ดินเนอร์?
ก็แค่กินข้าวเย็นมั้ย
จำเป็นต้องเหมาเรือด้วยเหรอ กินแบบธรรมดาจะตายรึไง
"ดินเนอร์? กับกู?" ทวนคำอีกครั้งอย่างแปลกใจ "แค่กินข้าวกับกูมึงต้องเหมาเรือเลยเหรอ"
"เออ"
"เหมือนมึงกำลังเอาใจกูอยู่" หลุบตาลงต่ำมองมือใหญ่อบอุ่นจนเกือบร้อนที่กำลังกุมมือผมอยู่
นับหนึ่งคิ้วกระตุกแล้วหันมามองผม "เพิ่งรู้รึไง!"
ผมหรี่ตามองนับหนึ่งอย่างไม่เข้าใจในพฤติกรรมแปลกประหลาดในช่วงสองสามวันมานี้ที่ไม่รู้ว่าไปกินอะไรผิดปกติมารึเปล่า ถึงได้เหมือนจะเอาอกเอาใจผมมากขึ้นกว่าทุกที แถมมันยังยอมรับเต็มปากเต็มคำอีกว่า ใช่ กำลังเอาใจผมอยู่ แล้วมันจะทำไปทำไม
อืมมม หรือมันแอบไปทำอะไรผิดไว้?
เช่น...แอบทำของรักของหวงผมพัง? ทำเสื้อผ้าตัวโปรดของผมเปื้อน?
ปล่อยให้นับหนึ่งมันบ้าไปเพราะตอนนี้เอาอะไรมาฉุดก็คงไม่อยู่แล้ว ไม่นานนักเราก็มาถึงห้องผู้จัดการร้านและเมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นผู้หญิงร่างท้วมออร่าเถ้าแก่เนี้ยจับกำลังนั่งดูบัญชีร้านอยู่อย่างขะมักเขม้น
หลังจากพนักงานหนุ่มชี้แจ้งเรื่องราวและความต้องการของนับหนึ่งออกไป สีหน้าของเถ้าแก่เนี้ยจึงเปลี่ยนเป็นลำบากใจทันที...
"คือว่าคุณลูกค้า... วันนี้ร้านของเราปิดแล้ว" เธอกำลังจะบอกให้มาวันอื่น
"แต่ผมต้องการวันนี้ เดี๋ยวนี้" นับหนึ่งตัดบทแล้วยื่นเช็คเงินให้ เน่นอนว่ามันเป็นเงินจำนวนไม่น้อยที่ผมแอบเห็นแล้วก็อยากจะเป็นลม "นี่เป็นค่าเสียเวลา ค่าทำงานล่วงเวลาของพนักงาน... คุณคิดว่าราคานี้เหมาะสมมั้ย"
เถ้าแก่เนี้ยตาโตเบิกตามองเช็คในมืออย่างไม่อย่างจะเชื่อ "มะ เหมาะสมค่ะ"
"งั้นก็ดีครับ" นับหนึ่งกระตุกยิ้ม "ถ้าไม่พอ จะเรียกเพิ่มอีกก็ได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ"
มึงควรเกรงใจเขา ไม่ใช่เขาเกรงใจมึง!
แล้วอีกอย่างนะ....มึงจะใช้เงินฟุ่มเฟือยขนาดนี้ไม่ได้!
นับสองอยู่ไหน
มาเก็บพี่ชายไร้สติเดี๋ยวนี้!
"แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ" เธอรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธจากนั้น หันมายิ้มประจบประแจงใส่ผม "คุณผู้ชายท่านนี้โชคดีจังเลยนะคะ"
"โชคดี?" ผมขมวดคิ้วอย่างมึนๆ โชคดีอะไรวะ
"แฟนคุณเหมาร้านเราเพื่อดินเนอร์กับคุณแบบนี้ น่าอิจฉาจังเลย" เธอว่าแล้วก็มองมาที่มือของพวกเราแล้วเงยหน้ากลับมามองผมกับนับหนึ่งสลับกันไปมาด้วยสายตาวิบวับกรุ้มกริ่ม "สมัยนี้โลกเปิดกว้างแล้วค่ะ ไม่ต้องเขินหรอกค่ะ"
"เดี๋ยว! ไม่ใช่!"
