดใจกับสีสันหน้าตาของอาหารสุดๆ
พ่อครัวหนึ่งวันยิ้มกริ่มทันทีเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของผม "อึ้งสิ น่ากินใช่มั้ย"
"...ก็พอดูได้" ตอนแรกตั้งใจจะชมอยู่หรอกแต่ดันได้ยินน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจมั่นหน้าของมันแล้วก็อดเบะปากหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆ
"พอดูได้อะไร! น่ากินจะตาย!" นับหนึ่งถลึงตาใส่ผมอย่างไม่พอใจแล้วเดินไปหยิบแก้วน้ำกับเหยือกน้ำเย็นออกมาจากตู้เย็นวางกระแทกลงบนโต๊ะไม่เบานัก
"นี่! เดี๋ยวแก้วก็แตกพอดี!"
"แตกก็ซื้อใหม่!" มันมองค้อนผมตาขวางอย่างเคืองไม่หาย
ไอ้นี่ก็ขี้งอนขี้น้อยใจจริงๆ ผมหลุดหัวเราะแล้วส่ายหัวแต่มันเข้าใจผิดไปอีกอย่าง
"หัวเราะอะไร กลัวกูไม่ซื้อแก้วใหม่ให้รึไง" นับหนึ่งร้องฮึในลำคออย่างถือดี "คนอย่างกูนะซื้อโรงงานแก้วโรงงานจานช้อนส้อมทั้งประเทศก็ยังได้"
อวดอีกแหละ เบื่อคนรวยจริงๆ
"ไม่เถียงกับมึงแล้ว" ผมยอมลงให้อีกเหมือนเคย "ถึงหน้าตาจะดูน่ากินแต่ยังไงมันก็ต้องตัดสินที่รสชาติ"
นับหนึ่งรินน้ำให้ผมแล้วยักไหล่อย่างสบายๆ ประมาณว่าฝีมือทำอาหารของมันดีเลิศแน่นอน ผมคลี่ยิ้มแล้วหยิบช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมกินข้าวมื้อเย็นแสนพิเศษ
แต่เมื่อมองจานข้าวแล้วต้องชะงักกึก...
"นับหนึ่ง"
"หือ?"
"ไหนข้าว"
"!!"
สีหน้าตื่นตระหนกของนับหนึ่งทำเอาผมอยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันที
"อย่าบอกนะว่ามึงลืมหุงข้าว?"
รอยยิ้มกระอักกระอ่วนผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาทันทีแล้วทำหน้าไร้เดียงสา
"...เอ่อ กินกับข้าวเปล่าๆ ไม่ได้เหรอ"
บ้านมึงกินข้าวเย็นเป็นกับข้าวเปล่าๆ เหรอ ไอ้เวร!
"มึงไปหุงข้าวเดี๋ยวนี้!"
"เอ่อ.."
"อะไร!"
"กูหุงข้าวไม่เป็น"
"..."
"มึงหุงให้หน่อยนะ แหะๆ"
"…"
"เร็วๆ นะ กูหิวมากเลย"
สุดท้ายเเล้วผมก็ต้องมาดูเเลมันอยู่ดี
ไอ้เวรเอ๊ย!
------------
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้ววางช้อนส้อมในมือลงอย่างหงุดหงิดเล็กๆ บวกโมโหหิวหน่อยๆ กลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด
"ไม่หุงเดี๋ยวสั่งแกร๊บฟู้ดเอาแล้วกัน" เออ หุงข้าวเองก็ต้องสิบนาทียี่สิบนาที
กำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสั่งข้าวแต่นับหนึ่งกลับฉกโทรศัพท์ของผมไปซะก่อน
"ไม่ให้สั่ง" นับหนึ่งว่า "หุงเองอร่อยกว่า"
"กูขี้เกียจ"
"ไปหุง"
"จะสั่ง"
"ไม่ให้สั่ง" นับหนึ่งเลิกคิ้วขึ้น "ถ้ามึงสั่งข้าวมา กูจะตัดเงินเดือน!"
วอท! เดอะ! ฟัค!
ผมอ้าปากค้างแล้วมองไอ้เจ้านายบัดซบด้วยแววตาอยากจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอดไปไปเลย เอะอะสู้ไม่ได้ก็ตัดเงินเดือน
แม่งเอ๊ย ใครใช้ให้มันเป็นคนกุมชะตาชีวิตการเงินผมเล่า
"รอกูหุงข้าวเสร็จ มึงคงหิวตาลายแล้ว" มึงไม่หิวตาลายก็กูนี่แหละ หิวจนแดกหัวมึง!
"กูรอได้"
"แต่กูรอไม่ไหว เข้าใจมั้ยฮะ!" ผมถลึงตาใส่อย่างไม่ยอมง่ายๆ ลุกขึ้นโน้มตัวข้ามโต๊ะแย่งโทรศัพท์จากมือของนับหนึ่งมาเพื่อสั่งข้าว "กูหิวข้าว!"
เมื่อกลางวันกินไปแค่นิดๆ หน่อยๆ ตอนนี้เลยหิวไส้กิ่วสุดๆ
"โอเคๆ! สั่งข้าวก็สั่งข้าว" นับหนึ่งเห็นท่าทางไม่ยอมและเอาจริงเอาจังของผมก็จิ๊ปากยอมคืนโทรศัพท์ให้ "ฮึ่ย มึงหุงข้าวเองอร่อยกว่า"
"ให้กูทำมื้อเย็นแต่แรกก็ได้แดกข้าวฝีมือกูแล้วมั้ย" ผมเหลือบมองมันอย่างหงุดหงิดพลางถอนหายใจพรืดใหญ่ มือกดโทรศัพท์เข้าแอพสั่งอาหารทันที
ผมสั่งข้าวสวยสองกล่องแล้วก็สั่งต้มยำทะเลมาเพิ่มด้วย บนโต๊ะยังไม่มีของเผ็ดเท่าไร
"มึงรอรับข้าวด้วย กูขึ้นไปเก็บของต่อก่อน" หลังจากกดสั่งเรียบร้อยแล้วก็ส่งโทรศัพท์ให้นับหนึ่ง "อ้อ จ่ายเงินค่าข้าวด้วย"
"สั่งเป็นเมียกูเลยนะ" นับหนึ่งฉีกยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าหงึกๆ "แต่ก็ถูก อนาคตมึงก็เมียกูอยู่แล้ว"
"เมียมึง? ฝันไปก่อนเถอะ" ขี้เกียจจะพูดกับมันแล้ว อยากกจะละเมอเพ้อพกก็เรื่องของมัน
นับหนึ่งนิ่วหน้าหยิบโทรศัพท์ผมยัดใส่กระเป๋าแล้วเดินตามหลังผมต้อยๆ หันกลับไปขมวดคิ้วใส่อย่างงงๆ "ตามมาทำไม"
"ไปช่วยมึงเก็บของ" มันตอบหน้าซื่อ
ผมหลุดหัวเราะแล้วเชิดคางขึ้น "มึงจัดกระเป๋าเป็น?"
"..." เงียบกริบก่อนตอบอ้อมแอ้ม "ไม่เป็น"
มันจัดกระเป๋าเป็นสิแปลก
ถ้าไม่ใช่พ่อบ้านจัดกระเป๋าให้ไอ้ป๋า
ผมนี่แหละ เลขาสารพัดประโยชน์ที่เป็นคนจัดกระเป๋าให้
พอได้ยินคำตอบที่ไม่เกินเลยไปจากที่คาดไว้ก็หลุดขำนิดๆ แล้วส่ายหัว ก้าวเท้าเดินขึ้นห้องต่อโดยไม่พูดอะไร ส่วนนับหนึ่งยังคงเดินหลังมาไม่ห่าง
เมื่อเข้ามาในห้องแล้วไอ้คนที่บอกว่าจะช่วยเก็บของเหรอ นู่น เดินสำรวจมุมนั้นมุมนี้เหมือนไม่เคยมาห้องผมไปได้ มาเป็นสิบๆ ครั้งแล้วยังจะมีอะไรให้ดูอีก
ผมกลับมานั่งเก็บของต่อเงียบๆ ส่วนไอ้ป๋ามันอยากทำอะไรก็ทำไป ส่วนข้าวของความลับในลิ้นชักหัวเตียงของผมนั้นล็อกกุญแจไว้แล้ว
เพราะงั้นสบายใจได้...
"นี่...มึงเก็บรูปคู่ของเราเป็นอัลบั้มเลยเหรอวะ"
...!
"เห มีรูปแอบถ่ายกูเยอะจัง"
ฉิบหายแหละ ลืมไปว่าอัลบั้มรูปไม่ได้เก็บ อ๊ากกกก!
"อุ๊ย มึงสะสมรูปคู่ตั้งแต่มัธยมเลยเหรอ ดีๆ กูจะเอาไปทำวิดีโอพรีเวดดิ้ง!"
พรีเวดดิ้งบ้านมึงสิ
ใคร ใครจะแต่งกับมึง!