แฟนบ้าบอคอแตกอะไรเล่า บ้าไปแล้วเหรอ!
ในขณะที่ผมกำลังจะแย้งเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดก็ถูกตัดบทด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำของนับหนึ่งอีกครั้ง "ครับ คนนี้แฟนของผมเอง"
"...!"
"ผมกำลังง้อเขาอยู่น่ะ วันนี้วันสำคัญของพวกเราแต่ผมดันลืมซะได้ก็เลยต้องเอาใจเขาหน่อยน่ะครับ"
วอท!
"ตายแล้ว แบบนี้แฟนคุณคงหายงอนแล้วล่ะครั้ง" เธอว่าอย่างเอาอกเอาใจนับหนึ่งแล้วหันมาพยักหน้าให้ผมที่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก "ดูสิ แฟนคุณเขินจนพูดไม่ออกแล้ว"
กูอึ้งจนใบ้แดกต่างหาก!
นับหนึ่งหันมามองผมแล้วกระชากตัวผมเข้าไปในอ้อมกอดมันและ...
จุ๊บ!
มัน หอม แก้ม ผม!!
"เขินผมขนาดนั้นเลยเหรอ ที่รัก"
"..."
"แต่...หน้าตาตอนตกใจของคุณนี่มันน่ารักจริงๆ นะ"
---------------
ผมอึ้งไปกับสัมผัสร้อนข้างแก้มที่ประทับลงมา รู้สึกทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
"ไอ้..."
จะอ้าปากด่าก็ต้องสะดุ้งเมื่อนิ้วเรียวยาวแตะเบาๆ บนริมฝีปากเป็นเชิงให้ผมหยุดพูดก็ยิ่งทำให้ผมมีโทสะมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่าไอ้เพื่อนตัวดีคนนี้มันกำลังเล่นเกินไปแล้ว
นับหนึ่งยิ้มมุมปาก "เวลาคุณเขิน คุณจะชอบด่าผม"
"...." กูไม่เขินก็จะด่ามึง!
"แล้วคุณก็รู้ใช่มั้ยว่าถ้าด่าผมหนึ่งครั้ง ผมจะจูบคุณหนึ่งครั้ง"
"....!" เหี้ยอะไรวะเนี่ย
นัยน์ตาคมกริบเผยประกายเจ้าเล่ห์ "คุณคงไม่อยากให้ผมจูบคุณต่อหน้าคนเยอะๆ ใช่มั้ย" ว่าจบแล้วนับหนึ่งก็หันไปมองเถ้าแก่เนี้ยที่กำลังทำหน้าฟินและยังมีพนักงานหนุ่มที่ทำหน้าเขินใส่
ผมมองตามแล้วยิ่งอยากด่าแต่ใจหนึ่งก็แอบกลัวว่ามันจะจูบผมขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้ๆ เพื่อนกันจะจูบกันได้ยังไง
แค่มันหอมแก้มผมก็เล่นเอาทำอะไรไม่ถูกแล้ว ถ้า ถ้าไอ้หนึ่งมันเกิดเพี้ยนและจูบผมขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง ไม่เอานะ! มือของผมกำหมัดแน่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว อยากจะซัดหน้าหล่อๆ ของไอ้เพื่อนตัวดีสักเปรี้ยงแต่ต้องอดทน
นับหนึ่งเห็นผมอดทนอดกลั้นหน้าตามืดครึ้มพลันยิ้มกว้างขึ้นแล้วละมือที่แตะริมฝีปากของผมออกเปลี่ยนมาโอบกอดเอวผมแทนและหันไปพูดคุยเรื่องอาหารมื้อค่ำกับเจ้าของร้าน
"ได้ค่ะ เดี๋ยวจะรีบจัดการตามที่ขอนะคะ รบกวนนั่งรอที่ห้องนี้ก่อนนะคะ ทางเราต้องใช้เวลาเตรียมการประมาณสิบห้านาทีค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยเชิญพวกเรานั่งที่โซฟารับรองแขกในห้องแล้วรีบเดินออกไปพร้อมพนักงานต้อนรับคนเดิมเพื่อจัดการกับสิ่งที่ลูกค้าเอาแต่ใจอย่างนับหนึ่งบัญชาลงไป
ทันทีที่ประตูปิดลงแต่ในห้องเหลือแค่เพียงเราสองคน...
พลั่ก!
"มึงเล่นบ้าอะไรไอ้หนึ่ง!" ผมผลักนับหนึ่งออกให้ห่างตัวทันทีแล้วจ้องมองมันด้วยแววตากรุ่นโกรธเริ่มมีน้ำโห "เล่นแบบนี้ กูไม่ตลกนะ!"
เซไปสองสามก้าวแล้วเงยหน้ามองผมด้วยแววตาเอาเรื่องเหมือนกันจนเผลอสะดุ้ง
"มึงคิดว่ากูล้อเล่น?" ถามเสียงสูง
"ก็เออสิ" มันแกล้งผมอยู่!
"ทำไมมึงถึงคิดว่ากูกำลังล้อเล่น"
ผมขมวดคิ้ว "ถ้าไม่ได้ล้อเล่นแล้วมึงทำแบบนี้ทำไม" สัมผัสร้อนข้างแก้มยังคงชัดเจนจนทำให้ผมปั่นป่วนขึ้นมา
"กูทำอะไร" มันยิ้มกวนตีนแล้วยืนล้วงกระเป๋ามองจ้องแก้มของผมแล้วยิ้มเจ้าชู้แบบที่มันชอบใช้กับพวกเด็กในสต็อกเด็กเลี้ยงของมัน ซึ่งมันยิ่งทำให้ผมโมโหมากกว่าเดิม "มึงพูดมาสิ กูทำอะไร?"
"มึงหอมแก้มกูทำไม!" ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาทำตัวรุ่มร่าม อย่างมากก็โอบไหล่กอดไหล่ตามประสาเพื่อนแล้วก็... "อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนั้น!"
มันใช่สายตาที่ควรจะใช้มองเพื่อนอย่างผมเหรอ!
"กูมองยังไง" นับหนึ่งย่นคิ้วเข้าหากันทันที "แล้วทำไมกูจะหอมแก้มมึงไม่ได้ มึงเขินใช่มั้ย"
เขินบ้านเตี่ยมึงสิ!
ผมพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ปะทุ "มึงไม่ควรทำแบบนี้!"
"เพื่อนกันเลยไม่ควรหอมแก้ม?"
"ก็ใช่ไง" ผมไม่คิดว่าตัวเองคิดผิดและไม่ได้พูดอะไรผิด "เพื่อนกันไม่ควรหอมแก้มไม่ควรมาจูบกันมั้ย ถึงมึงจะแค่แกล้งก็เถอะ กูไม่ตลกกูไม่สนุก โอเคนะ"
ส่ายหัวไปมาแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่จากนั้นก็เดินผ่านหน้านับหนึ่งเพื่อออกไปสูดอากาศข้างนอกดับอารมณ์ร้อนๆ ในอกแต่มันกลับพูดขึ้นหน้าตาเฉย...
"แค่ไม่เป็นเพื่อนก็พอใช่มั้ย"
ผมหยุดเดินแล้วค่อยๆ หันกลับไปมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจที่มันกำลังจะสื่อ...
"งั้นเราเลิกเป็นเพื่อนกันเถอะ ควินซ์"